ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ - ตอนที่ 67
“ต๊าย~ ทำไมหนูถึงมอมแมมแบบนั้นละจ๊ะ!!”
“…….”
“หลงทางมาเหรอ? พ่อแม่ของหนูอยู่ไหนเหรอจ๊ะ? ช่วยบอกคุณน้าคนนี้ได้รึเปล่าเอ่ย~?”
“………”
“เอ่อ…หนูจ๊ะ? ไม่คิดจะพูดอะไรสักหน่อยเหรอ”
“………”
จ๊อก~
“คงจะหิวจนไม่มีแรงพูดสิท่า กินนี้สิจ๊ะ จะได้มีแรง”
“………”
“ลองกินดูสิอร่อยนะ”
“ง่ำๆๆๆ”
“มันเป็นของหนูแล้ว ไม่ต้องรีบกินก็ได้เดี๋ยวก็ติดคอหรอก”
“แค่กๆๆๆๆ!!”
“นั้นไงพูดยังไม่ทันขาดคำเลย เห็นไหม ทีนี้ก็อย่ารีบอีกละ”
“อึกๆๆๆ”
“ว้าย~ หน้าตาน่ารักจัง ถ้าจับอาบน้ำและใส่ชุดดีๆ น้าคงเข้าใจผิดว่าหนูเป็นพวกลูกขุนนางแน่ๆ”
“…..ไม่…..หน้าของหนู…..มันน่าเกลียด…”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นละ? น้าไม่เห็นว่าหนูจะน่าเกลียดตรงไหนเลยนะ”
“ทุกคน..บอก…”
“ตายแล้ว!!! ใครกันที่มันมาบอกว่าหนูน่าเกลียด อยากจะเห็นหน้าพวกนั้นจริงๆ ถ้าเจอพวกนั้นละก็น้าจะตบสั้งสอนซะให้เข็ดเลย!! กล้าดียังไงถึงมากล้าว่าเด็กผู้หญิงน่าเกลียดกัน!!”
“…………”
“ขอโทษนะจ๊ะ ดูเหมือนน้าจะโกรธจนลืมตัวไปหน่อย หนูมาจากไหนเหรอจ๊ะ ให้น้าไปส่งไหม?”
“ไม่รู้…..”
“อ้าว แล้วหนูมาที่นี้ได้ยังไงละ หืม?”
“———————————————“
“หนูเป็นอะไรมากรึเปล่า!! ไหนน้าขอดูหน่อยสิ!!”
“…………”
“โหดร้ายที่สุด… ทำไมพวกนั้นถึงกล้าทำอะไรแบบนี้กับเด็กตัวแค่นี้กัน…”
“ทำไมถึงร้องไห้ละ..เจ็บเหรอ?”
“น้าไม่เจ็บหรอก ขอบคุณที่เป็นห่วงนะจ๊ะ หนูช่างเป็นเด็กที่มีจิตใจที่ดีจริงๆ”
“อย่ามาจับหัวหนู..”
“ขอโทษจ๊ะ หนูคงไม่ชอบให้คนแปลกหน้าอย่างน้ามาลูบหัวสินะจ๊ะ”
“ไม่ใช่…ผมหนูมันสกปรก…ถ้าจับไปมือก็จะสกปรก..”
“แหม เป็นห่วงเรื่องนั้นเองเหรอ อย่างที่คิดเลยหนูเป็นเด็กที่น่ารักจริงๆด้วย”
“…….”
“เอางี้ไหมจ๊ะ ในเมื่อตอนนี้หนูก็ไม่มีที่ไปแล้ว สนใจมาอยู่กับน้าไหมจ๊ะ”
“มี…อาหารไหม?”
“มีสิจ๊ะ แม้จะไม่หรูหรามากก็เถอะ แต่น้าขอสัญญาว่าจะหนูไม่อดอยากแน่นอนจ๊ะ”
“งั้นอยู่”
“หุๆ แค่มีอาหารให้ก็ยอมตามแล้วเหรอ ช่างเป็นเด็กใจง่ายจังเลยนะจ๊ะ”
“ไม่ดี..เหรอ?”
“อืม~ จะว่ามันไม่ดีมันก็ไม่ดีนั้นแหละจ๊ะ โดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิงอย่างหนูนะ แต่เรื่องนั้นช่างมันไปก่อนละกัน ตอนนี้พวกเรากลับบ้านกันก่อนดีกว่า ถ้าขืนอยู่ที่นี้นานๆ หนูได้เป็นหวัดแน่”
“อืม…”
“อ๊ะ จริงสิ น้าชื่อว่า———-นะ หรือจะเรียกว่ามีมี่ก็ได้นะ แล้วหนูละชื่ออะไรเหรอจ๊ะ?”
“ไม่มี..แต่ทุกคนเรียกหนูว่า—–กันหมด”
“พวกนั้นเรียกหนูว่า——–เนี้ยนะ!!! ช่างเป็นพวกที่หยาบช้าจริงๆ!!”
“อะไรคือหยาบช้า?”
“มันเป็นคำไม่ดีนะจ๊ะ แต่หนูไม่ต้องไปจำมันหรอก เพราะจากนี้ไปน้าจะไม่พูดคำไม่ดีแบบนี้ต่อหน้าหนูแล้วละ”
“อืม…”
“ถ้าหนูไม่มีชื่อแล้วละก็ขอให้น้าเป็นคนตั้งชื่อให้หนูได้รึเปล่าจ๊ะ?”
“ได้..”
“งั้นจากนี้ไปชื่อของหนูก็คือ…….”
.
.
.
.
.
