ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ - ตอนที่ 45
“หม่าม๊าสุดยอด!!”
“ชูดยอดดดด!!!”
“ฮ่าๆ แค่นี้เบาะๆครับ”
ไคเอลหัวเราะออกมาอย่างอารมดีในขณะที่วิ่งลากรถม้าอยู่บนเส้นทางหลวงของแกรนเทล ซึ่งรถม้าที่เธอลากอยู่นั้นเป็นแบบที่เอาไว้บรรทุกสัมภาระและสินค้า มันเป็นสิ่งที่เธอสร้างขึ้นมาโดยใช้เวทมนต์ของตัวเองเพื่อใช้เดินทางเพียงชั่วคราวเพียงเท่านั้น
“คุณเจมินี่คะ หนูมีเรื่องที่อยากจะถามคุณสักหน่อยนะคะ”
“มีเรื่องอะไรก็ถามมาได้เลยจ๊ะ”
“คุณหม่าม๊าเนี้ย….ทำไมถึงมีแรงเยอะขนาดนั้นละคะ”
เรย์มองไปที่ไทเอลที่กำลังลากรถม้า เธอนั้นวิ่งไม่หยุดตั้งแต่เมื่อ5ชม.ที่แล้วตั้งแต่ออกมาจากหมู่บ้าน และไม่มีวี่แววว่าแรงเธอจะตกเลยสักนึด และดูเหมือนเธอจะทำอะไรกับรถม้าทำให้รถม้าที่ควรสะเทือนเพราะความเร็วและพื้นของถนนกลับมีแรงสะเทือนที่น้อยมากๆ จนน่าประหลาด
“ไม่ใช่แค่หม่าม๊าหรอกที่มีแรงเยอะ ฉันกับคาลเองก็มีแรงเยอะเหมือนกัน”
“จริงเหรอคะ.. แต่คุณเจมินี่กับคาลแบว่า..ดู..”
“ดูอ่อนแอใช่มั้ยละจ๊ะ แต่ตรรกะตามปกติเอามาตัดสินภูติดำอย่างพวกเราภูติดำไม่ได้หรอกนะ”
“ภะ…ภูติเหรอคะ?”
“ใช่แล้วละ หม่าม๊า คาล และฉัน ต่างเป็นภูติทั้งนั้นแหละจ๊ะ”
“แต่คุณภูติที่หนูรู้จักมันต้องมีปีกและตัวเล็กกว่านี้นะคะ”
“นั้นคือพวกแฟรี่กับพิกซี่จ๊ะ จริงๆพวกเราก็ถูกนับเข้าไปร่วมในกลุ่มนั้น แต่พวกเราต่างกันนึดหน่อยนะ”
“ต่างกันตรงไหนเหรอคะ?”
“ก็พวกนั้นพิเศษตรงที่มีกายหยาบที่สร้างจากพลังเวทมนต์โดยตรง ไม่ต้องผ่านการอุ้มท้องเหมือนพวกเราเพื่อสร้างกายหยาบเพื่อคงอยู่ จริงๆแล้วภูติมีอยู่2ประเภทหลักๆ แต่ทั้งหมดนั้นก็เกิดมาจากำพลังเวทบริสุทธิ์ทั้งหมดไม่มีข้อยกเว้นหรอกนะ”
“ภูติมี2แบบเหรอคะ แล้วมันมีแบบไหนบ้างละคะ คุณเจมินี่”
“แบบแรกก็คือ ภูติแบบมีกายหยาบจ๊ะ ถ้าให้ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็แบบพวกฉันนี้แหละ สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าและจับต้องได้ พวกนี้ส่วนใหญ่จะเกิดมาราชินีภูติเกือบทั้งหมดละ”
“แล้วอีกแบบหนึ่งละคะ?”
“อีกแบบก็คือภูติที่ไร้กายหยาบพวกนี้จะอยู่ในรูปแบบพลังงานเวทมนต์ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ ต้องอาศัยการสัมผัสพลังเวทเพียงอย่างเดียว พวกนี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ มีความพิเศษตรงที่มีความนึกคิดเป็นของตัวเองแม้จะไร้กายหยาบก็ตาม แต่พวกนั้นก็ไม่ได้มีพลังถึงขนาดมายุ่งกับวัตถุได้โดยตรง ต้องอาศัยสื่อกลางอย่างพลังเวทย์ของคู่สัญญาหรือเข้าไปสิงในวัตถุโดยใช้วิธีการพิเศษ ถ้าให้พูดละก็พวกนี้เหมือนสปิริตหรือพวกผีนั้นแหละจ๊ะ”
“ยะ…อย่างงั้นเหรอคะ..ฟังดูซับซ้อนจังนะคะ…”
“ภูติก็เป็นสิ่งมีชีวิตแบบนั้นแหละจ๊ะ ไม่จำเป็นต้องไปทำความเข้าใจให้ยุ่งยากหรอก”
เจมินี่ยิ้มให้กับเรย์ที่กำลังงุนงงกับคำอธิบายของเธอ
“จะว่าไปคุณมีเรียพออยู่ในชุดนั้นก็สวยดีนะคะ”
“งะ..งั้นเหรอคะ นี้มันเป็นชุดสมัยสาวๆ คิดว่าคงไม่เหมาะเท่าไหร่ละมั้งคะ”
มีเรียอยู่ในสภาพชุดต่อสู้พร้อมรบของเธอ มันเป็นชุดแขนกุดสีแดงและกางเกงขาสั้นมันเป็นชุดที่เน้นความเร็วในการเคลื่อนไหว และมีเกราะเล็กๆ ติดตรงเข่า ข้อมือ แขน และส่วนอื่นๆ ที่มีผลต่อการต่อสู้ ตรงมือเองก็มีสนับมือเหล็กแบบหนามแหลม ส่วนประกอบนี้หากมองไกลๆ ก็รู้ว่าเธอเป็นนักสู้ แต่มีเรียก็กระอักกระอวมพอสมควรที่ต้องกลับมาใส่ชุดนี้อีกครั้งหลังจากทิ้งมันไปนานกว่า15ปีแล้วก็ตาม
“จะว่าไปเป็นดีไซน์ที่ดีเหมือนกันนะคะ ไม่ทราบว่าซื้อมาจากไหนเหรอคะ?”
