ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ - ตอนที่ 40
“เหล่านับรบที่กล้าหาร ขอให้เจ้าสนับรับฟังเสียงของข้า[Sound of paradise]!!! ล๊า!! ลา!!! ลา!!! ละ–“
“พอเถอะจ๊ะ น้องจอกจิ้ง”
เมโลดี้ห้ามดาดาที่กำลังแหกปากอย่างไร้ความหมายอยู่ในตอนนี้
“ทำไมละ? เมื่อกี้มันกำลังไปได้สวยเลยนะ”
“จะว่ายังไงดีละ..คือSound of paradiseมันคือการเปร่งเสียงที่ไพเราะที่แฝงไปด้วยเวทมนต์ของผู้ใช้เพื่อบัฟคนรอบๆ ไม่ใช่การตะโกนให้เสียงดังๆเฉยๆนะจ๊ะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี้ตะโกนแบบนี้ก็ได้ยินชัดกว่าเห็นๆอยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี้?”
“ฟังนะน้องจอกจิ้งนี้นะมันคือเวทมนต์นะ ไม่ใช่การเชียร์ให้กำลังใจ ลืมไปแล้วรึไงหัวใจหลักของเวทมนต์ของเวทมนต์ทุกบท มันต้องประกอบไปด้วยการรวบรวม เจตนา การปลดปล่อย และความเข้าใจในเวทมนต์บทนั้นๆที่ต้องการใช้ ท่าให้ยกตัวอย่างละก็ ลาล่า♫~”
เมเลดี้เปล่งเสียงอันไพเราะของเธอ มันเป็นทำนองแบบช้าๆ สบายๆ ทำให้ดาดารู้สึกปลอดโปร่งและผ่อนคลาย
“คิดว่ายังไงกับเพลงนี้บ้างละ น้องจอกจิ้ง”
“ก็รู้สึกฟังแล้วรู้สึกสบายใจดี แล้วมันเกี่ยวอะไรกับSound of paradisละ?”
“เพลงคือสิ่งที่สื่อสารด้วยทำนองและเสียง มันจะออกมาเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่กับคนที่ขับร้องนั้นแหละ คือเจตนาของเวทมนต์Sound of paradis พอจะเข้าใจรึเปล่าจ๊ะ”
“โอ๊ยย!!! ไม่เข้าใจเลยสักนึด!! แบบนี้ใช้บัฟปกติก็ได้ไม่ใช่รึไง!! แถมยังง่ายกว่าตั้งเยอะด้วย!!”
“จะทำแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าคุณเฟเขาบัฟตัวเองเป็นอยู่แล้วนะ รู้รึเปล่าว่าบัฟมันทับกันไม่ได้ ท่าใช้ไม่ได้ดีกว่าคุณเฟก็เปล่าประโยชน์จ๊ะ”
“อึก!!..”
ดาดาซึมไปในทันทีสำหรับเธอที่พึ่งเริ่มฝึกเวทมนต์วันนี้เท่านั้น คงไม่อาจตามเฟที่ใช้มาจนเชี่ยวชาญได้
“แต่ว่าไม่ต้องเศร้าไปหรอกนะ เพราะSound of paradisนะ พิเศษกว่าเวทมนต์บัฟอื่นๆ มากเลยนะ ท่าให้ยกตัวอย่างละก็… ดาดาดา ดาดี้ ดา ดาดี้ ดา♫~”
เมโลดี้ขับร้องเพลงอีกครั้ง แต่รอบนี้เป็นทำนองที่ฟังแล้วฮึกเหมต่างจากตอนแรกที่เป็นเพลงสบายๆ
“เป็นยังไงจ๊ะ ฟังแล้วรู้สึกฮึกเหิมขึ้นรึเปล่า? ทีนี้ลองมาร้องพร้อมกันนะ”
“อะ..อืม”
“1..2…3”
“”ดาดาดา ดาดี้ ดา ดาดี้ ดา♫~””
รอบนี้ดาดาร้องเพลงพร้อมกับเมโลดี้ น่าแปลกเหมือนกันที่เธอฟังเพียงแค่ทำนองเพียงครั้งเดียว และพอร้องไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ดาดารู้สึกฮึกเหิมยิ่งกว่าทีแรก ตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจเวทมนต์Sound of paradisขึ้นเพียงเล็กน้อย
“ทีนี้ลองบอกได้รึยังจ๊ะ ว่าSound of paradisมันพิเศษกว่าเวทมนต์บัฟปกติยังไง?”