กรงเหล็กอันแน่นหนาและห้องอันคับแคบยิ่งกว่ารูหนู มันคือสิ่งประกอบสำคัญในการสร้างห้องขังที่เรียกว่าคุก คุกนั้นมีไว้เพื่อกักขังผู้ที่กระทำผิดกฏหมายบ้านเมือง หรือเรียกง่ายๆ ว่าคนร้ายนั้นแหละ แล้วทีนี้โทษนั้นมีตั้งแต่หนักถึงเบา ถ้าเป็นพวกโทษสถานเบาก็แค่จับติดคุกตามป้อมในเมืองประมาณ5-6ก็ปล่อยแล้ว กับอีกประเภทที่เป็นคดีร้ายแรงขึ้นมาหน่อยที่ถึงขั้นทำผิดอาญาแผ่นดินที่ไม่อาจให้อภัคได้ พวกนั้นจะถูกเรียกว่าอาญากร คนพวกนั้นนะ ต้องโทษหนักมากเลยละ ฝากขังไว้ที่ป้อมแปปๆก็โดนหิ้วเข้าไปเรือนจำใหญ่แล้ว
ที่สำคัญภายในนั้นจะค่อนข้างจะมีปัญหาเรื่องสุขอนามัยทำให้เกิดโรคติดต่อมีโอกาศเกิดขึ้นง่ายมากกว่าข้างนอกมากๆเลยละ ถูกบับคับให้ใช้แรงงานหนักเพื่อแลกกับอาหารกินเท่าไหร่ก็ไม่ทีทางอิ่มแน่นอน การดูแลก็สุดแสนจะห่วยแตก อยู่ข้างถนนยังมีความสุขกว่าซะอีก
หลายๆ คนคงสกสัยใช่มั้ยว่าทำไมผมถึงพูดเรื่องนี้ ก็นะ มันไม่ใช่ปัญหาหนักหนาอะไรนักหรอกก็แค่—-
เพียะ!!!
“กรื้ดดดด!!!”
“มัวเหม่ออะไรของแก!!! รีบๆเร่งมือทำงานของแกซะ!!”
ผู้คุมสาวสวยผู้มีแส้เป็นอาวุษประจำตัวต่อว่าเพื่อนร่วมงานของผมที่อยู่นั้งอยู่ข้างๆกัน เธอดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมาณหลังจากที่ผู้คุมคนนั้นนำแส้ฟาดไปที่กลางหลังของเธอเต็มๆ มันเป็นภาพที่ผมเห็นได้ค่อนข้างจะบ่อยตั้งแต่มาอยู่ที่นี้ละนะ
ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นลูกคุณหนูตกอับที่จับพลัดจับพลูมาเป็นนักผจญภัคเช่นเดียวกับผมแล้วบังเอิญโชคร้ายดันไปเข้าปาตี้แย่ๆ ที่ทำเรื่องผิดกฏหมายอย่างการขายสิ่งที่เรียกว่าERที่เป็นสารเสพติดที่กำลังระบาดในตอนนี้ แม้จริงๆเธอจะไม่ได้ร่วมยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยเลย แต่ความจริงที่เธอเป็นผู้ที่รู้เห็นกับคนพวกนั้นก็ไม่เปลี่ยนอยู่ดี สุดท้ายก็โดนหางเลขไปด้วย และเนื่องจากความเป็นลูกคุณหนูเก่าหรืออะไรก็ไม่ทราบเธอแทบจะทำอะไรไม่เป็นเลย แค่งานง่ายๆอย่างกวาดพื้นเธอยังทำไม่ได้เลย ทำให้เธอถูกยัยโรคจิตนั้นฟาดแทบจะทุกครั้งที่เห็นหน้าเธอ ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าสกสารซะจริงๆ
“มัวมองอะไรอยู่!! ทำงานของแกไปซะ!! ไอ้เตี้ย!!”
“ครับ!!!”
ผมเร่งมือมือสานกระสอบในมือต่อทันที นี้ก็เป็นชิ้นที่24แล้วเท่าที่ผมนับได้ ที่นี้ไม่มีการพักไปเข้าห้องน้ำหรืออะไรทั้งสิ้น ถ้าสามารถทำตามยอดของวันได้นั้นแหละ คือเวลาพัก ซึ่งวันนี้ยอดของมันคือ100… ผมทำมา3ชม.ยังพึ่งได้แค่24ถุงเองนะเฮ้ย!! จะเอากระสอบไปใส่ศพบิดาคุณเอ็งรึไงวะ!! แม่งเอ๊ย!! เมื่อวานก็พึ่งทำถังไวน์จนหอบแดกไปเองนะเว้ย แถมเผลอตอกตะปูทะลุนิ้วไปอีก หัดเห็นใจกันมั้งสิฟะ
อ๋อ ใช่ๆ ลืมบอกไปตอนนี้ผมติดคุกอยู่ที่เมืองหลวงของลาสที่เอาไว้ขังพวกนักผจญภัคโดยเฉพาะอยู่นะ ตอนนี้ก็เลยออกไปไหนไม่ได้เลย แต่ไม่ต้องห่วงหรอกพรุ้งนี้ผมก็จะถูกปล่อยตัวแล้วละ หลังจากนี้การผจญภัคอันยิ่งใหญ่ของผมมันกำลังจะเริ่ม–
เพี้ยะ!!!
“เจี๊ยกกกกกก!!!”
“อย่าหยุดมือ!! ทำงานของแกต่อไปซะ!!”