“เสื้อนี้เป็นชุดที่แม่ของฉันให้มาเป็นของขวัญสมัยที่ยังสาวๆ ส่วนเรื่องที่มาของมัน ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันคะ..”
“เข้าใจแล้วละคะ ท่างั้นขอนำไปเป็นแบบหน่อยนะคะ คุณมีเรีย”
“เชิญคะ”
เจมินี่ลงมือวาดแบบชุดใหม่ของเธออีกครั้งบนรถม้า แม้มันจะสั่นมากแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาในการคิดคอนเซ็ปใหม่ๆ ของเธอ ดูเหมือนตั้งแต่ได้มาเที่ยวผ่อนคลายจะทำให้สมองแล่นมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“นี้!! นั้งกันดีๆหน่อยสิ คาล ดรีม!!”
เทลดุคาลกับดรีมที่เอาแต่โดดไปมาบนรถม้า ตอนนี้เธอรู้สึกปวดหัวหนักกว่าเก่าเพราะแค่ดูแลพี่และน้องสาวก็เกินมือของเธอเป็นมากพออยู่แล้ว
“”ค่า~””
แต่ถึงอย่างงั้นคาลกับดรีมเองก็ดูเหมือนจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พวกเธอกลับไปนั้งที่เงียบๆ และนั้งชมวิวข้างทางต่อไป ทางเรย์ที่เห็นดั้งนั้นจึงโล่งใจ เพราะเป็นห่วงพวกเธอจะพลัดตกจากรถม้าเหมือนกัน
“จะว่าไปทำไมเราต้องไปที่เมืองหลวงด้วยเนี้ย ไม่ใช่พวกเธอมารับพวกเราไปอยู่ด้วยหรอกเหรอ”
“ก็หม่าม๊าไม่มีเวลาว่างจนแทบไม่ได้กลับบ้านเลยอะนะ ก็เลยถือโอกาสพาคาลกับคุณแม่มาเที่ยวด้วยไง”
“งั้นเหรอ..พวกเธอนี้โชคดีจริงๆนะ ที่มีครอบครัวที่ครอบครัวที่ดีขนาดนี้”
“เทล..”
เทลรู้สึกเศร้าใจทุกครั้งที่เห็นครอบครัวคนอื่นอยู่กันพร้อมหน้า แม้ตัวเธอจะไม่ได้รู้สึกอิจฉาพวกเขา แต่ทุกครั้งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับพวกเธอที่ไม่รู้แม้แต่ว่าใครเป็นพ่อของตัวเองด้วยซ้ำ ส่วนแม่เองแม้จะกลับมาเป็นพักๆ แต่พวกเธอก็ไม่เคยพบเธอเลย เพราะแอนนี่จะมาเพียงแค่ให้เงินกับมีเรียและก็จากไป โดยที่ไม่ได้พูดคุยกับพวกเธอแม้แต่น้อย
“อย่าทำหน้าเศร้าจิ ยังไงพี่สาวก็จะมาเป็นพี่สาวคนใหม่ของคาลน้า~ แถมยังมีคุณป้าตามมาด้วยอีก คาลมีสุขน้า~”
“ดรีมด้วย!!!”
คาลกับดรีมพุ่งเข้าไปกอดคาลที่กำลังทำสีหน้าเศร้าสร้อยอยู่ เทลมองไปที่พวกเธอทั้งสองคนที่กำลังกอดเธออย่างมีความสุขเหมือนกับเด็กทั้วๆไปตอนที่ได้กอดเธอ
“พี่ด้วย!!”
พี่สาวที่นั้งอยู่อีกฝั้งก็มาร่วมแจมกับเขาด้วย… ให้ตายสิ..ครอบครัวของฉันก็อยู่ตรงนี้แล้วไม่ใช่รึไง มัวแต่เศร้าอยู่ได้ไม่สมกับเป็นฉันเลยสักนึด
“ใช่แล้วละ!! เพราะตอนนี้ฉันคือพี่สาวของพวกเธอยังไงละ!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ทำบ้าอะไรของพวกเธอเนี้ย!!!”
เทลตวาดใส่คาลและดรีมที่จู่ๆ ก็มาจี้ที่เอวของเธอจนหัวเราะออกมา
“ก็พี่สาวไม่ยอมร่าเริ่งยังไงละ เนอะ”
“เนอะ”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ .หะ..หยุด..หะ..หาย..ไม่ทันแล้ว”
“ลืมพี่ไปแล้วสินะ แบบนี้ต้องโดนลงโทษ!!!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
พวกเธอทั้งสามรุมจั้กจี้เทลจนหัวเราะออกมาไม่หยุด อย่างสนุกสนาดและดูเหมือนว่าตอนนี้เทลจะเริ่มโต้คืนพวกเธอด้วยการจี้กลับได้แล้ว
“ท่าทางคาลจะสนิทกับสามพี่น้องเร็วกว่าที่คิดนะคะ คุณเจมินี่”
“ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างงั้นแหละคะ”
มีเรียและเจมินี่นั้งเฝ้าดูเด็กๆ เล่นกันอย่างมีความสุขและอมยิ้มเล็กน้อย
“ดูเหมือนฉันต้องทำเสื้อกันหนาวเพิ่มอีก4ตัวแล้วนะคะ แบบนี้นะ”
“จะทำให้ฉันด้วยเหรอคะ ชักอยากเห็นแล้วสิว่าเสื้อที่คุณเจมินี่ทำจะออกมาเป็นแบบไหน ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจแฟชั่นของสาวๆ สมัยนี้แล้วละคะ ก็เป็นคุณป้าแล้วนี้นะ”
“เชิญเอาไปชมได้เลยคะ”
“นี้คือ..”
เจมินี่ชุดพร้อมกับยื่นกระดาษสีที่มีรอยขีดเขียนมาทางเธอ ซึ่งพอมีเรียรับมาก็เห็นรูปชุดที่ถูกวาดไว้บนกระดาษ โดยชุดที่เธอเขียนไว้มันเป็นแบบชุดที่ดูหนาๆที่น่าจะกันหนาวได้ดีแถมยังเป็นชุดแบบคอเต่าและส่วนแขนเองก็ไม่มีอีกด้วย แต่กลับเว้าทางด้านหลังเอาไว้เหมือนพวกชุดราตรี ความยาวของชุดในหุ่นแบบที่เธอวาดไว้มันยาวถึงเข่าซึ่งเป็นกระโปรงไปเลย ในนั้นมีเขียนข้อความเป็นภาษาของแกรนเทลเอาไว้ว่า ชุดแฟชั่นหน้าหนาวสุดทันสมัยกับสาวแม่บ้านสุดร้อนแรง(ถอดออกง่าย) ซึ่งทางมีเรียพอเดาได้ว่าชุดนี้มันต้องเป็นของเธอแน่นอน
“เอ่อ.. ฉันคิดว่าเสื้อแบบนี้ไม่น่ากันหนาวได้สักนึดเลยนะคะ..”