“มันมีผลทับกันได้ใช่มั้ย? เมื่อกี้พอร้องไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิมกว่าเดิมแถมพอร้องตามแล้วก็รู้สึกได้เลย ว่าเวทมนต์นี้มันพิเศษนะ”
“ใช่แล้วละจ๊ะ นี้นะมันต่างกับเวททนต์บัฟอันอื่นๆ Sound of paradisนะ มันซ้อนทับกันได้เรื่อยๆ ที่สำคัญมันเป็นบัฟที่แยกมาจากบัฟอื่นๆจึงไม่ทับผลของเวทมนต์อื่นๆ และสามารถใช้เป็นทั้งบัฟและดีบัฟในหนึ่งเดียวเลยละ”
“ไม่เข้าใจอะ? ทำไมมันถึงดีบัฟได้ละ”
“ท่าให้ยกตัวอย่างละก็Sound of paradisมันเป็นเวทมนต์ที่ผลต่อเจตนาของผู้ถูกมนต์โดยตรงเลยนะ ท่าเนื้อเพลงมันเป็นแบบเศร้าๆละก็ คนที่ฟังก็จะรู้สึกหดหู่ไม่มีกำลังใจต่อสู้แทน แต่ท่าเป็นทำนองที่เร้าใจหรือรุนแรงเกินไปก็จะทำให้ติดบ้าคลั้งได้เลย เพราะงั้นตอนใช้จึงต้องระวังนึดหน่อยจ๊ะ”
“แล้วแบบนี้จะไม่มีปัญหาเหรอ เวลาจะบัฟหรือดีบัฟศัตรูก็หมายควาทว่าพวกเดียวกันก็โดนด้วยสิ”
“ก็เพราะแบบนั้นถึงทำปลดปล่อยเวทมนต์มาพร้อมกับเสียงยังไงละ และในเสียงนั้นก็ต้องมีเจตนาด้วยนะ แบบนี้ไงจ๊ะ ——-“
เมโลดี้อ้าปากพะงาบๆ แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรออกมาจากปากหรือลำคอของเธอเลยแม้แต่น้อย
“หะ..หนัก!!! เมโลดี้!!! นี้เธอดีบัฟฉันเหรอ!! หนอยยย!!…ขอเวลานอกหน่อยเซ่!!!!!”
มินาโตะโวยวายออกมาระหว่างสู้กับซอร์ด ท่าสักเกตดูดีๆ จะเห็นว่ามินาโตะ เคลื่อนไหวช้าลงกว่าเดิมเล็กน้อยจนทำให้ซอร์ดสามารถรุกใส่มินาโตะอย่างต่อเนื่องจนทำให้มินาโตะรับมือแทบไม่ทัน
“และนี้ก็คือการดีบัฟจ้า~”
“เอ๋!! แต่เธอไม่ได้ร้องเพลงอะไรสักนึดเลยไม่ใช่เหรอ”
“ท่าเป็นเพลงนะ ร้องไปแล้วละจ๊ะ แต่ท่าคนที่ได้ยินมีเพียงแค่หัวหน้ามินาโตะเท่านั้น ก็เพราะเจตนาของฉันคือการลดพลังของพวกหน้ามินาโตะนี้น่า แต่ท่าจะให้บัฟละก็—“
ดีน่าอ้าปากพะงาบๆไร้เสียงอีกครั้ง ดาดาเองก็หันไปดูการต่อสู้ของทั้งสองคนทันที
“โอ้วววววว!!!! รู้สึกได้ถึงพลังเลย!!!”
“ดะ..เดี๋ยวสิ!!! มาดีบัฟฉันและไปบัฟซอร์ดนี้มันขี้โกงกันชัดๆ!!”