แม่งเอ๊ย!!! โดนฟาดเข้ากลางหลังอีกแล้ว!!! คุยกันดีๆ ไม่เป็นรึไงวะ!!! แส้มันฟาดแล้วมันแสบยันกระดูกเลยนะโว้ย!! สักวันถ้ามีโอกาศจะเอาคืนให้สาสมเลยยัยบ้านี้!!
“นี้แก..แอบด่าฉันในใจสินะ…”
“หนูสกปรกอย่างกระผมมิบังอาจคิดแบบนั้นกับมาดามเลย กลับกันผมรู้สึกปราบปรื้มซะด้วยซ้ำ ที่คนสูงศักดิ์อย่างมาดามประทานการลงโทษที่แสนจะเปี่ยมไปด้วยความเมตาเพื่อชี้ทางสว่างให้กับหนูสกปรกอย่างกระผม”
เข่าของผมทั้งสองติดกับพื้นเหนียวเหนาะของห้องทำงาน รวมทั้งฝ่ามือหน้าผากของผมก็ติดกับพื้นเช่นกัน ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของผมนั้นเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ มันคือสิ่งที่เรียกว่าการก้มหัวขอร้องอันน่าสมเพชของลูกผู้ชายยังไงละ!!
“พูดได้ดีนี้ ท่าจำไม่ผิดแกจะออกจากที่นี้พรุ้งนี้แล้วใช่มั้ย ไอ้หมูแคระ”
“เซอร์!!! เยส!! เซอร์!!”
“หืม~งั้นเหรอ…”
ทำไมรู้สึกสังหรใจใจไม่ค่อยดีเลยวุ้ย…
“เมื่อกี้แกบอกว่าสำนึกในบุญคุณของฉันที่ช่วยสั้งสอนแกมากเลย”
“คะ..ครับ”
ผู้คุมสาวยิ้มแย้มและใช้นิ้วกรีดแส้ในมือด้วยท่าทีดูสนุกสนาน
“ถ้าอย่างงั้นฉันขอให้แก ทำส่วนของยัยนี้ที่เหลือด้วยละกัน ไหนๆ แกก็ได้จะเป็นอิสระอยู่แล้วนี้ ถือซะว่าเป็นการช่วยเหลือเพื่อนก่อนที่จากกันด้วยไง”
“เอ่อ..คือว่า…เรื่องนั้นมัน..”
“แกจะบอกว่าแกทำไม่ได้รึไง!! นี้แกกล้าปฏิเสธคำขอของผู้มีพระคุณเหรอ ห๊า!!!”
“เปล่าครับผม!! แค่อยากจะบอกว่า ‘เรื่องนั้นมันสุดยอดไปเลย!! ที่ผมได้ทำเรื่องดีๆก่อนออกไป ขอบพระคุณมาดามจริงๆที่ให้ผมมีโอกาศทำเรื่องดีๆแบบนี้’เพียงเท่านั้นเองครับ!!”
“พูดได้ดีนี้ แล้วแกจะรออะไรอยู่ละ ลงมือซะสิ”
“ได้เลยครับผม!!”
ผมรีบลุกและกลับมานั้งที่เก้าอี้อีกครั้งเพื่อทำงานของผมต่อ พร้อมกับรับงานของคนอื่นมาด้วย ทำไมเรื่องซวยๆ ถึงกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์เข้ามาหาตูจังวะ!!! แล้วแม่งทำไปเท่าไหร่แล้ววะ!! 1 2 3 4…10อัน!! แม่งเอ๊ย!!! นี้ตูทำเพิ่มอีกตั้ง90อันเลยเหรอวะ!! แค่ส่วนของตัวเองตูยังทำไม่–
เพี้ยะ!!!!!
“จ๊ากกกกกกกกกกกก!!!!”
.
.
.
.
“อย่ากลับมาที่นี้อีกละไอ้เตี้ย!!”
ผู้คุมตะโกนไล่หลังของแกรน พร้อมกับโยนข้าวของที่เธอเอาติดตัวมาด้วยออกมาและก็ปิดประตูอย่างไร้เยื่อใย
“เออ!! ไม่ต้องบอกก็ไม่กลับมาหรอกเว้ย พูดอย่างกะที่นี้มันดีมากนักแหละ แบร่!!”
