ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ - ตอนที่ 54
“ไอ้เจี๊ยบ!! จัดการมัน!!”
“ปี้!!!!”
ผมชี้ให้ลูกเจี๊ยบตัวสีขาวที่มีขนาดตัว50ซม.ไล่จิกหมาป่าตัวหนึ่งที่กำลังวิ่งมาทางผม ลูกเจี๊ยบยักตัวสีขาวพุ่งไปเพื่อจิกหมาป่าอย่างรวดเร็วแม้จะเป็นพื้นหิมะก็ไม่ทำให้ความเร็วของมันตกลงเลย แม้จะดูไม่น่าเชื่อแต่ไอ้ลูกเจี๊ยบยักตัวนี้โคตรเก่งเลยละ เผลอๆมันอาจจะเก่งกว่าผมอีก เพราะงั้นจะปล่อยให้มันทำผลงานคน?เดียวไม่ได้ เราเองก็ต้องออกโรงบ้างแล้วละ!!
“เอาละนะ[Kindle]!!!!”
ใบดาบของลุกผมมีไฟลุกขึ้นมาทันทีเมื่อพูดจบ เปลวเพลิงนั้นร้อนแรงถึงขนาดเผาหิมะที่ตกลงบนใบดาบให้กลายเป็นเพียงไอน้ำลอยกลับขึ้นไปเป็นก้อนเมฆ มันคือดาบที่สามารถผ่าได้แม้แต่กระทั้งก้อยเนยที่แข็งราวกับหินในฤดูหนาวได้อย่างง่ายดายราวกับผ่าอากาศ นี้แหละท่าไม้ตายของผม ดาบเปลวเพลิงผ่าสวรรค์ยังไงละ!!
“ย้ากกกกกก!!!”
จับดาบในมือไว้แน่นและพุ่งไปหาหมาป่าอีกตัวที่กำลังวิ่งมาทางผม แม้พื้นหิมะจะขยับยากไปหน่อยแต่มันก็ไม่รอดไปจากผมหรอกนะ!!! งานนี้แหละเอ็งตายแน่!!
“ช้า…”
“!!!!!”
เมื่อสิ้นสุดเสียงก้าก้าก็พุ่งไปหาหมาป่าตัวนั้นอย่างรวดเร็วและก็จับมันทุ่มลงไปกับพื้น หลังจากนั้นก็ใช้เล็บของเธอแทงไปที่คอหอยมันจนทะลุจนเลือดพุ่งกระฉูนย้อมหิมะสีขาวบนพื้นให้กลายเป็นสีแดงตามสีเลือดของหมาป่า ไฟที่ดาบของผมมอดลงทันทีและหยิบมีดสั้นออกมาเพื่อเปลี่ยนเป้าหมายมาแล่หนังพวกมันแทน ฝั้งไอ้เจี๊ยบเองก็เหมือนจะจบลงด้วยชัยชนะของมันอีกครั้ง มันร้องอย่างดีใจบนศพของหมาป่า แม้แต่ขนของมันก็ยังถูกย้อมเป็นสีแดงกับกับเขาด้วย อีแบบนี้คงต้องจับมันอาบน้ำอีกแล้วสินะ.. วันนี้ก็ไม่มีบทให้ออกอีกแล้ว… เฮ้อ..อยากลองสู้บ้างจังนะ
“ให้ช่วย มั้ย?”
ก้าก้าเดินมาถามผมที่กำลังแล่หนังมันออกมาด้วยความเมามันด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้ก้าก้ากับผมอยู่ในชุดกันหนาวสีดำที่เป็นแบบเสื้อกั้กอ้วนที่พวกนั้นเอามาให้ จากที่ผมสัมผัสดูมันเป็นผ้าใยสังเคราะแน่นอน พวกนั้นไปเอาความรู้พวกนี้มาจากไหนกันแน่นะ ไหนจะรองเท้าบูทที่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของยุคนี้แน่นอน
แม้จะมีคำถามอยู่ในใจอยู่มากแต่ก็ช่างมันเถอะ เรื่องนั้นมันยังไงก็ได้นี้นะ ตราบใดที่ใส่แล้วมันอุ่นดีและขยับตัวง่าย ที่มาของมันจะเป็นยังไงก็ช่างมันละกัน
“งั้นไปช่วยลากศพพวกมันมากองๆตรงนี้หน่อยนะ”
“อืม..”