“ก็เพราะแบบนั้นถึงเรียกว่าแฟชั่นยังไงละคะ”
“ในสัมภาระที่เอามาด้วยน่าจะมีเสื้อหนังหมีมาด้วย… เพราะงั้นไม่ต้องทำเผื่อฉันแล้วนะคะ”
“ทะ..ทำไมละคะ!! ชุดนี้เหมาะกับคุณมีเรียมากๆเลยนะคะ!!”
“อะ..แหะๆ..”
มีเรียไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มเจื้อๆและก็หัวเราะกลบเกลื่อน ในตอนแรกเธอตั้งใจจะบอกไม่ชอบใส่ชุดโชว์ผิวหนัง แต่ดูเหมือนชุดที่เธอใส่ในตอนนี้มันจะทำให้คำพูดมันดูขัดแย้งกับการกระทำเธอเอาได้
ทางไทเอลที่กำลังลากรถม้าก็หันไปมองพวกเธอและก็ยิ้มออกมาอย่างอารมดี ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใกล้คำว่าครอบครัวมากกว่าที่ตัวเธอคิดเสียอีก
.
.
.
.
.
“ว้าวววว กำแพงใหญ่จางงง~”
“ใหญ่จาง~”
คาลและดรีมชื่นชมกำแพงขนาดใหญ่สีขาวที่อยู่ตรงหน้ามันยาวสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
“สะ..สุดยอดก็เคยได้ยินว่ากำแพงเมืองหลวงมันใหญ่มากก็เถอะ แต่ไม่คิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย”
“บะ..แบบนี้ผู้ชายเยอะแน่ๆ…พะ.พะ..พี่ไม่ไหวหรอก”
เทลเองก็ตื่นเต้นเช่นกันที่ได้เห็นกำแพงเมืองขนาดใหญ่ ต่างจากเรย์ที่เริ่มหวาดระแหวงตามนิสัยของเธอ
“เป็นกำแพงเมืองที่ใหญ่มากจริงๆนะคะ ต่างจากเมืองของเราที่ไร้ซึ่งกำแพงอย่างสิ้นเชิงเลย”
“เป็นเพราะแกรนเทลเป็นประเทศผู้นำในการจัดตั้งพันธมิตร 9 อาณาจักร ก็เลยต้องประกาศศักดากันหน่อยแหละคะ ข้างในเมืองเองก็น่าจะเปลี่ยนไปจากครั้งล่าสุดที่มาด้วย พอถึงเมืองช่วยพยามเดินเกาะกลุ่มกันดีๆ เพื่อกันการผลัดหลงด้วยนะคะ”
“คุณมีเรียดูระวังตัวจังเลยนะ ไม่ทราบว่าในนั้นมีอะไรรึเปล่าคะ?”
เจมินี่สกสัยตั้งแต่ออกมาจากหมู่บ้านแล้ว พอบอกว่าจะไปที่เมืองหลวงของแกรนเทลเธอก็ดูตกใจ และไปรื้อชุดเก่าๆของตัวเองมาใส่โดยที่ไม่ได้สนใจเรื่องความสะอาด ทางเจมินี่ก็ร่ายเวทcleanเพื่อทำความสะอาดให้เพราะทนเห็นควาทสกปรกของชุดไม่ได้ตามนิสัยของเธอที่ค่อนข้างรักความสะอาด
“ที่นั้นเป็นเมืองที่ดีเมืองหนึ่งตามปกตินั้นแหละคะ.. แต่ว่าที่นี้มีพวกคนไม่ดีแฝงตัวอยู่เยอะพอสมควรเหมือนกัน การระวังตัวไว้จึงเป็นเรื่องที่ควรทำคะ”
“แม้แต่เมืองหลวงของผู้กล้าก็ยังมีคนไม่ดีสินะคะ”
“แน่นอนคะ แต่เห็นทีคนที่น่าจะต้องระวังตัวที่สุดก็น่าจะคุณนะคะ”
“เอ๋? ฉันเหรอคะ?”
“ใช่แล้วละคะ ช่วงนี้มีพวกล่าทาสคอยป่าวประกาศรับซื้อภูติดำไปทั้วอย่างไม่เกรงกลัวกฏหมายกันเลย ทำทุกคนในแกรนเทลรู้ลักษณะเด่นของภูติดำกันหมดละคะ”
“แบบนี้ก็แย่สิคะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเด็กๆก็จะโดนลูกหลงด้วยนะสิ”
“ฉันเองก็กังวลเรื่องนี้เหมือนกันคะ”
เจมินี่คิดหนักท่าหากเป็นเธอหรือภูติดำคนอื่นๆ โดนจู่โจมคงเอาตัวรอดได้ไม่ยาก แต่สำหรับเด็กสาวทั้งสามนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น
“ช่วยไม่ได้จริงๆสินะ.. ถ้างั้นก็…”
.
.
.
.
“คนต่อไป!!”