ซอร์ดนั้นรวดเร็วและดุดันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอจู่โจมมินาโตะไม่หยุดจนมินาโตะต้องควักดาบประจำตัวของเธอออกมาเพื่อรับมือกับซอร์ดให้ทันเลยทีเดียว
“เวทมนต์Sound of paradisมันก็คือการขับร้องสิ่งที่ต้องการสื่อไปถึงผู้ฟังคนโดยตรง จริงๆแล้วมันเป็นเวทมนต์ที่เอาไว้บัฟเป็นหมู่มากกว่า แต่พี่สาวเอามาดัดแปลงให้สามารถบัฟหรือดีบัฟคนที่ต้องการได้ด้วยการเจาะจงเป้าหมายโดยเจตนาผ่านเวททนต์ และหากเพลงนั้นสามารถสื่อไปถึงจิตใจของผู้รับฟังจนสามารถขับร้องตามได้ก็จะยิ่งเพิ่มพลังของSound of paradisเข้าไปอีกต่อให้คนๆนั้นไม่มีพลังเวทต์เลยก็ตามก็จะช่วยเพิ่มเจตนาของเวทมนต์แทน และผู้คนที่ขับร้องตามก็จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยกระจายผลของSound of paradisเป็นลูกโซ่ด้วยทำให้ผลของมันซ้อนทับกันเข้าไปอีก ส่วนจะทรงพลังแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับพลังเวทต์และเจตนาของผู้ช่วยขับร้อง นี้แหละเวทสนับสนุนSound of paradisละจ๊ะ”
“นี้มันเวทมนต์ขี้โกงชัดๆ!! อย่างงี้ท่าผลมันทับกัน100ครั้ง คนๆนั้นไม่มีแรงเท่าโอเกอร์เลยเหรอ!!”
“แหม~ มันก็ไม่ได้ดีเลิศขนาดนั้นหรอกจ๊ะ มันต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและความเข้าใจในดนตรีพอสมควรเลยละ ที่สำคัญเวลาร้องเพลงหรือบรรเลงดนตรีก็ต้องใช้สมาธิค่อนข้างสูงทำให้ความสามารถในการระวังตัวตกลงไปเยอะเลยละ เพราะงั้นงั้นฉันถึงต้องมีดีน่าคอยคุ้มกันอยู่ตลอดเวลาไงละจ๊ะ”
“ถึงจะอย่างงั้นมันก็ขี้โกงอยู่ดีละยะ!!”
“จะคิดอย่างงั้นก็ตามใจเถอะจ๊ะ จริงๆ มันมีเทคนิคการดีบัฟและบัฟในเพลงเดียวกัน แต่นั้นเป็นเทคนิคระดับสูงเกินไปสำหรับน้องจอกจิ้งในตอนนี้ เพราะงั้นสิ่งที่น้องจอกจิ้งต้องทำให้ได้คือการบัฟหรือดีบัฟคนๆหนึ่งให้ได้ ส่วนเป้าหมายในการทดลองนั้นก็คือพี่สาวเมโลดี้คนนี้ไงจ๊ะ”
“แบบนั้นไม่ยากไปหน่อยเหรอ ฉันยังไม่เข้าใจขั้นตอนการปลดปล่อยเลยนะ”
“ไม่เป็นไรๆ แค่นึกภาพว่าพลังเวทต์มันเกาะตัวเป็นก้อนที่ลำคอและก็ร้องออกมาก็พอแล้วละ ส่วนผลลัพธ์จะเป็นยังไงค่อยมาว่ากันอีกทีก็ได้จ๊ะ”
“อะ.อ่า~.. ร้องออกมายากจัง.. มันเหมือนมีอะไรติดอยู่ในคอเลย”
“ก็มันยังไม่มีเจตนายังไงละจ๊ะ เวทมนต์นี้นะต่างจากเวทมนต์อย่างอื่น หากไม่มีเจตนาที่แรงกล้ามันก็ปลดปล่อยออกมาไม่ได้หรอกนะ”
“ยากจังแหะ… ต่างจากคนอื่นๆลิบลับเลย”
ดาดาได้เรียนการใช้บาเรียเวทมนต์จากดีน่า และเวทManacleที่เอาไว้พันธะนาการศัตรูเอาไว้จากช็อกเกอร์ ซึ่งเธอก็ใช้เวลาเรียนเพียงไม่นานก็สามารถเข้าใจมันได้ แต่ของเมโลดี้นั้นดูเหมือนจะยากเกินไปสำหรับเธอ
“ถ้างั้นลองจิตนาการว่าพี่สาวคนนี้เป็นคุณเฟดูสิ”
“จิตนาการว่าเธอเป็นเฟงั้นเหรอ?”