ก้าก้าเดินไปลากศพหมาป่าตามที่บอก ตอนนี้พวกเรากลายเป็นแร๊งFในฐานะปาตี้ละนะ ก้าก้าแร๊งD ส่วนผมแร๊งF เลื่อนมา 1 แร๊ง แต่ถึงอย่างงั้นก็เพราะก้าก้าเป็นแร๊งDแล้วก็เลยทำให้เธอรับงานที่สมกับความสามารถของเธอได้ละนะ เอาละหมาป่า8ตัว หนังตกประมาณ2เหรียญเงิน ก็ได้16 เหรียญทอง มีค่าจ้างภารกิจอีก18เหรียญเงิน รวมเป็น 46 เหรียญเงิน วันนี้โชคดีจริงๆแหะ ทั้งที่เป็นหน้าหนาวแท้ๆ แต่กลับหาเงินได้เยอะขนาดนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะก้าก้านั้นแหละนะ ตอนนี้ทำให้พวกเรามีเงินเก็บถึง3เหรียญทองกับอีก47เหรียญเงินเลยทีเดียว ช่วงนี้คงไม่ต้องทำงานไปสักพักแล้วละ
“ปี้ๆๆๆ”
“อ๋อๆ รางวัลของแกสินะ เอาไปสิ”
“ปี้~”
ผมสัมผัสหัวของไอ้เจี๊ยบและถ่ายพลังเวทของผมลงไป ทั้งๆที่เมื่อ3สัปดาที่แล้วผมยังวางแผนที่จะกินมันอยู่เลยแท้ๆ แต่ตอนนี้คงกินมันไม่ลงแล้วละ ก็มันมีประโยชน์ดีนี้นะ แถมยังไม่มีกลิ่นตัวหรืออะไรที่ผมไม่ชอบด้วย ที่สำคัญคือมันกินแต่พลังเวทของผมทำให้ไม่เปลืองค่าอาหารและไม่จำเป็นต้องขับถ่ายด้วย ถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงในฝันเลยนะเนี้ย ว่าแต่ก้าก้ามองมาทางเรามาทำไมหว่า.. อ๋อ..ไอ้นั้นสินะ คงอยากได้รางวัลเหมือนกันสิท่า
“เธอเองก็ต้องการรางวัลเหมือนกันเหรอ”
“อืม”
“งั้นก็ก้มหัวลงมาหน่อยสิ”
ผมเธอก้มลงมาผมก็หอมแก้มเธอ เธอก็ดูดีใจสุดๆเลยละ แม้มันจะดูเป็นความสัมพันธ์ที่ไร้เดียงสาก็เถอะ แต่ผมก็ชอบมันนะ เอาละรีบแล่หมาป่าพวกนี้ให้เสร็จเร็วๆหน่อยละกัน ขืนช้าไปสัตว์ตัวอื่นได้กลิ่นและตามมาจะยุ่งซะเปล่าๆ
.
.
.
เมื่อเสร็จงานผมและก้าก้าก็เดินจับมือกันมาถึงที่เมืองเช่นเคย ก็เห็นฮาลยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูตามเดิม ขยันจริงๆนะ คุณพ่อคนนี้
“ไง ฮาลวันนี้หนาวรึเปล่าฟะ”
“ก็เหมือนทุกวันนะแหละ เฮ้อ~”
“เป็นอะไรไปช่วงนี้ดูเหนื่อยๆนะนายเนี้ย มีงานหนักเข้ามารึไง”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกแต่พอคิดว่าอีกไม่กี่เดือนตัวเองก็กลายเป็นพ่อคนแล้ว มันก็รู้สึกเกร็งๆนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก นายเป็นพ่อที่ดีได้อยู่แล้วน่า”
วันที่เด็กคลอดออกมาภายในอีกไม่กี่เดือนนี้ ผมเองก็ตื่นเต้นพอสมควรนะ ที่จะได้เห็นพวกนี้สองคนนี้มีลูกด้วยกันแล้วละนะ
“ท่าเป็นอย่างงั้นก็ดีสิ เฮ้อ~”
“เอาน่ารับนี้ไปและร่าเริ่งหน่อย”
ผมยื่นเนื้อหมาป่าที่พึ่งได้มาไปให้ฮาล ส่วนนี้ผมห่อมันด้วยเศษหนังของหมาป่าและผูกไว้แล้วเรียบร้อยเพื่อเตรียมแบ่งให้เขาโดยเฉพาะ แน่นอนว่าผมมีไปฝากไอ้กับคุณเชลลี่และร้านขายเนื้อด้วย ขืนปล่อยเนื้อมันไว้ตรงนั้นก็เสียดายแย่
“ของดีเลยนี้น่า ขอบใจนายมากนะ แกรน”
“ไม่เป็นไรน่าแค่นี้เรื่องเล็กน้อย เอาไว้วันหลังมาดื่มเป็นเพื่อนกันหน่อยละกัน”
“แน่นอน แต่ฉันต้องขออนุญาติจากเนียร์ก่อนนะ”
ผมกับฮาลจับมือกัน เขาถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมคนหนึ่งเลยละนะ
“งั้นก็ดี เดี๋ยวฉันกับก้าก้าไปที่กิลเพื่อรายงานภารกิจก่อนนะ ไว้เจอกันพรุ้งนี้ละ”
“อ่า ไว้เจอกันเพื่อน”
วันนี้แม้ก็เป็นวันที่เรียบง่ายอีกเหมือนเคย อยากให้วันอย่างงี้ดำเนินไปเรื่อยๆจังนะ
.
.
.