ทหารประจำเมืองตะโกนขึ้น เขามีหน้าที่คือตรวจสอบสัมภาระและผู้คนที่เข้าออกภายในเมืองนี้เพื่อความสงบเรียบร้อยของเมือง เมื่อรถม้าคันถัดไปเข็นมาตามที่เข้าบอกเขาก็ตะลึงเพราะสิ่งที่ลากรถม้าอยู่ไม่ใช่ม้าหรือพวกมังกรดิน แต่เป็นชายหน้าตาดีคนหนึ่งที่ดูน่าสกสัยสุดๆ กำลังลากรถม้าสำหรับขนสัมภาระที่ขนผู้หญิงและเด็กมาเต็มคันรถ
“หือ? เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
“ปะ..เปล่า..ไม่อะไร ขอดูใบผ่านด้วย”
“นี้ครับ”
ผู้ชายคนนั้นควักใบผ่านทางสำหรับบุคคลทั้วไปที่ไม่ใช่พ่อค้า แถมยังเป็นของอาณาจักรสัตว์ที่อยู่ห่างไกลจากที่นี้อีกด้วย ทหารคนนั้นจึงให้สัญญาณมือเพื่อปิดล้อทเส้นทางหนีและล้อมเขาเอาไว้
“คนจากอาณาจักรสัตว์อย่างนายมาทำอะไรที่แกรนเทล? คงไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี้สินะ”
“ก็ช่วงนี้ผมลาพักร้อนมาได้นะครับ เลยกะจะพาครอบครัวมาเที่ยวที่แกรนเทลเพื่อชมความสวยงามที่เลื่องชื่อสักครั้งนะครับ”
ทหารหันกลับไปหาคนที่อยู่ในป้อมที่กำลังเฝ้าเครื่องจับเท็จอยู่เขาให้สัญญามือว่าเป็นเรื่องจริง
“ผู้หญิงบนรถนั้นเป็นครอบครัวของนายทั้งหมดเลยเหรอ?”
“ใช่แล้วละครับ ทั้งหมดนี้คือครอบครัวของผมเอง”
ทหารมองไปที่พวกผู้หญิงบนรถม้า มีเด็กผู้หญิง4คนน่าจะเป็นลูก ผู้หญิงที่ดูมีอายุอีก1ที่แต่งตัวพร้อมรบราวกับพวกนักผจญภัคน่าจะเป็นคนคุ้มกัน สาวงามอีก1คนที่มีผมสีน้ำตาลอ่อนผิวขาวอมชมพู่น่าจะเป็นภรรยาของผู้ชายคนนี้
“นายขนของมาขายที่นี้รึเปล่า”
“ผมไม่มีงานอดิเรกทำตัวเป็นพ่อค้าหรอกนะ ผมก็แค่คนทำงานทั้วไปที่อยากมาท่องเที่ยวเพื่อผ่อนคลายจากงานของผมครับ”
“งั้นเหรอ… แต่ก็คงต้องขอตรวจสอบสัมภาระเพื่อความแน่ใจหน่อยละกัน”
เหล่าทหารขึ้นไปบนรถม้าเพื่อตรวจสอบรถม้า พวกเขารื้อสัมภาระของมีเรียที่นำมาด้วยแต่เหมือนจะไม่เจออะไรที่น่าสกสัยจึงโบกมือให้สัญญาณกลับไป
“นายนะแตะที่ลูกแก้วนี้สิ”
“ครับ”
เมื่อผู้ชายคนนั้นแตะลูกแก้วก็พบว่าเขาเป็นประชาชนของอาณาจักรสัตว์จริง ไม่มีประวัติอาญากรเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อมองไปที่เผ่าพันธ์และเพศของเขาก็ต้องตกใจทันที
“นี้นาย..ไม่สิ..เธอเป็นภูติดำสินะ”
“ใช่แล้วละครับ ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?”
“ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ก็แค่อยากจะขอให้เธอระวังตัวไว้ให้ดีอย่าออกมาเดินตอนกลางคืนหรือไปในที่แปลกๆละกัน”
ทหารเตือนไทเอลด้วยน้ำเสียงจริงจัง ส่วนไคเอลนั้นก็ยังยิ้มเป็นมิตรให้กับทหารเหมือนกับทุกคนที่เธอเจอ
“ขอบคุณสำหรับคำเตือน ไว้ผมจะระวังตัวให้ดีสุดๆเลยละครับ”
“ดีแล้วละ ทีนี้คงต้องขอรบกวนให้พวกเธอลงจากรถม้าและเดินไปที่ป้อมด้านในเพื่อลงทะเบียนเข้าเมืองอย่างถูกต้องตามกฏระเบียบ ค่าธรรมเนียมหรือรายละเอียดเชิญไปคุยด้านในละกัน หน้าที่ของฉันจบแค่นี้แหละ”
“เข้าใจแล้วละครับ”
.
.
.
.
“ผะ..ผู้ชายเต็มไปหมดเลย”
เรย์แนบไปกับพื้นรถม้าเพื่อหลบสายตาของผู้คนที่จ้องมองพวกเธอ ตอนนี้พวกเธอนั้นเด่นสุดๆ เพราะไทเอลนั้นเป็นคนลากรถม้าเดินไปมาอย่างสบายใจราวกับว่ามันไม่มีน้ำหนักเลยแท้แต่น้อย ส่วนทางดรีมกับเทลเองก็ดูท่าทางตื่นเต้นที่ได้มาเมืองใหญ่เป็นครั้งแรก
“พวกเรานี้เด่นสุดๆเลยนะคะ..คุณเจมินี่”
“ก็แหม หม่าม๊าเป็นคนหน้าตาดีนี้นะ จะเด่นก็ช่วยไม่ได้หรอกคะ”
“ฉันว่าเรื่องนั้นไม่น่าจะใช้นะคะ… ว่าแต่ทำไมคุณถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้นละคะ”
ตอนนี้ผมสีขาวของเจมินี่ได้เปลี่ยนไปเป็นสีน้ำตาลอ่อนเช่นเดียวกับดวงตาของเธอ สีผิวเองก็เปลี่ยนกลายมาเป็นสีขาวอมชมพูและใส่ชุดเดรสเหมือนชาวบ้านหญิงทั้วไป
“ก็คุณมีเรียบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าฉันเด่นเกินไปก็เลยใช้[Attire]เปลี่ยนภาพลักษณ์นึดหน่อยเท่านั้นเองคะ”
“ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเวทมนต์สักเท่าไหร่ แต่ก็สุดยอดไปเลยนะคะ สามารถเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ เวทมนต์นี้ช่างสะดวกจังเลยนะคะ”
มีเรียรู้สึกประทับใจของเวทมนต์ของเจมินี่มาก สำหรับเธอที่ไร้เวทมนต์นั้นถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก แม้ตอนเป็นนักผจญภัคเองก็ไม่เคยเห็นเวทมนต์ที่สามารถแปลงกายได้เลยสักครั้งในตลอดชีวิต 43 ปี ของเธอ
“เลี้ยวด้านซ้ายตรงแยกหน้าเลยใช่มั้ยครับ คุณมีเรีย”
“ใช่แล้วละคะ จอดหน้าโรงแรมที่ชื่อว่า’ขนนุ่ม’เลยนะคะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
ไทเอลลากรถม้าไปตามที่มีเรียบอก เธอเลี้ยวซ้ายตรงทางแยกโดยผ่ายฝูงชนคนอื่นๆ ที่มองเขาด้วยความสกสัย ว่าทำไมเขาถึงต้องมาลากรถม้าแทนม้าด้วย? เสียงซุบซิบมากมายตามหลังเธอ แต่ไทเอลก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะวันนี้เธอตั้งใจจะมาเที่ยวกับครอบครัวเพียงเท่านั้น
เมื่อมาถึงหน้าโรงแรมที่มีป้ายชื่อว่าขนนุ่มเธอก็หยุดรถม้าในทันที มันเป็นโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ต่างจากคำบอกเล่าของมีเรียที่บอกมันเป็นโรงแรมขนาดกลางธรรมดาทั้วไป
“ใช่ที่นี้แน่เหรอครับ?”