แม่งเอ๊ย!! ทำไมตูต้องมาติดคุกด้วยข้อหาบ้าๆ แบบนี้ด้วยวะ!! ทั้งๆที่ผมเองก็ทำหน้าที่ของผมดีที่สุดแล้วแท้ๆ
“เชี่ย!! หนาวชิบ!! ไอ้เวรนั้นเอาเสื้อตูไปทำอะไรวะ เล่นซะบางเฉียบเป็นหมูสไลด์MKเลย”
ผมบ่นออกมาพร้อมกับมองเสื้อกันหนาวที่มีร่องรอยของการฉีดขาดมากมายจนนุ่นข้างในของมันทะลักออกมา จนแทบจะหมดแถมยังมีราขึ้นอีก ของมันแพงนะเฮ้ย เดี๋ยวปั้ดฟ้องเอาผิดแม่งทั้งกรมเลย ไอ้พวกห่านี้
แกรนสาปแช่งผู้คุมอยู่ในใจในขณะที่เดินเพื่อหาเส้นทางไปสู่ตัวเมือง เนื่องจากว่ามันเป็นเส้นทางที่เธอไม่คุ้นชินทำให้เธอหัวเสียไม่น้อย บวกกับเสื้อผ้าของเธอที่ใส่บางๆเพียงเสื้อเชิดกากๆเพียงชั้นเดียวทำให้เธอเดินไปพร้อมกับสั่นด้วยความหนาวเย็นบวกกับรองเท้าที่ของเธอที่เป็นเพียงรองเท้าฟางธรรมดาทำให้เท้าของเธอนั้นจมไปในหิมะ ความเย็นนั้นกัดเท้า แต่ถึงอย่างงั้นความเจ็บนั้นก็ถือว่าเป็นเพียงธรรมดาเมื่อเทียบกับสิ่งที่เธอเมื่อวานนี้
เธอเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั้งสังเกตุเห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าอันหล่อเหลาและมีสีผมสีขาวสลับดำพร้อมกับตาสองสีอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยืนดักเธออยู่ เขาอยู่ในชุดผ้าคลุมสีดำสลับขาวเช่นเดียวกับทุกวันพร้อมกับไม้เท้าที่ประดับไปด้วยอัญมณีเวทหลากหลายสี
“สวัสดีครับ คุณแกรน ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับที่พ้นโทษออกมาแล้ว”
“ไอ้หัวทางม้าลาย……”
เอเรนทักทายแกรนด้วยรอยยิ้มดูเป็นมิตรเพื่อจะเริ่มต้นการสนทนาอย่างสันติ แต่ถึงอย่างงั้นดูเหมือนมันจะทำให้มึเรียหงุดหงิดมากกว่าเดิมซะมากกว่า
แกรนนั้นเดินเข้าไปใกล้ๆเอเรน และจ้องเขาด้วยท่าทางที่พร้อมจะกระโดดบวกได้ตลอดเวลา เธอกำหมัดไว้แน่นพร้อมกับถลึงตาโตใส่เขา เพื่อจะทำให้เขากลัวเธอ แต่ถึงอย่างงั้นด้วยใบหน้าที่ดูน่ารักของเธอและส่วนสูงที่ต่ำกว่าอกของเอเรน มันทำให้เหมือนเด็กน้อยที่กำลังพี่ชายโกรธมากกว่า
“ดูเหมือนคุณยังไม่หายโกรธผมเลยสินะครับ”
“ก็เออดิวะ!! ก็เอ็งเป็นคนส่งตูเข้าคุกเองนี้หว่า!! ตูเสียเวลาอันมีค่าไปฟรีๆตั้ง1เดือนเลยนะเว้ย!! รู้ไหมว่าอยู่ในคุกตูโดนอะไรบ้าง”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันสินะครับ ก็ผมไม่เคยติดคุกเหมือนคุณนี้ครับ”
“เอองั้นก็ฟังไว้ให้ดีๆ ตูโดนยัยผู้คุมซาดิสสติไม่ประสมประกอบทรมาณทุกๆ เช้าเย็น แถมยังโดนบับคับให้ใช้แรงงานโหดแทบไม่ได้พัก เพื่อแลกซุปกับเศษเนื้อตากแห้งกากๆ และขนมปังแข็งๆขึ้นราครึ่งก้อน เอ็งดูนี้มือแผลเพียบเลยเห็นไหม? แถมมันยังสั่นไม่หยุดมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วด้วย!! ถ้าจับดาบหาเลี้ยงชีพไม่ได้ใครมันจะมารับผิดชอบวะ ห๊า!!!”
“ใจเย็นๆ หน่อยสิครับ ที่ผมทำไปก็เพื่อช่วยเหลือคุณ หากผมไม่ทำแบบนี้ ไม่แน่ตอนนี้คุณอาจจะกลายเป็นว่าที่ราชินีของแกรนเทลไปแล้วก็ได้นะคร้บ”
“แล้วมันไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วรึไงฟะ!! ทำไมต้องตูต้องมาติดคุกเพราะฝ่าฝืนคำสั้งของกิลด้วยวะ!!”
ผมปาเสื้อกันหนาวขาดๆทิ้งไปด้วยความโมโห ผมถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหลบหนีในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในวันนั้น คือจริงๆแล้วหากมีสถานฉุกเฉินเกิดขึ้นอย่างกระทันหันเนี้ย สมาชิกกิลด์ก็จะกลายเป็นกองกำลังฉุกเฉินทันที คือท่าอธิบายง่ายๆ ผมจะถูกนับกลายเป็นทหารกลายๆนั้นแหละ และบังเอิญตัวผมที่ควรจะอยู่ในเมืองเพื่อทำหน้าที่ในวันนั้นดันไม่มีใครเห็นตัว ก็เลยกลายเป็นคนหนีทหารทันที โชคยังดีที่โทษของผมไม่ร้ายแรงถึงขั้นถอดถอนการเป็นสมาชิกกิลอย่างถาวร แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ต้องติดคุกอยู่ดีนั้นแหละ หรือจะให้ผมไป Say Hi ฉันเองนะที่เป็นคนลอยอยู่บนท้องฟ้าที่เล่นเมืองหายไปครึ่งหนึ่งเองนะ ซึ่งแน่นอนชะตากรรมผมไม่ตายเพราะโดนชาวบ้านกระทืบ ก็ตายอยู่ในคุกขี้ไก่ในฐานะผู้ก่อการร้ายนั้นแหละ และแย่ที่สุดก็เตรียมเปลี่ยนสถานะจากมีเรีย กลายเป็นมีเรีย แกรนเทล ได้เลย ซึ่งผมขอยอมโดน2ข้อแรกยังจะดีกว่าซะอีก
“ก็ช่วยไม่ได้นี้ครับ ตอนนี้คุณริสต้ากับคุณฮันกำลังแกะรอยตามหาตัวคุณให้วุ่นอยู่ นอกจากนี้พวกคนจากศาสนจักรกับพวกนักล่าค่าหัวเองก็กำลังตามตัวคุณอยู่ด้วย ตอนนี้ข่าวลือเรื่องแสงของนักบุญแพร่กระจายไปทั้วเลย ผมเองก็ลำบากแทบแย่ในการช่วยปิดบังตัวตนของคุณเหมือนกันนะครับ”
“อ๊า~ บ้าเอ๊ย!! ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะใช้ชีวิตอย่างสงบสเงี่ยมแท้ๆ ทำไมปัญหามันถึงวิ่งมาตูเยอะจังเลยวะ”
เอาจริงๆปีนี้ผมดวงตกมากเลยนะ ทั้งปีนี้มีแต่ปัญหาเข้ามาเพียบเลย สกสัยคงต้องลองไปทำบุญสะเดาะเคราะกับท่านเทพธิดาแห่งแสงสักหน่อยดีกว่ามั้ง เผื่อชีวิตมันจะดีขึ้น..ว่าไปนั้น จะว่าไปต่างโลกมันคงไม่มีระบบสะเดาะเคราะนี้หว่า ทั้งๆที่มีเวทมนต์แท้ๆ แต่ของอย่างบาปบุญก็ยังเป็นสิ่งที่คลุมเครือเหมือนเดิมเลยสินะ ฮ่าๆ
เอาเถอะยังไงซะ แต่เดิมตัวผมเองก็เป็นพวกLuck Eอยู่แล้วนี้นะ จะดวงซวยด้วยก็ไม่แปลกเลยสักนึดเดียว แม้จะอยู่ในร่างนี้ก็เถอะ แต่ในความซวยก็ยังมีความโชคดีอยู่เสมอนั้นแหละ อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้ว่ามีเรียนั้นมีร่างเว่อร์ชั่นโตด้วย!!