ก็คิดไว้อย่างงั้นอยู่หรอกนะ แต่ว่าทำไมไอ้หมอนี้ถึงโผล่มาดักหน้าเนี้ย
“สวัสดีครับคุณมีเรีย…ไม่สิตอนนี้ต้องเรียกคุณว่าแกรนสินะ”
“ท่าแกรนนะใช่ แต่มีเรียนั้นไม่ใช่ชื่อของฉันหรอกนะ”
ทำไมเคลมันถึงรู้ว่าผมเป็นมีเรียกันละ คนที่รู้ก็มีแค่คุณเชลลี่กับก้าก้าเท่านั้น.. หรือว่า..ไม่หรอกเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าคุณเชลลี่จะขายผม เธอคงทำตั้งแต่แรกแล้ว
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ ผมไม่ได้มาจับคุณแน่นอน สบายใจได้ แม้ตอนนี้จะมีคำสั้งให้ไล่ล่าคุณอย่างสุดชีวิตกันก็เถอะ”
ช่วงนี้มีคำสั้งไล่ล่าเรางั้นเหรอ… นี้ก็ผ่านมาตั้งเกือบ2ปีแล้วทำไมถึงมารีบตามล่าเราตอนนี้กัน ดูไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่เลยแหะ
“แล้วมาทำอะไรละ ถ้านายไม่ได้มาจับฉันนะ”
“ก็แค่คุณนายอยากจะพบคุณอีกสักครั้งเท่านั้นแหละครับ ก็เลยอยากเชิญคุณไปกินอาหารเย็นที่คฤหาสน์ด้วยกันวันนี้เท่านั้นเอง แน่นอนว่ารวมถึงเทพสงครามก้าก้าและลูกเจี๊ยบข้างหลังคุณด้วยนะครับ”
สืบเรื่องคนรอบตัวผมมาเรียบร้อยแล้วเหรอ ตั้งแต่ตอนไหนกันนะ เอาเถอะ ช่วยไม่ได้ละนะ คงต้องยอมไปก่อนละกัน
“ก็ได้เย็นนี้ฉันจะไป…. เชิญนายกลับไปก่อนเถอะ”
“งั้นเย็นนี้เจอกันนะครับ เมื่อถึงแล้วก็บอกพวกยามได้เลยว่ามีธุระกับผม เดี๋ยวผมจะออกไปรับพวกคุณเองครับ ไว้เจอกันครับ”
จู่ๆมาเชิญแบบนี้คงมีอะไรให้ช่วยอีกแหงๆ เอาไว้ฉี่ใส่ขวดโพชั่นไว้และค่อยยื่นให้ทีเดียวเลยละกัน ทำไมมีแต่ตัวยุ่งยากชอบมาจุ้นจังนะ
“แกรน จะไป เหรอ?”
“ถึงไม่อยากไปก็ต้องไปละนะ เอาเถอะกว่าจะถึงตอนนั้นยังมีเวลาอีกหน่อย อยากจะทำอะไรรึเปล่าละ วันนี้เธอเป็นผลงานของเธอคนเดียวเลยนะ”
จริงๆ ไม่ใช่แค่วันนี้หรอก เป็นผลงานของเธอทุกวันเลยต่างหาก ส่วนผมก็ได้อนิสงค์เป็นปลิงเกาะเธอเลื่อยแร๊ง จนทำให้คนในกิลบางส่วนเริ่มหมั้นไส้ผมแล้วสิก็เลยได้ฉายาแปลกๆมา อย่าง ปลิงแกรน ไม่ก็ ไอ้ขยะแกรน ผมก็เข้าใจพวกเขาอยู่นะ ก็ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะอิจฉาที่คนหล่อๆ อย่างผมมีแฟนสาวที่ทั้งเก่งและสวยขนาดนี้อยู่ข้างกายนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ
“แค่ อยู่ ด้วยกัน ก็พอใจแล้ว”
“ก้าก้า”
ผมดีใจจริงๆ ที่มีเธอมาอยู่ข้างๆผม จากนี้ไปผมคงจะกลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกแล้วละนะ ว่าไปนั้น.. แต่ก็อยากเป็นเหมือนกันแหะ ไอ้เจ้าคนที่มีความสุขที่สุดในโลกเนี้ย ความรู้สึกมันจะเป็นยังไงกันนะ
.
.
.
.
“จะว่าไปเห็นกี่ครั้งก็ไม่ชินสักทีเลยนะ”
ผมพูดพร้อมมองคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางเมือง มันถือว่าเป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับสิ่งก่อสร้างในเมืองนี้ทั้งหมดแล้ว จนตอนแรกผมเองยังนึกสกสัยเลยว่าไอ้ขุนนางที่นี้มันต้องรีดไถประชาชนมาสร้างแหงๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อะนะ บารอนบรอนที่ดูแลเมืองนี้อยู่แกเป็นคนที่ดีผิดคาด ทั้งช่วยเหลือคนในพื้นที่ให้มีรายได้ ก่อตั้งบริษัทที่เมืองหลวงเพื่อค้าขาย และจัดเก็บภาษีโคตรต่ำเมื่อเทียบกับที่อื่นอีกด้วย ถือว่าเป็นคนที่โครตดีสุดๆเลยละ ถ้าไม่ติดว่าแกเป็นโลลิค่อนอะนะ
“ไอ้หนูแกรนแกมาต้อมๆ มองๆ อะไรที่นี้ คิดจะมาขโมยของที่บ้านท่านบารอนรึไง”
ทหารที่เฝ้าหน้าบ้านของบารอนเอ่ยทักผมขึ้น ผมรู้จักแกดีเลยละนะ ก็เคยไปดื่มด้วยกันบ่อยๆ นี้นะ
“ทำงั้นก็โดนจับดิลุง ผมไม่มีความสามารถพอที่จะเข้าไปในบ้านของบารอนที่อัศวินอยู่เต็มไปหมดและออกมาแบบมีชีวิตได้หรอก”
“รู้ตัวก็ดีแล้วนี้หว่า เอ้าเชิญเข้าไปเลย ท่านเคลรอเอ็งอยู่ที่สวนแล้วละ”
“อ้าว ลุงก็รู้อยู่แล้วว่าผมนัดไว้แล้ว ไหงลุงยังจะมาสกสัยผมอีกละ”
“ก็ไม่มีอะไรไรหรอก ข้าแค่หมั้นไส้เอ็งนึดหน่อยที่ได้เมียสวยเกินหน้าเกินตา ก็เลยแกล้งเอ็งเล่นนะ”
“ฮ่าๆๆๆ นี้ก็เพราะผลพวงจากความหล่อของผมยังไงละ”
“จะโม้เหม็นก็ไปไกลๆเลย เอ้าเข้าไปได้แล้ว เดินตามทางไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเอ็งก็เจอท่านเคลเองแหละ”
“เข้าใจแล้วลุง เอาละไปกันเถอะก้าก้า ไอ้เจี้ยบ”
“อืม””ปี้!!”