“แน่นอนคะ แม้มันจะดูแตกต่างจากเมื่อก่อนแต่เป็นที่นี้ไม่ผิดแน่คะ!!”
“งั้นรบกวนช่วยลงจากรถม้าก่อนนะครับ แน่นอนว่าอย่าลืมเอาของลงให้หมดก่อนด้วยนะครับ”
“คะ!!”
มีเรียและเด็กๆ ต่างช่วยกันขนสัมภาระลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเธอก็สลายรถม้าคันนั้นทิ้งไป เหล่าผู้คนที่ผ่านไปก็ต่างตกใจที่จู่ๆรถม้าคันใหญ่ก็หายไปในพริบตาเดียว ยกเว้นแต่พวกมีเรียและเด็กๆ ที่เห็นเธอสร้างรถม้าจากความว่างเปล่ามาตั้งแต่แรกแล้ว พวกเธอก็เดินเข้าไปในโรงแรมแห่งนั้นทันที
“มีเรีย!! นี้เธอจริงๆเหรอ”
พอเข้าไปในโรงแรมก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินสวนกับมีเรียร้องทักขึ้น
“ก็ฉันนี้แหละ จะเป็นใครไปได้ละลีน่า”
“มีเรีย!!”
“อย่ามากอดกันสิลีน่า พวกเราไม่ใช่เด็กๆกันแล้วนะ”
หญิงสาวที่ดูท่าทางมีอายุพอๆกับมีเรีย เขาโผกอดเธอทันทีด้วยความคิดถึง
“จะอายอะไรกันมาเรีย เมื่อก่อนเธอกับฉันก็เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ่งยิ่งกว่านี้อีก ไม่ใช่รึไง”
“อย่าพูดอะไรที่ชวนเข้าใจผิดสิ ฉันกับเธอเป็นแค่เพื่อนเก่ากันเท่านั้นแหละ”
“แหม~ ยังเย็นชาเหมือนเคยเลยนะ เธอเนี้ย”
“เลิกเล่นซะทีลีน่า เธอเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ หัดทำตัวให้สมอายุหน่อยสิ”
“เชอะ ก็ได้ๆ จะเอาห้องสวีทเตียงเดียวใช่ไหม?”
“เอาสองห้องใหญ่ต่างหาก เธอไม่เห็นคนข้างหลังฉันรึไง”
“ข้างหลัง?”
เมื่อลีน่ามองไปข้างหลังของมาเรียก็พบคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งและมีเด็กๆอีก4คน
“แหม~ เธอนี้มีหลานเยอะดีนะ แล้วคนไหนลูกของเธอละ?”
“เธอจะบ้ารึเปล่า? ฉันแต่งงานไปแค่15ปีเองนะ ไม่มีทางที่จะมีลูกโตขนาดนี้หรอก”
“เอ๋~ ไม่เอาน่า~ เธอกับแฟร้งก็รักกันมากไม่ใช่รึไง อย่างน้อยก็น่าจะมีสักคน2คนไม่ใช่เหรอ? หืม~”
“แฟร้ง..ตายไปตั้งแต่เมื่อ10ปีก่อนแล้วนะ..”
ลีน่าทำสีหน้าตกใจก่อนจะกลับมาทำสีหน้าปกติตามเดิมของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดไปเสียแล้ว
“ขอโทษนะ มาเรีย คือฉันไม่รู้ว่าแฟร้งเขาจากไปแล้วนะ”
“ช่างมันเถอะ ตอนนี้ก็ไม่ได้คิดอะไรมากแล้วละ ก็เป็นแม่หม่ายมาตั้ง10กว่าปีแล้วนี้น่า”
“งั้นเหรอ..สมเป็นเธอดีนะมีเรีย”
ลีน่ายิ้มให้กับเพื่อนเก่าของเธอ ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้เพื่อนของเธอก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลย แม้กระทั้งชุดเองก็….
“เดี๋ยวนะ ทำไมมีเธอถึงใส่ชุดสมัยสาวๆละ? ไม่ใช่ว่าเธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะไม่กลับมาใส่ชุดนี้อีกแล้วนะ”
“บังเอิญฉันได้ยินว่าเมืองหลวงมันอันตรายมากก็เลย….”
“เมืองหลวงเนี้ยนะ อันตราย? ที่นี้มันแกรนเทลเมืองของผู้กล้าเชียวนะ ถึงจะอันตรายแค่ไหนก็มีพวกทหารคอยจัดการให้เองแหละ ไหนจะพวกนักผจญภัคอีก แม้จะมีตัวปัญหาอยู่บ้างแต่ท่าไม่ไปยุ่งกับพวกนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะ”
“อย่างน้อยก็ควรระวังไว้ดีกว่าแก้ไม่ใช่รึไง”
“แต่นี้ก็เกินไปยะ ที่นี้มันเมืองหลวงไม่ใช่บ้านบ้าเมืองเถื่อนที่ไหนสักหน่อย เธอบอกให้ฉันทำตัวให้สมกับอายุแต่เธอกลับหยิบเสื้อผ้าสมัยตอนนักผจญภัคมาใส่เพราะกลัวถูกโจมตีในเมืองเนี้ยนะ เธออายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว ใส่เสื้อผ้าวาบวิวแบบนี้เดี๋ยวก็โดนคนอื่นเขานินทาเอาหรอก”
“อึก!!”