ผมเองก็อยากเห็นเหมือนกันนะ เพราะดูจากหน้าตาของเธอในตอนนี้เธอต้องโตไปเป็นผู้หญิงที่สวยมากแน่ๆ นึกแล้วเสียดายจริงๆ ที่ตอนนั้นไม่มีกระจกเลยสักบานเลย ไม่งั้นคงได้เห็นของดีไปแล้ว
“เหมือนว่าที่คุณถูกไล่ล่านั้นก็เพราะว่าทางแกรนเทลเข้าใจว่าตอนนี้คุณมีทายาทของผู้กล้าอยู่ด้วย ก็เลยตั้งค่าหัวคุณเอาไว้เยอะนะครับ”
“ห๊า? ทายาทผู้กล้า? จะบ้ารึเปล่าฟะ ตูไม่มีประจำเดือนเฟ้ย!! จะไปตั้งท้องกับใครได้ไง!! แถมในคืนนั้นยัง–“
“แกรน..”
ก่อนที่ผมจะพูดจับเสียงที่ฟังดูนิ่งๆฟังดูไร้อารมก็พูดขึ้นมา เมื่อหันไปก็พบหญิงสาวผิวแทนผมสีขาวที่ใส่ชุดสีแดงที่แสนคุ้นเคยกำลังยืนถือข้าวของอันน้อยนึด ของผมอยู่ในมือ
“ก้าก้า!! นี้เธอมารับฉันใช่มั้ย!!”
“อืม..”
“ว้าย!! ดีใจที่สุดเลย!!”
ผมโผเข้ากอดก้าก้าทันที อ่า~ กลิ่นของสาวสวยอย่างก้าก้านี้มันดีจริงๆ คิดถึงกลิ่นนี้ชะมัด ไม่ได้สูดกลิ่นนี้มาตั้งเดือนกว่าแล้วสินะ
“ปะ..ปี้..”
“โอะ แกก็อยู่ด้วยเหรอเนี้ย ดูผอมลงไปเยอะเหมือนกันนะเนี้ย คงจะหิวน่าดูเลยสิท่า ฮ่าๆ”
ผมจับตัวของไอ้เจี๊ยบและถ่ายพลังเวทย์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้…อืม แค่นี้คงอยู่ในสภาพปกติของมันแล้วละนะ
ตอนนี้แค่ถ่ายพลังเวทให้มันกิน ผมก็แทบจะไม่ไหวแล้วละนะ ดูเหมือนว่าตอนที่ผมไม่ได้สติอยู่จะโดนหัวศรดำฝังอยู่ในร่างกายก็เลยใช้เวทมนต์แทบจะไม่ได้เลย แถมยังไม่รู้อีกว่ามันฝังอยู่ส่วนไหนของร่างกายก็เลยเอาออกไม่ได้ด้วย แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังพอจะใช้Botts up กับ Heal เป็นเวทหลักได้อยู่ แม้พลังของมันจะอ่อนลงไปเยอะเลยก็เถอะนะ
“อ๋อจะว่าไปผมมีนี้มาให้คุณด้วยนะครับ”
‘เอกสารแจ้งหนี้ ถึงแกรน(มีเรีย)
ค่าอุปกร 60เหรียญทอง
ใช้จ่ายของค่ายลี้ภัคฉุกเฉิน 100เหรียญทอง
ค่าจิปาถะอื่นๆ 20เหรียญทอง
รวม 180 เหรียญทอง’
“เอ่อ…นี้มันอะไรเหรอครับ? ไอ้คุณหัวทางม้าลาย”
“ก็เห็นชัดอยู่แล้วนี้ครับ ว่าเป็นเอกสารแจ้งหนี้ คุณแกรนนี้ถามอะไรแปลกๆดีนะครับ”
“แล้วไหงมันถึงระบุชื่อว่าแกรน แถมยังมีวงเล็บมีเรียด้วยละเฮ้ย!!”