ผมเดินเข้าตามทางไปเรื่อยๆ ตามที่ลุงบอก รอบทางที่เคยเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวกลับเหี่ยวเฉาจนเหลือแต่กิ่งไม้แห้งๆ และด้วยความใหญ่ของคฤหาสน์บวกกับความเงียบทำให้รู้สึกขนลุกแบบแปลกๆ พอหน้าหนาวทีไรทุกที่แม่งก็น่ากลัวไปหมด เพราะแบบนี้ไงถึงเกลียดหน้าหนาวนะ
“ยินดีต้อนรับครับ คุณแกรนและท่านก้าก้า นายหญิงมาเรียกำลังรอพวกคุณอยู่ข้างในเพื่อรับประทานอาหารเย็นกับพวกคุณอยู่เลยครับ”
โอ๊ะ มีเลี้ยงอาหารเย็นด้วยสินะ ลักกี้จังเลยแหะ ช่วงนี้กำลังเบื่อเนื้อเค็ม กับขนมปังทาแยมอยู่พอดี หวังว่าคงจะมีอาหารหรูๆ ให้สมกับบ้านหลังใหญ่นะ
“นายจะให้ให้ฉันลบรอยแผลเป็นที่หน้าด้วยไหม? เผื่อมาเรียจะได้จำฉันได้ง่ายๆหน่อยนะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ รอบนี้พวกเราเชิญคุณมาในฐานะแกรนไม่ใช่มีเรีย ท่าเกิดลบไปเดี๋ยวพวกเมดกับคนรับใช้คนอื่นๆ จะสับสนเอาได้ ช่วยกรุณาปล่อยมันไว้เถอะครับ”
คงกลัวมีข่าวลือว่าผมปรากฏตัวที่นี้สินะ ก็ดีแล้วละนะ การทำแบบนี้ก็เกิดผลดีกับทั้งสองฝั้งอยู่แล้วละ
“โอเค งั้นนำทางไปเลย”
“เชิญตามผมมาเลยครับ”
เคลเดินนำผมไปเพื่อพาไปพบกับมาเรีย เนื่องจากส่วนสูงที่แตกต่างกันทำให้สายตาของผมไปอยู่ตรงตูดของเขา ซึ่งผมไม่ได้อยากจะมองมันเลยสักนึด จะว่าไปเหตุผลที่ผมเลือกนักบุญก็เพราะไม่อยากเห็นตูดตัวละครชายนี้นะ…. สรุปสาวคอสเพลย์คนนั้นเป็นใครกันแน่นะ
เมื่อเดินไปถึงห้องอาหารก็เจอโต๊ะขนาดใหญ่ที่ยาวพอจะนั้งได้มากกว่า10คน โดยที่มีเรียนั้งอยู่ที่หัวโต๊ะ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ คุณแกรน เชิญคุณและเพื่อนๆเลือกที่นั้งตามที่ชอบได้เลยคะ”
“เข้าใจแล้ว”
ผมจึงไปนั้งใกล้ๆเธอจะได้คุยกันได้เหล่าเมดจึงรีบไปดึงเก้าอี้ให้ผมกับก้าก้านั้ง.. โดนปฏิบัติแบบนี้ใส่ไม่ค่อยชินเลยแหะ นี้สินะบ้านขุนนาง ว่าแต่ใต้กระโปรงคุณเมดพวกนี้จะมีสายรัดถุงน่องเหมือนในอนิเมะรึเปล่านะ
“เป็นยังไงบ้างคะ สบายดีหรือเปล่า”
“ก็เรื่อยๆนั้นแหละ อย่างน้อยก็เอาตัวรอดในหน้าหนาวนี้ได้ละนะ สรุปมีธุระอะไรกับฉันละ”
“แหม~ ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ เอาไว้กินมื้อเย็นกันก่อนค่อยพูดเรื่องนี้กันก็ได้”
“ก็ได้ๆ อย่างน้อยหวังว่าจะมีของดีๆ ให้กินบ้างนะ”
“แน่นอนค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักสามีและลูกสาวของฉันก็จะมานั้งกินด้วยกัน รับรองเป็นของดีที่คุณคาดไม่ถึงเลยละคะ”
“สามี? หมายถึงท่าบารอนนะเหรอ..”
“แน่นอนสิคะ ลูกชายคนโตของฉันก็อยู่ด้วยนะคะ”
สองพ่อลูกโลลิค่อนงั้นเหรอ.. รู้สึกเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดียังไงชอบกลเลยแหะ
“นั้นไงมากันแล้วละคะ”
“หืม?”
ชายวัยกลางคนเดินนำเข้ามาบนใบหน้าเขาดูมีริ้วรอยเล็กน้อยแต่ก็ยังคงดูดีอยู่แม้จะได้ยินว่าปีเขาจะอายุ40กว่าแล้วก็เถอะ ส่วนชายอีกคนก็…โคตรหล่อ..เขามีตาสองสีเหมือนกับแม่ ข้างซ้ายเป็นสีแดงและขวาเป็นสีน้ำเงินคราม ที่น่าประหลาดก็คือแม้แต่ผมของเขาก็ยังมีสองสีผสมกันแบบแปลกประหลาดเพราะมันเป็นสีดำสลับเงินไปทั้งหัว
เขามีหน้าตาที่เรียกได้ว่าสาวๆที่แรกเห็นต้องหลงแน่นอน แถมยังใส่ชุดที่ใส่ยังเท่อีก..ทั้งที่มันเป็นชุดปกติที่ขุนนางใส่กันแท้ๆ แต่ไอ้หมอนี้มันใส่แล้วเท่จังวะ ไอ้หน้าหล่อนี้เป็นโลลิค่อนจริงดิ?