มีเรียโดนคำพูดของตัวเองย้อนเข้าตัวอย่างหนัก เธอรู้ดีว่าทำแบบนี้มันก็เกินไปจริงๆ แต่ตัวเธอเองก็ไม่อยากประมาทเท่านั้น
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี้ ก็เข้ากับคุณมีเรียดีไม่ใช่เหรอคะ?”
“ก็จริงอย่างที่หนูว่านั้นแหละ มีแต่ยัยสมองกล้ามมีเรียเท่านั้น ที่ใส่ชุดแบบนี้แล้วยังดูดี แม้อายุจะขึ้นหลัก4แล้วก็เถอะ”
“พูดแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยรึไง!!! ทีเธอยังใส่ชุดเปิดเผยผิวแบบนั้นเลย!! ฉันจะใส่บ้างก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี้!!”
มีเรียชี้ไปที่ชุดของลีน่าซึ่งตอนนี้เธอใส่ชุดเดรสสีแดงที่เป็นแบบเกาะอก และทุกส่วนก็เต็มไปด้วยเครื่องประดับมากมาย เต็มตัวของเธอ
“นี้นะ เขาเรียกว่าแฟชั่นยะ ต่างของเธอที่ใส่ชุดไว้ต่อสู้ นี้นะเป็นชุดออกงานของฉันต่างหาก และก็กำลังจะไปร่วมงานเลี้ยงด้วยนะ”
“ไม่ใช่เธอเป็นเจ้าของโรงแรมนี้ไม่ใช่รึไง ทิ้งโรงแรมไว้แบบนี้จะไม่เป็นอะไรเหรอ?”
“เธอลืมอะไรไปรึเปล่า ตอนนี้ฉันเป็นภรรยาของพ่อค้าแล้วนะ ตอนนี้โรงแรมนี้ก็แค่หนึ่งในธุรกิจครอบครัวของเราเท่านั้นแหละ ฉันเองก็ต้องช่วยงานของสามีเหมือนกันนะ ไม่ใช่แม่บ้านเต็มตัวเหมือนเธอสักหน่อย แถมตอนนี้คนที่ดูแลโรงแรมนี้คือลูกชายฉันแล้วด้วย”
“หมายถึง นาสเหรอ? จะว่าไปป่านนี้เขาก็น่าจะโตพอที่จะดูแลโรงแรมได้แล้วนี้นะ”
“ก็แหงสิ เขาอายุ24ปีแล้วด้วย ลืมไปแล้วรีไงว่าฉันแต่งงานตอนอายุ17 ต่างจากเธอที่พึ่งมาแต่งงานตอนแก่นะ”
“ก็นั้นสินะ..”
มีเรียยิ้มอ่อนๆ เธอรู้สึกว่า15ปีของเธอนั้น มีอะไรหลายสิ่งที่เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก จนเธอคาดไม่ถึงเลยทีเดียว แม้แต่โรงแรมที่เคยเป็นแค่โรงแรมเล็กๆ ตอนนี้กลับดูหรูหรามากกว่าเก่า สมัยที่เธอยังพักอยู่ที่นี้
“จะว่าไปพวกนี้เป็นใครเหรอ มีเรีย”
“คนพวกนี้คือนายจ้างของฉันนะ อีกไม่กี่วันฉันต้องย้ายไปอยู่ที่อาณาจักรสัตว์แล้วละ”
“เอ๋!!! ไม่เอาน่า ถ้าเธอต้องการงานขนาดนั้น ไม่เห็นต้องไปไกลขนาดนั้นเลยนี้ มาบอกฉันก็ได้ ฉันยินดีจ้างเธอเสมอนั้นแหละ”
“ที่ฉันไปอยู่ที่นั้นมันไม่ใช่เรื่องเงินหรอกนะ..”
เมื่อมีเรียพูดจบ ลีน่าก็หันไปมองทางไทเอลที่กำลังยืนส่งยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรให้กับเธออยู่
“นี้เธอ…อย่าบอกนะว่าจะไปเป็นเมียน้อยของเด็กหนุ่มท่าทางน่าสกสัยนั้นนะ”
“ไม่ใช่ซักหน่อย!! ฉันไปดูแลเด็กๆ ต่างหากละ!! ดู-แล-เด็ก!! เข้าใจรึเปล่า? ไม่ใช่ไปเป็นเมียน้อยเขาสักหน่อย!!”
“อ๋อเหรอ..อะไรกัน น่าเบื่อชะมัด นึกว่าจะมีดราม่าอะไรน่าสนุกๆซะอีก”
“นี้หล่อน!!!”
“โอ๊ยๆๆๆ เจ็บนะทำอะไรของเธอเนี้ย!!”
มีเรียนำกำปั้นของตัวเองไปประกอบที่ศีรษะด้านข้างของลีน่าและก็ขยี้ไปมา ทางลีน่าก็ร้องออกมาด้วยความเจ๋บปวด เมื่อมีเรียพอใจแล้วเธอจึงปล่อยเพื่อนของเธอไป
“โธ่~ ผมยุ่งหมดเลยทั้งๆ ที่วันนี้รีบแท้ๆ มีเรียนี้ละก็ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้”
“เหอะ!! ใครใช้ให้มาล้อเล่นกับฉันกันละ”
“คุณลีน่าคะ ท่าไม่รังเกียจละก็เดี๋ยวหนูช่วยทำผมให้ใหม่ให้นะคะ”
“ขอบใจจ๊ะ ว่าแต่หนูชื่ออะไรเหรอ?”