“มันก็แน่นอนอยู่แล้วนี้ ก็คุณเป็นคนก่อเรื่อง คุณก็ต้องเป็นคนชดใช้สิครับ”
“มันไม่ใช่ความผิดฉันซักหน่อย นั้นเป็นฝีมือยัยผีเสื้อขึ้นราอะไรนั้นไม่ใช่รึไงที่ทำให้ฉันคลั้งนะ ถ้าจะเรียกเก็บค่าเสียหายก็ไปเรียกเก็บกับยัยนั้นเอาดิฟะ!! ฉันเองก็เป็นแค่ผู้เสียหายนะเว้ย!!”
“จะไม่จ่ายก็ไม่เป็นหรอกครับ… จะว่าไปค่าหัวของคุณก็สูงเอาเรื่องเลยนะครับ ท่าจับตัวคุณส่งไปที่แกรนเทลละก็เรื่องค่าใช้จ่ายในการบริหารเมืองเอง–“
“จะจ่ายแน่นอนค่ะ ได้โปรดให้ดิฉันชดใช้หนี้ก้อนนั้นด้วยเถอะคะ!! ต่อให้ต้องทำงานจนแขนหลุดหรือจนกว่าชีวิตนี้จะดับสูญ ดิฉันจะหามาจ่ายให้แน่นอนค่ะ!!”
ผมพูดพร้อมกับก้มกราบขอร้องนายท่านอย่างสวยงาม ยังไงก็ขอแค่เรื่องนี้เท่านั้นแหละ ที่ผมไม่เอาเด็ดขาด ถ้าต้องกลายเป็นเมียไอ้ขี้เก๊กนั้นสู้ทำงานอย่างขยันข้นแข็งเพื่อชดใช้หนี้ดีกว่า กะอีแค่เงิน180เหรียญทอง มีเวลาสัก10ปีละก็หามาจ่ายคืนไม่ยากหรอกTvT
“จะดีเหรอครับ? ทั้งๆที่คุณเองก็เป็นผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากฟาวโดยตรงเลยไม่ใช่เหรอครับ”
“ฉันมีคติว่าหากทำผิดก็ต้องชดใช้ ในเมื่อฉันเป็นคนทำฉันก็ยินดีจะชดใช้ให้ ถึงตอนนั้นฉันจะไม่มีสติก็เถอะ!!”
“แหม งั้นก็ดีแล้วละครับ ท่างั้นช่วยประทับสัญญาเลือดตรงนี้ด้วยนะครับ”
“ค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ ท่านเอเรน”
ผมรีบคว้ากระดาษใบนั้นมาและกัดนิ้วของตัวเองให้เกิดแผลลึกพอจะมีเลือดซึ่มๆออกมา และก็ประทับไปที่ช่องผู้ทำสัญญาทันที
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ดีแล้วละครับ ท่างั้นภายในเดือนนี้ผมจะรอ10เหรียญทองจากคุณนะครับ”
“เดี๋ยวนะ เอาสัญญามาอ่านใหม่ดิ๊”
‘สัญญาเลือด
ผู้รับสัญญานี้จำเป็นต้องจ่ายเงินให้กับตระกูลไอรอน เพื่อชดใช้หนี้ที่ตัวเองก่อไว้เป็นจำนวน180เหรียญทอง อัตตราดอกเบี้ยต่อเดือนร้อยละ5ของเงินต้น โดยกำหนดการชำระขั้นต่ำไว้ที่ 10 เหรียญทองต่อเดือน โดยมีกำหนดจ่ายก่อนวันที่1ของทุกเดือน จนกว่าหนี้สิ้นนั้นจะหมด หากผู้รับสัญญาไม่ทำตามกฏจำเป็นต้องชดใช้ด้วยวิธีอื่น ตามที่กำหนดไว้ด้านล่างนี้ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
1.แต่งงานกับเอเรน บรอน เพื่อสืบเชื้อสายตระกูลต่อไป
2.เข้ามอบตัวกับตระกูลบรอนเพื่อให้ตระกูลบรอนนำไปขึ้นค่าหัว
3.ตายอย่างทรมาณ(ฮ่า)
ลายประทับเลือดผู้ทำสัญญา(ประทับไปเรียบร้อย) ผู้ให้สัญญา(เรียบร้อยเช่นกัน)
“แม่งเอ๊ย!!!!”
ผมตั้งใจจะฉีกสัญญานั้นทิ้งแต่ไม่ว่าผมจะออกแรงฉีกมันยังไงมันก็ไม่มีรอยปรึขาดแม้แต่น้อย นี้มันกระดาษอะไรวะเนี้ย!!!
“เปล่าประโยชน์ครับ คนที่จะฉีกสัญญานั้นทิ้งได้ก็มีแต่ผมที่เป็นผู้ให้สัญญาเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะพยามยังไง มันก็ไม่มีทางขาดหรอกครับ”
“เอ็งจะบ้ารึเปล่า!! ให้ตูหามาจ่ายเอ็งเดือนละ10เหรียญทองใครมันจะไปหาได้วะ!! ที่สำคัญนี้เล่นคิดดอกเบี้ยร้อยละ5ของเงินต้นแบบนี้ต่อให้จ่ายไป10เหรียญทองหนี้มันก็แทบไม่ลดเลยนี้หว่า!!”
“ถ้าไม่มีจ่ายก็แค่เลือกที่จะชดใช้ด้วยวิธีอื่นที่ผมเขียนในนั้นก็พอแล้วละครับ”
“จะข้อไหนแม่งก็ไม่ต่างกันเลยนี้หว่า!! แล้วไอ้ข้อ3นี้มันอะไรวะ ตายแบบทรมาณวงเล็บฮ่าเนี้ยมันตายยังไงวะ!!”