“สวัสดีครับ ผมชื่อ เอเลน บรอน ลูกชายคนโตของตระกูลบรอน ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
เขาเอ่ยทักผมขึ้นมาในขณะที่นั้งอยู่ตรงกันข้ามผม.. หล่อยันเสียงเลยวุ้ย ชักน่าหมั้นไส้ขึ้นมาจริงๆ แล้วสิ ไอ้คนแบบนี้คงเป็นเภทเนื้อหอมสาวตอมติดทั้งวันแหงๆ ยิ่งเป็นขุนนางอีก น่าอิจฉาชะมัดไอ้พวกเพียบพร้อมเอ๊ย!!
“อ่า ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อแกรนนักผจญภัคแร๊งFกากๆ เนื้อไม่หอม สาวไม่ตอม ตังไม่มี แถมยังโดนรังเกียจอีก ชีวิตนี้มันช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลยว่ามะ?”
“ก็คงเป็นอย่างที่ว่านั้นแหละครับ ช่องว่างระหว่างชนชั้นอาจจะทำให้เกิดปัญญาเหล่านี้ขึ้น ทำให้อะไรหลายๆอย่างอาจจะถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เกิดแล้วก็ได้ ทั้งเรื่องฐานะ หน้าตาทางสังคม ความเป็นอยู่ มันเป็นการตัดสินคุณค่าของผู้คนเอาไว้ตั้งแต่กำเนิด มันช่างดูไม่ยุติธรรมจริงๆเลยนะครับ”
“โห~ จะบอกว่าตัวเองเนื้อหอมมาตั้งแต่เกิดแล้วสินะ”
“เรื่องนั้นผมเองก็ไม่อาจพูดได้อย่างมั้นใจได้ ผมก็แค่คนๆหนึ่งที่มีหน้าตาธรรมดาเท่านั้นเองครับ”
“ธรรมดา? มาตราฐานความธรรมดาของเอ็งนี้อยู่ตรงไหนวะ!! ถ้าอย่างเอ็งธรรมดาแล้วตูนี้เรียกว่าอะไรฟะ!! ก็อบลินสินะ!! ในหัวแกฉันเหมือนก็อบลินมากเลยสินะ!! ใช่มั้ย!!”
“ผมคิดว่าผมไม่ได้พูดถึงมอนสเตอร์หรือเอาคุณไปเปรียบเทียบกับอะไร ทำไมถึงตีความไปแบบนั้นได้ละครับ?”
“ก็แกพูดจาหมั้นไส้นี้หว่า ผมก็แค่คนหน้าตาธรรดาเท่านั้นแหละ แกพูดงี้แล้วจะให้ฉันจะตีความแบบไหนได้ละ ไอ้–“
ตึง!!!!
ท่านบารอนทุบโต๊ะและมองมาทางผมที่กำลังโวยวายด้วยสายตาขึงขัง ลืมตัวไปแหะ.. เราร่วมโต๊ะกับท่านบารอนอยู่ ดันทำเสียมารยาทเพราะความอิจฉาไปซะได้ พยามสำรวมไว้หน่อยละกัน ขืนทำอะไรแปลกๆ มีหวังโดนไล่ออกจากเมืองแหงๆ
“คุณค่ะ กรุณาอย่าทำตัวเสียมารยาทกับแขกของฉันสิ”
“ผมไม่คิดจะทำตัวเสียมารยาทแบบนี้หรอก ถ้าแขกของคุณนั้งเงียบๆ อย่างมีมารยาท เหมือนคนอื่นๆ ที่มาด้วยกับเขา ขนาดเจ้าสัตว์หน้าขนนั้นยังสามารถทำได้อย่างไม่มีปัญหา แล้วทำไมเขาที่เป็นมนุษย์มีสติปัญญาที่สูงกว่าพวกสัตว์ถึงทำไม่ได้ละ”
แรง!!! แม้จะเป็นเรื่องจริงที่รู้ตัวเองอยู่แล้วก็เถอะ แต่โดนพูดตอกหน้าอย่างงี้โคตรเจ็บเลยโว้ย!!
จะว่าไปไอ้เจี๊ยบนี้นั้งนิ่งๆจริงๆด้วยวุ้ย ทั้งที่ไม่เคยฝึกมันลยแท้ๆ สมแล้วที่เป็นสัตว์ในฝันของผมจริงๆ ไร้กลิ่น ไร้เสียง แถมยังเชื่อฟังมากสุดๆอีก บางทีท่าเอามันไปขายตอนนี้อาจจะมีคนซื้อก็ได้นะ..ว่าไปนั้น ตอนนี้ขายมันไม่ลงแล้วละ
“คุณนี้ก็พูดเกินไปแล้วนะ ทุกๆคนใช่ว่าจะได้รับการศึกษาแบบขุนนางอย่างเราสักหน่อย อะไรที่เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ช่วยมองข้ามไปเถอะ”
เอ่อ นั้นเป็นการด่าแบบอ้อมๆว่าตูไร้การศึกษาปะวะ ถึงจะรู้ว่าเจตนาดีก็เถอะ
“ก็ได้.. ผมจะมองข้ามเรื่องนี้ไป แต่ถ้ามีอีกครั้งผมจะไม่ร่วมโต๊ะอาหารกับเขาเด็ดขาด”
“คุณนี้ชอบจู้จี้อยู่เรื่อยเลยนะ… ขอโทษด้วยนะคะ คุณแกรนจนกว่าจะกินมื้อเย็นจบ ฉันคงต้องขอให้คุณช่วยเงียบๆ ไปสักพักหนึ่ง เผอิญสามีของฉันเขาเป็นคนเคร่งเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารมากๆเลยนะคะ”
“อืม..”