“หนูชื่อเจมินี่คะ หนูเป็นช่างตัดเย็บประจำหมู่บ้านบอเดอร์วูฟคะ”
“หืม? หมายถึงหมู่บ้านของพวกภูติดำที่มีชื่อเสียงเร็วๆนี้นะเหรอ ฉันได้ข่าวว่าที่นั้นกลายเป็นเมืองไปแล้วนี้”
“แม้จะเป็นเมืองแล้วก็จริง แต่ตอนนี้ตามสถานะยังเป็นแค่หมู่บ้านเหมือนเดิมนั้นแหละคะ”
“งั้นเหรอจ๊ะ แต่จะว่าไปหนูเจมินี่ก็เก่งดีนะ ไปหาสามีหล่อๆ แบบนี้มาจากไหนกันน้า~”
“ก็แหม~ เราก็แค่พบกันโดยบังเอิญนั้นแหละคะ หนูเองก็ไม่ได้มีหน้าตาสวยอะไรมากมายด้วยสิ”
“ไม่เอาสิจ๊ะ หนูนะเรียกได้ว่างดงามก็ยังได้เลยนะ ถ้ามีผู้ชายคนไหนมาบอกว่าหนูไม่สวยเดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะควักลูกตาคนนั้นออกมาเอง”
“พี่สาวเหรอ!!…เธออายุเท่าฉันไม่ใช่รึไง มาเรียกตัวเองว่าพี่สาวกับเด็กรุ่นคราวเดียวกับลูกตัวเองแบบนี้ ไม่ละอายใจบ้างรึไง”
“เสียใจยะ!! ฉันนะอายุ18ปีตลอดกาลนั้นแหละ ดูสิ ฉันนะยังสวยและสาวอยู่เลยนะ”
ลีน่าพูดพร้อมกับโพสท่าเพื่อโชวสัดส่วนของตัวเองที่ยังดีอยู่ไม่แพ้สาวๆ เลยแม้แต่น้อย
“นั้นสินะคะ พี่สาวลีน่า ทั้งสวยและเซ็กซี่มากๆ เลยละคะ”
“แหม~ ปากหวานจังเลย ชักถูกใจแม่หนูคนนี้แล้วสิ ให้พักฟรีไปเลยดีไหมน้า~”
“พูดยังกะค่าพักโรงแรมเธอมันแพงมากอย่างงั้นแหละ”
“ก็แพงสิยะ!! ตอนนี้ที่นี้กลายเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในเมืองแล้วไปตั้งนานแล้ว ค่าพักต่อคืนขั้นต่ำสุดก็5เหรียญทองแล้วนะ!!”
“5เหรียญทอง!! แบบนี้ฉันจ่ายไม่ไหวหรอกนะ นี้มันขูดรีดกันชัดๆ!!”
“ธุรกิจก็แบบนี้แหละจ๊ะ แม่สาวน้อย เธอไม่ยอมหาข้อมูลก่อนมาที่นี้เองนี้ ท่าอยากให้ลดราคาให้ละก็ลองพูด’พี่สาวลีน่าสุดสวย ช่วยลดราคาให้หนูหน่อยนะ’บางทีฉันอาจจะลดราคาให้เธอถูกๆก็ได้นะ มีเรีย”
“….”
ลีน่าพูดพร้อมหยิบพัดลายดอกไม้ขึ้นมาตบไปที่แก้มของมีเรียเบาๆ ส่วนทางมีเรียนั้นเห็นได้ชัดว่าเธอโมโหจนเส้นเลือดขึ้นหน้าผากเลยทีเดียว
“ไม่ทราบว่าห้องใหญ่ราคาเท่าไหร่เหรอครับ?”
“ท่าห้องใหญ่ก็15เหรียญทองจ๊ะ มี2เตียง 1ห้องพักได้4คนและมีบริการอาหารเสริฟสุดหรูจากเชฟที่เคยอยู่ในวังเสริฟถึงห้องหรือเลือกที่จะมากินที่ห้องอาหารก็ได้นะ ทางเรามีการแสดงพิเศษทุกๆเย็นที่ห้องอาหารด้วยนะจ๊ะ”
“อย่างงี้นี้เอง.. เพราะอย่างงั้นถึงแพงสินะครับ”
“หุๆๆๆ ก็แน่นอนสิจ๊ะ พ่อหนุ่ม แต่ถ้ามีเรียยอมพูดขอโทษฉันดีๆ ละก็…ฉันอาจจะลดราคาไม่ก็ให้พักฟรีๆสักคืนเลยก็ได้นะ”
“งั้นคงไม่ต้องหรอกครับ ไม่ทราบว่าจ่ายที่คุณหรือจ่ายที่ชายคนนั้นที่ยืนอยู่ตรงเคาร์เตอร์ดีครับ”
“เอ๋?”
ไทเอลหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าออกมา
“เธอรู้ไหมว่าเธอต้องจ่ายตั้ง30เหรียญทองเชียวนะ นั้นไม่ใช่จำนวนเงินที่คนธรรมดาอย่างเธอจะจ่ายไหวเลยนะ”
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอกครับ เผอิญงานของผมได้เงินดีเป็นพิเศษ แถมต่อให้ผมไม่มีจ่ายจริงๆ ทางคุณเจมินี่เองก็จ่ายได้สบาย เลยครับ”
“ห๊า?”
ลีน่ากันกลับไปมองเจมินี่ที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างๆเธอ
“มะ..ไม่ทราบว่าแม่หนูมีรายได้เท่าไหร่เหรอจ๊ะ”
“มันก็ไม่แน่นอนหรอกคะ ตอนที่หนูทำชุดมาขายตอนแรกๆ ทั้งเดือนก็ได้แค่3เหรียญทองเอง แต่พอหนูเริ่มทำMarketingตามคำแนะนำของเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนของหนู ก็เริ่มขายดีเรื่อยๆ เมื่อเดือนที่แล้วเองท่าหักรายจ่ายอื่นๆไป และส่วนแบ่งของหนูก็ได้ประมาณ1,000เหรียญทองนะคะ ว่าแล้วเชียวการตลาดนี้จำเป็นต่อการทำธุรกิจจริงๆด้วย”
“ยะ..บอกนะว่าหนูคือเจ้าของแบรนลาฟตี้ที่โด่งดังเร็วๆนี้นะ”
“คุณลีน่ารู้จักร้านของหนูด้วยเหรอคะ?”