“นั้นสินะครับ ผมเองก็อยากเห็นเหมือนกันก็เลยเขียนไปส่งๆอย่างงั้นแหละครับ”
“แม้แต่เอ็งยังไม่รู้แบบนี้แล้วมันจะเป็น–หืม? นี้มันอะไรวะเนี้ย?”
ผมสังเกตุเห็นสัญญาลักษณ์แปลกๆปรากฏขึ้นที่มือของผม นี้มันอะไรหว่า? เมื่อกี้มันยังไม่มีเลยนี้
“อ๋อ นั้นเป็นสัญญาลักษณ์เชื่อมวิญญาณนะครับ ในกรณีที่คุณไม่เลือกที่จะชดใช้ด้วยสิ่งใดเลย ผมมีสิทธิ์ที่จะกลายเป็นเจ้าชีวิตของคุณและสามารถออกคำสั้งให้คุณทำอะไรก็ได้นะครับ”
“นี้มันสัญญาทาสชัดๆเลยนี้หว่า!! นี้มันผิดกฏหมายชัดๆเลยนี้!!”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ สัญญานี้บับคับใช้ได้ไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง และตราบใดที่คำสั้งนั้นไม่โหดร้ายเกินไป ก็ไม่ผิดกฏหมายหรอกครับ”
“แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ไอ้คำว่าสั้งอะไรก็ได้นี้มันก็เกินไปรึเปล่า แถมยังไม่มีกำหนดระยะเวลาของคำสั้งอีก อีแบบนี้ ท่าโดนสั้งให้ต้องเชื่อฟังแกตลอดชีวิตก็จบเห่กันพอดีดิ “
“เรื่องนั้นไม่ต้องกลัวหรอกครับ สิ่งที่ผมจะทำมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแหละครับ”
เอเรนค่อยๆเข้าไปใกล้ๆมีแกรนก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของเธอเบาๆ
“ผมจะบังคับคุณให้คุณแต่งงานกับผมครับ”
“!!!!!!!”
สีหน้าของมีเรียเปลี่ยนกลายเป็นสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดทันที
“นี้แก…ที่แท้ที่ไม่ยอมส่งฉันให้กับพวกแม่มดก็เพราะแบบนี้เองเหรอ…ไอ้โลลิค่อน”
“จะคิดแบบนั้นก็ตามใจเถอะครับ แต่ว่าเรื่องนั้นทางนี้เองก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ว่ายังไง ทางเลือกของคุณมันก็มีไม่มากอยู่แล้ว ผมก็แค่เสนอตัวเลือกง่ายๆให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แล้วทีนี้จะเลือกชดใช้หนี้ด้วยวิธีไหนดีละครับ คุณแกรน”
“เหอะ!! อย่ามาดูถูกฉันนะเหวย กะอีแค่180เหรียญทองนะ ใช้เวลาไม่ถึงปีเดี๋ยว ก็หามาใช้คืนได้แล้วเว้ย!!”
“งั้นก็ดีแล้วละครับ ไว้ผมจะรอดูนะครับ”
เมื่อพูดจบเอเรนก็เดินถอยห่างออกไปเล็กน้อย
“เรื่องเงินนั้นจะจ่ายมาผ่านกิลหรือทางไหนก็ได้นะครับ ขอแค่ให้คุณจ่ายก่อนสิ้นเดือนก็พอ และที่สำคัญเงินต้องถึงมือพวกเราด้วย และผมแนะนำให้คุณอย่ากลับไปที่เมืองสักพักนะครับ”
“เออ!! ขอบคุณที่เป็นห่วง จะไปไหนก็ไปเลยไป๊!!”
“งั้นเอาไว้เจอกันใหม่นะครับคุณแกรน”
เอเรนเดินจากไปท่ามกลางหิมะที่กำลังตกหนักพร้อมกับคฑาคู่ใจ ก่อนที่จะลอยขึ้นเหนือพื้นและบินจากไปอย่างรวดเร็ว..
“นี้….ก้าก้า..ฉันขอถามอะไรเธอหน่อยได้รึเปล่า?”
“อืม…”
“ฉันควรจะทำยังไงดีอ่า~”
น้ำตาของผมไหลพรากทันที เมื่อคิดถึงเรื่องเงินที่ต้องหามาจ่าย แน่นอนผมไม่มีปัญญาจ่ายหรอกตั้ง10เหรียญทองเลยนะ แค่หาให้ได้1เหรียญในหนึ่งเดือนยังยากเลย แถมหลังจากที่ตื่นมาในวันนั้นก็พึ่งมารู้ตัวว่ากระเป๋าตังผมหาย และเงินทั้งหมดผมก็เก็บไว้ในนั้นก็หายไปเช่นกัน
ใช่แล้วละ ตอนนี้ผมต้องเริ่มจาก0!!! แถมยังต้องมาเริ่มต้นใหม่ในฤดูหนาวอีก นี้มันโคตรจะแย่เลยโว้ย!!! จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายมันวะ!! ของที่พอจะขายได้ราคาก็ไม่มีด้วย แถมยังกลับไปที่เมืองไม่ได้อีก อยากจะร้องไห้ชิบ ไม่สิก็ร้องไปแล้วนี้หว่า!!
“ก้าก้า มี แค่ นี้ พอ ไหม?”