เอาเป็นว่านั้งกินเงียบๆ ไปจนกว่าจะคุยธุระเสร็จดีกว่ามั้ง ขนาดก้าก้ากับไอ้เจี๊ยบยังทำได้สบายเลยนี้นะ ไม่สิ..ก้าก้าปกติก็แทบไม่พูดอะไรอยูแล้วนี้หว่า ที่น่าสกสัยคือไอ้เจี๊ยบต่างหากไหงเอ็งมานั้งกับเขาด้วยละ แถมยังอยู่นิ่งๆไม่กระดุกดิกได้อีก ตูยังไม่ได้สั้งให้เอ็งทำเลยนะเว้ย ชักสกสัยแล้วว่ามันเป็นแค่ลูกนกจริงๆเหรอเนี้ย?
ในขณะที่ผมกำลังมองไปเจี๊ยบอยู่นั้นอาหารก็มาเสริฟที่โต๊ะโดยเหล่าเมดรับใช้ โดยจานแรกเป็นไก่อบที่ตัวเล็กกว่าตัวไอ้เจี๊ยบเล็กน้อย ตามด้วยขนมปังกับผลไม้ สลัดผัก และซุปมันฝรั้งที่แสนจะคุ้นเคย…. แม้แต่บ้านขุนนางเองก็ไม่ได้กินอะไรหรูมากสินะ ต่างจากพวกขุนนางที่พวกเราเห็นที่โรงเรียนเลยแหะ.. ผิดจากที่หวังไปหน่อยแต่ก็ช่างมันเถอะ แค่มีไวน์แดงก็พอแล้วละ ถึงจะมีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีกับเจ้านี้ แต่มันก็ยังเป็นของโปรดของผมอยู่ดีนั้นแหละ
“แกรน พวกนั้น กำลัง ทำอะไร?”
ก้าก้าพูดพร้อมกับมองคนรอบๆ ที่กำลังประกอบมือทั้งสองข้างด้วยกันและหลับตาอยู่นิ่งๆ ก่อนที่จะลงมือกินอาหารที่อยู่บนโต๊ะ ที่ประเทศสัตว์ป่าไม่มีธรรมเนียมแบบนี้สินะ
“พวกเขาสวดขอบคุณเทพธิดาแห่งแสงก่อนกินข้าวนะ ส่วนพวกเราที่ไม่ได้นับถือเทพธิดาก็ไม่ต้องไปทำตามก็ได้ เพราะงั้นลงมือกินกันเถอะ และห้ามใช้มือด้วยละ”
“เข้า ใจ แล้ว”
ก้าก้าลงมือยกซดซุปตรงหน้าของเธอจนหมดก่อนจะต่อด้วยการใช้มีดตัดเนื้อไก่ออกมาและต่อด้วยสลัดและอาหารอื่นๆ อย่างรวดเร็ว จนโต๊ะตรงที่เธอนั้งเต็มไปด้วยเศษอาหาร คุณเมดที่มองอยู่ก็เหมือนจะทำหน้าแหยงๆเล็กน้อย
ส่วนตัวผมเองก็บอกให้เมดเต็มไวน์ให้อีกหลังจากที่ดื่มแก้วแรกหมดไป โดยที่ยังไม่ทันได้แตะอาหารบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย จนทำให้ท่านบารอนมองผมอีกครั้งด้วยสายตาที่ดูเคืองๆเล็กน้อย
อะไรละ? ก็ผมไม่ได้เสียงดังแล้วนี้น่า การกินอาหารควรเริ่มจากการเสพสุขกับสิ่งที่อร่อยที่สุดก่อนที่มันจะไม่เหลืออะไรไว้เลย นี้ไม่ใช่แค่ข้ออ้างให้ตัวเองที่อยากกินไวน์อยู่แล้วถือโอกาศกอบโกยนะเออ นี้มันคือวิถีชีวิตของผมต่างหากละ
มื้อเย็นนี้เป็นไปได้ด้วยดี ก้าก้าเองก็ของบนโต๊ะจนเกือบหมด ส่วนผมเองก็สำคาญใจกับไวน์ไปประมาณ3ขวด จริงๆ อยากต่อขวดที่4แต่คงต้องหยุดไว้ก่อนเพราะท่านบารอนเองเหมือนจะทำท่าทางไม่ค่อยพอใจผมมากขึ้นเรื่อยๆ แถมผมก็กลัวเมาจนพูดไม่รู้เรื่องด้วยจึงต้องหยุดไว้ก่อนละนะ
“ในเมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว เราก็เริ่มคุยธุระของเรากันเถอะคะ คุณแกรนและท่านก้าก้า”
เมื่อมาเรียพูดจบเธอก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เหล่าเมดและคนรับใช้ที่อยู่ประจำจุดคอยบริการเราก็ออกไปจากห้องทั้งหมด บรรยากาศห้องจึงเริ่มตึงเครียดทันที ทุกๆคนต่างเงียบและหันไปทางมาเรีย
“พรุ้งนี้ตอนบ่ายฝูงไจแอนแอ็นจะเริ่มจู่โจมเมืองคะ”
“อะไรนะ!!”