“ไม่รู้จักก็คงเชยแย่แล้วละจ๊ะ ก็ชุดของหนูมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครจนโด่งดังในหมู่ชั้นชนสูงมากเลยนะ แถมยังผลิตรองเท้าเพื่อสุขภาพที่เป็นที่นิยมอีกด้วย ฉันชอบรองเท้านั้นจริงๆนะจ๊ะ มันช่วยลดอาการปวดเท้าได้ดีมากจริงๆเลยนะ หนูนี้อัจฉริยะมากเลยนะที่สามารถทำของแบบนั้นขึ้นมาได้”
ลีน่ารู้สึกดีใจสุดๆ ที่ได้เจอเจ้าของร้านลาฟฟี่ที่มีชื่อเสียงในหมู่ของคนชนชั้นสูงในแกรนเทล
“ถ้าเป็นรองเท้าเพื่อนหนูเป็นคนทำนะคะ เธอถนัดเรื่องของใช้จุกจิบอย่างรองเท้าและกระเป๋าและเครื่องประดับเล็กๆน้อยๆ ส่วนหนูเองก็แค่ออกแบบชุดและก็ผลิตมันขึ้นมาเท่านั้นเองคะ”
“แหม~ แค่นั้นก็พิเศษแล้วละจ๊ะ ขนาดฉันเองยังอยากลองใส่ชุดลาฟฟี่สักครั้งบ้างเหมือนกันนะ แต่ดูเหมือนสามีฉันจะหาคิวร้านของหนูไม่ได้เลยนะ น่าเสียดายจริงๆเลยน้า~”
“ถ้างั้นหนูมีชุดอยู่ตัวหนึ่งพอดีเลยละคะ แถมยังเป็นแบบที่ยังไม่ได้วางขายอีกด้วย หนูว่ามันต้องเหมาะกับสาวใหญ่ที่ดูเซ็กซี่อย่างคุณแน่นอน…อยากจะลองใส่ดูไหมละคะ”
สายตาของเจมินี่มองลีน่าที่กำลังดี้ด๋าราวกับผู้ล่าที่จ้องเหยื่อผู้ไร้เดียงสา
“แต่ว่าแค่ทำผมทำผมใหม่ก็เสียเวลามากแล้วนะสิ แถมฉันก็ยังมีธุรด่วนด้วย เอาไว้โอกาศหน้าดี–“
“ไม่ต้องหรอกคะ!! ทุกอย่างเดี๋ยวหนูจัดการให้หมดเลย!! ขอเวลาแค่20 ไม่สิ 10 นาทีก็พอคะ!!”
“แหม~ ไฟแรงดีนะจ๊ะ งั้นพี่สาวคนนี้คงต้องขอรบกวนหน่อยนะ”
“ได้เลยค่ะ ไว้ใจหนูได้เลย!!”
“ถ้างั้นก็ตามมาที่ห้องของฉันเลยละกันนะ ส่วนคุณสามีก็เชิญไปเช็คอินกับพนักงานที่เคาร์เตอร์ได้เลยละกันนะจ๊ะ”
“ครับ/คะ!!”
เจมินี่เดินตามลีน่าไป ส่วนทางไทเอลเองก็เดินไปที่เคาร์เตอร์เพื่อจ่ายเงินเช่นกัน
“คุณหม่าม๊ากับคุณเจมินี่นี้ท่าทางจะรวยน่าดู ว่างั้นไหมป้ามีเรีย”
“ก็คงงั้นแหละ แต่ถึงเขาจะรวยแค่ไหนก็ห้ามฟุ่มเฟือยเด็ดขาด และอย่าไปรบกวนเขาให้มากละ”
“ค่าๆๆ เข้าใจแล้วค่า”
“แค่พูด ค่ะ เฉยๆก็พอ ทำไมถึงสอนไม่จำเลยนะ เด็กคนนี้”
“ก็หนูเป็นแบบนี้ของหนูนี้น่า ว่าแต่ทำไมป้าถึงเรียกคุณหม่าม๊าว่าเขาละ คุณหม่าม๊าเป็นผู้หญิงนะ”
“ก็รู้อยู่แล้วละ.. แต่ก็พอเห็นหน้าคุณไทเอลจะทำใจเรียกเธอก็ลำบากใจเหมือนกันนะ..”
“อ๊ะ!! อันนี้หนูพอเข้าใจนะ ก็คุณหม่าม๊าหน้าหล่อสุดๆเลยนี้น่า”
“มาชมแบบนั้นผมก็ไม่มีอะไรจะให้หรอกนะครับ”
“คุณไทเอล!!”
ไทเอลปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหันพร้อมกับกุญแจในมือ2ดอก ที่เธอพึ่งได้มา
“ตอนนี้พวกเราได้ห้องกันแล้วนะครับ เราจะแบ่งเป็น2ด้วยกัน ห้องแรกผมกับคุณเจมินี่และคุณมีเรียจะอยู่ด้วยกัน ส่วนห้องที่2 ผมจะให้เด็กๆอยู่ด้วยกันนะครับ”
“แบบนั้นจะดีเหรอคะ? ฉันกลัวพวกเด็กๆ จะเล่นซนจนทำข้าวของเสียหายด้วยสิ อย่างน้อยให้คาลนอนกับพวกคุณส่วนฉันก็ไปนอนกับพวกเด็กๆ ของฉันเถอะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยากให้เด็กๆ สนิทกันเร็วๆนะครับ ขืนผู้ใหญ่อย่างเราไปยุ่งยากเด็กๆจะรู้สึกไม่มีอิสระเอาได้นะครับ อย่างน้อยเรย์เองก็น่าจะดูแลน้องๆ ได้ดีเลยละครับ”
“แต่ว่า–“
“ไม่ไรหรอกคะ คุณป้าเดี๋ยวหนูจะดูแลน้องเองคะ คุณป้าไปพักให้สบายกับพวกคุณไทเอลเถอะคะ”
“เรย์..”
มีเรียเอ่ยชื่อของเรย์ที่มีอายุเยอะที่สุด เธอเป็นเด็กดีที่ขยันและเชื่อฟังมีเรียเป็นอย่างดีเสมอมา..แต่ว่า…
“พูดแบบนี้แสดงว่าหนูจะช่วยป้าดูแลน้องๆ ตอนออกไปข้างนอกด้วยใช่มั้ย”
“อันนั้นไม่ไหวจริงๆ ขอโทษด้วยคะ หนูขออยู่ในห้องดีกว่า”
เรย์ก้มหัวขอโทษมีเรียทันที หลังจากที่เธอนั้งรถม้าที่ไทเอลลากมาก็พบเจอกับสายตาผู้ชายมากมาย ซึ่งสำหรับเธอไม่ไหวจริงๆ ก่อนที่มีเรียจะถอดหายใจเบาๆ ก่อนที่จะขนของขึ้นไปบนห้องพร้อมกับไทเอล