ก้าก้ายื่นเหรียญเงินในมือของตัวเองมาให้ผม ซึ่งก่อนผมจะไปผมขอให้เธอยังทำภารกิจอยู่ตามคำแนะนำของทางกิลไปพรางๆก่อน หากนับในมือของเธอคงมีเหรียญอยู่ประมาณ30เหรียญเงินกับเหรียญทองแดงอีกนึดหน่อยเท่านั้น คงเป็นเงินเก็บส่วนตัวที่ได้มาในช่วง1เดือนนี้สินะ…
“ขอบคุณสำหรับเงินมากนะ แต่ว่าเราเก็บเงินนั้นไว้ใช้หาที่โรงแรมแถวนี้นอนคืนนี้ก่อนดีกว่า อย่างน้อยเราก็ต้องตั้งหลักกันก่อนที่จะเริ่มทำอะไรละนะ”
“อืม”
ให้ตายสิ..เธอทำเอาผมรู้สึกละอายใจเลยนะ ช่างเป็นผู้– อยากออกมาตอนนี้เหรอ? ก็ได้อยู่หรอกแต่ฉันรู้สึกว่าเธอกำลังหงุดหงึดอยู่นะ ถ้าออกมาแล้วเธอคงจะไม่ทำอะไรแปลกๆ ใช่มั้ย? ไม่สัญญา? เฮ้ย!! นี้เธอตั้งใจจะทำอะ–
“นี้…ก้าก้า…ตอนที่มาที่นี้ไอ้บ้านั้นพาเธอมาที่นี้ มันแอบทำอะไรกับเธอรึเปล่า”
มีเรียเอ่ยถามก้าก้าที่กำลังเก็บเงินเข้าไปในถุงเงินที่ห้อยเอาไว้ข้างเอวอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้มันตกลงสู่พื้น
“??????”
“ดูเหมือนจะไม่เข้าใจคำถามของฉันสินะ เอาเป็นว่าตอบมาได้ไหมว่ามันได้แตะตัวเธอตรงไหนบ้างรึเปล่า”
“แตะ ไหล่ บิน”
“แตะเพื่อสื่อเวทมนต์ให้ง่ายขึ้นนี้เอง แล้วได้แตะตรงอื่นนอกจากไหล่รึเปล่า”
“ไม่”
“งั้นเหรอ…อย่างน้อยเขาเองก็ยังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่พอสมควรสินะ งั้นก็ดีแล้วละ แต่ว่านะ…”
มีเรียทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆก้าก้า
“เธอนะควรจะระวังตัวให้มากกว่านี้ แม้เธอจะแข็งแกร่งกว่าพวกผู้ชายจนเรียกได้ว่าไร้เทียมทานเลยก็เถอะ แต่ว่าคนพวกนั้นเองก็ใช่ว่าจะโง่ซะทีเดียว พวกมันมักจะฉวยโอกาสในจังหวะที่เราไม่ได้ระวังตัวเพื่อตอบสนองตัณหาอันแสนโสมมของพวกมัน แม้มันจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ มันก็ทำให้คนพวกนั้นได้ใจขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆลงมือหนักข้อขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกมันที่มีเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นทางที่ดีไม่ควรนั้นมาแตะต้องตัวเลยจะดีกว่านะ”
“อืม จะ พยาม”
“ขอบคุณที่รับฟังคำเตือนจากฉันนะ และก็จริงๆแล้ว ฉันมีเรื่องที่จะบอกเธอด้วยละ มันเป็นเรื่องที่ความลับพอสมควรเลย เพราะงั้นช่วยก้มลงมาสักหน่อยได้รึเปล่า”
“?”
ก้าก้าโน้มตัวลงให้เท่ากับระดับความสูงของมีเรีย และเสยผมด้านข้างของมีเรียขึ้นเพื่อที่จะได้รับฟังสิ่งที่มีเรียพยามจะพูดกับเธอ
“ฉันนะ แม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถบอกว่ารักเธอได้แบบเต็มปาก แต่ว่า…ฉันเองก็อยากให้เธอรู้ไว้นะ ว่าตัวฉันเองก็ชอบเธอมากพอสมควรเลย เพราะงั้นฉันถึงรู้สึกหงุดหงึดที่เห็นเธออยู่กับเขายังไงละ…จุ๊บ”
“!!!!!!”
มีเรียกระซิบข้างหูของก้าก้าเบาๆ ก่อนที่เธอจะประทับริมฝีปากเล็กๆของเธอที่แก้มของก้าก้า เธอรีบถอยออกจากห่างจากมีเรียด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเนื่องจากการจู่โจมแบบสายฟ้าแลบของมีเรีย
“ถึงแม้เธอจะได้รับจูบจากพวกเราไปแล้วครั้งหนึ่งก็เถอะ แต่นั้นนะ ถือว่าเป็นจูบแรกของฉันในฐานะของมีเรียเลยนะ เพราะงั้นช่วยรักษาความรู้สึกที่ได้รับจูบจากแรกจากฉันไว้ให้ดีๆด้วยละ คุณภรรยาที่แสนน่ารักของฉัน”
มีเรียยิ้มให้กับก้าก้า รอยยิ้มของมีเรียนั้นดูเจ้าเล่ห์เหมือนกับปีศาจตัวน้อยแต่ในขณะเดียวกันมันก็แฝงไปด้วยความซุกซนของเด็กน้อยตามรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ
รอยยิ้มของปีศาจตัวน้อยของทีเรียนั้นค่อยๆจางหายไป และเปลี่ยนเป็นใบหน้าแดงก่ำด้วยความอายเช่นเดียวกับก้าก้าในตอนนี้
‘ยัยบ้านั้น..ชอบก่อเรื่องให้แล้วหนีไปแอบอยู่เรื่อย…แล้วแบบนี้ผมควรจะทำตัวยังไงดีละเนี้ย…”