ผมยืนขึ้นทันทีเมื่อได้ยินชื่อของมัน มันเป็นมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างเหมือนมดแต่ตัวของมันนั้นใหญ่พอๆ กับผู้ใหญ่หนึ่งคนมันถูกจัดให้เป็นมอนสเตอร์แร๊งCด้วยพละกำลังของมันที่มหาศาลพอๆกับอ็อคและขากรรไกรที่สามารถตัดวดาบเหล็กได้สบายๆ ไหนจะเปลือกนอกที่เหมือนแมลงแข็งทำให้มันโคตรจะเป็นตัวที่ค่อนข้างอันตราย แม้มันจะเคลื่อนไหวได้ช้าก็ตาม แต่ปัญหาจริงๆคือคำว่าฝูงต่างหาก ขึ้นชื่อว่ามดมันไม่มีทางอยู่ตัวเดียวแน่นอน ขั้นต่ำของฝูงพวกมันคือ20ตัว สูงสุดก็มากว่า100ตัวและยังมีตัวที่บินได้อีก มีหลายหมู่บ้านที่หายไปเพราะพวกมัน ทำไมกัน..ทั้งที่ถึงฤดูหนาวแล้วพวกแมลงมันควรจะจำศีลอยู่ในรังแล้วไม่ใช่รึไง มันจะแปลกเกินไปแล้ว!!
“คุณแกรน ช่วยนั้งลงแล้วฟังให้จบหน่อยได้ไหมคะ”
“อะ..อืม”
ใจเย็นหน่อย ที่นี้อย่างน้อยก็เป็นเมือง..ต้องมีมาตราการรับมืออะไรสักอย่างอยู่แล้วละน่า ถึงขนาดสามารถรู้ความเคลื่อนไหวของพวกมอนสเตอร์ได้ก็ไม่ธรรมดาแล้วละ
“แม้ไม่อาจทราบจำนวนที่แน่ชัด แต่คงไม่ต่ำกว่าร้อยตัวอย่างแน่นอนคะ กองกำลังที่มีอยู่ในเมืองตอนนี้ต่อให้เอามาทบกับพวกนักผจญภัคก็ไม่พออยู่ดี ด้วยสภาพภูมิอากาศที่ค่อนข้างเลวร้ายในวันพรุ้ง ทำให้เราไม่อาจเปิดศึกกวาดล้างพวกมันอย่างเต็มรูปแบบได้ แม้จะน่าอายที่ต้องพูดมันออกมา แต่สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้ก็มีเพียงต่อสู้เพอยื้อให้พวกมันร่อนถอยกลับไปเองเท่านั้นค่ะ”
“แบบนั้นไม่ใช่ว่ามันแย่สุดๆเลยไม่ใช่รึไง!! ถ้าพลาดพวกนั้นหลุดมาในเมืองได้ แม้แต่ตัวเดียวพวกชาวบ้านไม่ชิบหายพอดีเลยรึไง!!”
“ก็เป็นไปตามที่คุณว่านั้นแหละคะ ดังนั้นฉันจึงอยากจะขอความร่วมมือจากท่านเทพสงครามเพื่อกำจัดพวกนั้นให้ได้มากที่สุดในวันพรุ้งนี้กับทีมกวาดล้าง เพื่อตัดกำลังของมันให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ตอนที่พวกมันกำลังเดินทางเพื่อลดจำนวนของพวกมันโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเท่าที่เป็นได้ค่ะ”
“คิดจะส่งก้าก้าไปเป็นหน่วยเดนตายรึไง?”
“ฉันถึงบอกว่าเท่าที่เป็นไปได้ยังไงละคะ ท่านก้าก้าเป็นกำลังรบที่สำคัญของพวกเราในตอนนี้ คงปล่อยไปได้ง่ายๆไม่ได้ หลังจากจู่โจมเสร็จเราจะขอให้แม่มดพาท่านก้าก้าและคนอื่นๆ ถอยกลับมาที่เมืองเพื่อรอต่อสู้ในเมืองอีกครั้งค่ะ”
“พูดเห็นแก่ได้จริงๆเลยนะ มาเรีย”
“นี้คือการปกป้องเมืองของพวกเรา ท่ามีอะไรที่ใช้ได้เราใช้มันให้คุ้มที่สุด รวมถึงคุณด้วยนะคะ นักบุญคนปัจจุบัน มีเรีย”
“นี้เธอ..รู้ได้ยังไง…”
มีแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่ได้บอกใครเลย และไม่คิดจะบอกด้วยซ้ำ คนที่รู้ก็มีแค่ยัยแวมไพร์เท่านั้น พวกนั้นไม่น่าจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของผมนี้
“แม้คุณจะยังไม่รู้แต่ทางศาสนจักรก็เริ่มประกาศให้คุณเป็นนักบุญอย่างเป็นทางการแล้ว ทำให้ภายใน9อาณาจักรสั้งตามล่าตัวคุณอย่างหนัก ตอนนี้ค่าหัวของคุณก็ถูกเพิ่มขึ้นจาก100,000เหรียญทอง เป็น300,000เหรียญทองแล้วละคะ”
“สะ..สามแสน!!”
นี้มันชิบหายหนักกว่าเก่าชัดๆ!! แถมถูกรู้ว่าเป็นนักบุญอีก ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาชีวิตแบบนี้ของเราต้องจบสิ้นแหงๆ แบบนั้นไม่เอาเด็ดขาด!!
“เพราะฉะนั้นในฐานะที่คุณสามารถใช้เวทรักษาได้ดีจึงจำเป็นต้องขอให้คุณคอยรักษาคนเจ็บร่วมกับคนเหล่าฮีลเลอร์คนอื่นๆ ที่โบสถ์แห่งแสงประจำเมืองเพื่อรักษาชีวิตของทหารและผู้คนที่ได้รับลูกหลง นี้คืองานที่เราจะให้คุณทำค่ะ”
“ทำไม ฉันต้องเสี่ยงถึงขนาดนั้นด้วยละ ต่อให้ทำไปฉันก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี แถมเสี่ยงที่จะโดนเปิดโปงความจริงอีก”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ เรามีค่าเหนื่อยให้สำหรับพวกคุณอย่างคุ้มค่าแน่นอน ส่วนเรื่องการปกปิดตัวตนนั้นเราจะช่วยคุณอย่างเต็มที่ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเปิดโปงไปหรอกคะ”
“มันจะคุ้มค่าสักแค่ไหนกันเชียวละ ถ้าถูกเปิดเผยว่าตัวเองคือนักบุญแล้วต้องถูกตามล่าทีหลังนะ”
“ดูเหมือนคุณจะเข้าใจอะไรผิดไปนะคะ นี้ไม่ใช่คำขอร้องเหมือนครั้งที่แล้ว แต่เป็นคำสั้ง คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธใดๆ ทั้งสิ้นค่ะ”
“…….”
นี้ตูโดนบับคับหรอกเหรอ.. ตลกเป็นบ้า คิดว่าจะยอมทำตามง่ายๆ รึไง
“หากปฏิเสธหรือพยามขัดขืนใดๆ นอกจากคุณจะถูกไล่ล่าจนกลายเป็นคนเร่ร่อนของจริงแล้ว เพื่อนๆของคุณทั้งหมดจะถูกจับในข้อหาช่วยกันปกปิดตัวตนของคุณค่ะ”
“พวกเขาไม่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของฉันซักหน่อย!! อย่าลากพวกเขามาเกี่ยวสิ!!”
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ซักเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่นี้ไม่ใช่ก็แค่พวกเราตระกูลบรอนที่รับผลกระทบ แต่ผู้คนทั้งหมดในเมืองพวกเราเพราะงั้นได้โปรดให้ความร่วมมือเพื่อปกป้องผู้คนของเราด้วยเถอะคะ”
“….”
น่าโมโหชะมัด.. ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าทำเพื่อลดความเสียหายที่จะเกิด แต่มันจำเป็นต้องมีผมร่วมด้วยจริงๆเหรอ? แค่รักษาก็ใช้โพชั่นก็พอแล้วไม่ใช่รึไง คนที่ใช้เวทรักษาได้ที่โบสเองก็มีอยู่แล้ว ทำไมต้องลากผมกับคนรอบตัวไปยุ่งกับเรื่องที่ดูยุ่งยากแบบนั้นด้วยละ แถมยังส่งก้าก้าไปอยู่แนวหน้าอีก…น่าหงุดหงิดชะมัดยาด
“แกรน ใจ เย็น”
“ก้าก้าเธอรับได้รึไง พวกนั้นจะส่งเธอไปอยู่แนวหน้าเลยนะ”
“ไม่เป็น ไร ชิน แล้ว ก้าก้า อยาก ปกป้อง เพื่อน ของ แกรน”
“เธอแน่ใจจริงๆเหรอว่าอยากจะทำนะ มันอันตรายนะ”
“อืม..”
ก้าก้าตอบด้วยคำสั้นๆตามปกติของเธอ แต่ดวงตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั้นที่เต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆของเธอ ก็นะ..ก็สมแล้วละที่เป็นวีรสตรีสงคราม มันก็คงประมาณนี้ละมั้ง เอาเถอะ ไหนๆ ก็มีโอกาสทำอะไรใหม่ๆแล้ว ก็ลองทำมันไปก็ไม่เสียหายนี้นะ แถมได้ช่วยคนด้วย นานๆทีได้ทำหน้าที่ในฐานะนักบุญก็ไม่เลวละนะ
“ถ้าเธออยากทำจริงๆ ฉันเองก็ต้องทำด้วยความเต็มใจแล้วละนะ ยังไงซะก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว ลองทำอะไรดีๆซักหน่อยก็ไม่เลวเหมือนกัน”
“แกรน…”
หุๆ พูดจาอะไรฟังหล่อๆก็เป็นเหมือนกันนะเนี้ยเรา ตอนนี้ตัวเราคงต้องดูเท่สุดๆ มากแน่ๆ สุดยอดจริงๆ เลยนะ ตัวเรา เอาละ กลับมาธุระของเราดีกว่า
“ก็อย่างที่พูดไปเมื่อกี้ สรุปจะให้พวกเราทำอะไรละ”
“ตอนรุ่งสางจะมีคนของเราไปรับพวกคุณที่โรงแรม หลังจากนั้นจะชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดให้อีกที เพราะฉะนั้นวันนี้คงต้องขอให้คุณกลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมในวันพรุ้งนี้ค่ะ”
“เข้าใจแล้วละ ขอบคุณที่เลี้ยงนะ”
ผมลุกขึ้นโดยที่ไม่กล่าวลาอะไรเป็นพิเศษกับมาเรียและท่านบารอนเลยแม้แต่น้อย
ส่วนก้าก้าลุกขึ้นมาและก็เดินตามผมมาอย่างเงียบๆ ไอ้เจี๊ยบเองก็เหมือนจะรู้งานโดดลงมาจากเก้าอี้และเดินตามหลังก้าก้าอีกที… พอเดินแบบนี้มันเหมือนพวกปาตี้ในเกมส์RPGยุคเก่าภาพ8Bitเลยแหะ เอาไว้ออกจากบ้านค่อยให้มาเดินข้างๆละกัน