“ใช่จ๊ะ ให้เธอร้องทำนองแบบไหนก็ได้ที่เธอจะสื่อไปถึงเขาหรือบอกในสิ่งที่เธอต้องการให้เขาทำก็ได้ ขอแค่มีเจตนาก็พอไม่จำเป็นต้องเพราะก็ได้นะ สิ่งที่สำคัญคือความรู้สึกที่ต้องการส่งไปต่างหาก”
“ความรู้สึกของฉัน..ที่มีต่อเฟ…”
“ใช่แล้วละ จะเป็นความรู้สึกแบบไหนก็ได้นะ”
“จะลองดูละกัน.. เหล่านับรบที่กล้าหาร ขอให้เจ้าสนับรับฟังเสียงของข้า[Sound of paradise] อ่า~”
ดาดาเปร่งเสียงของเธอออกมา เธอรู้ตัวดีว่าเสียงที่เธอเปร่งออกมานั้นมันเพี้ยนต่างจากของเมโลดี้ แต่ว่าเสียงของเธอนั้นมันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกของเธอที่มีต่อเฟอย่างแรงกล้า
“เป็นยังไงบ้าง..มันได้ผลไหม?”
“…..”
เมโลดี้ไม่ตอบอะไรดาดาแม้แต่คำเดียว ไม่สำเร็จสินะ..
“งั้นเหรอ..ว่าแล้วเชียว มันยากจริงๆด้วย”
“ไม่หรอก….น้องจอกจิ้งร้องออกมาได้ดีมากๆเลย ทางนี้ได้ผลของมันเต็มๆเลยละ”
“ไม่ต้องมาปลอบใจฉันหรอก.. ก็เสียงของฉันมันเหมือนเป็ดเลยนี้น่า”
ดาดาพูดตัดพ้ออย่างท้อแท้ สำหรับเธอการร้องเพลงเป็นอะไรที่ยากมากมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว
“น้องจอกจิ้งอยากรู้ไหมว่าผลของมันคืออะไร”
“เพลงห่วยๆของฉันมันไม่มีผลอะไรทั้งนั้นแหละ!!”
“ไม่หรอก…เพลงของน้องจอกจิ้งมีความต้องการที่สูงและหนักมาก จนทำให้พี่สาวคนนี้ติดCharmจนเปียกไปหมดเลยละ..”
“ปะ..เปียก..งั้น..เหรอ”
ดาดาลองมองไปที่ตรงที่ขาของเมโลดี้ที่วันนี้ใส่ชุดเดรสแบบสบายๆที่กระโปรงคลุมถึงเข่าเท่านั้น ตรงขาของเธอนั้นมีน้ำไหลย้อนออกมาเหนียวๆเต็มไปหมด ตรงพื้นกลางหว่างขาของเมโลดี้เองก็มีร่องรอยการหยดของน้ำเช่นกัน
“ถึงจะบอกว่าให้สื่ออะไรออกมาได้ก็เถอะ…แต่ผลออกมาแบบนี้พี่สาวเองก็อายเป็นนะ”
“ขะ.ขอโทษคือฉันไม่ได้ตั้งใจ…จริงๆนะ”
“เป็นไรหรอก… แต่ว่า..พี่สาวคิดว่าตอนนี้คงต้องไปเข้าห้องน้ำแล้วละ คงสอนต่อไม่ได้แล้วละเอาเป็นว่าบทเรียนวันนี้จบแค่นี้แหละ”
“อืม…”
เมื่อพูดจบเมโลดี้ก็เดินจากไปโดยที่รอยน้ำหยดเป็นทางตามที่เดิน คราวนี้ดาดาค่อนข้างรู้สึกผิดพอสมควรที่ผลลัพธ์มันออกมาเป็นแบบนี้ คงเป็นเพราะเธอมัวแต่หมกหมุ่นเรื่องในคืนนั้นเกินไปจนเผลอปล่อยมันออกมาให้กับเมโลดี้เต็มๆ
.
.
.
.
“เหมือนเวทมนต์จะไปได้สวยดีนะคะ คุณเฟ”
บเรนหันไปถามเฟที่นั้งอยู่ข้างๆ ตรงที่นั้งผู้ชมของสนามฝึกเพื่อดูพัฒนาการทางเวทมนต์ของดาดาที่กำลังฝึกอยู่ในตอนนี้
“ก็คงเป็นอย่างงั้นแหละครับ ไม่คิดเหมือนกันว่าดาดาจะมีพรสวรรค์ด้านเวทมนต์ขนาดนี้มาก่อนเลยนะครับ”
“น่าประทับใจมากๆเลยละค่ะ สามารถเรียนเวทมนต์2บทได้ภายในวันเดียวทั้งๆที่ไม่เคยใช้เวทมนต์มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว แค่นี้ก็สุดยอดสุดๆแล้วละคะ”
“พอมีคนมาชมลูกสาวตัวเองแล้วมันก็น่าดีใจแทนเหมือนกันนะครับ”
เฟย์พูดพร้อมกับยิ้มไปใน ขณะที่กำลังมองดาดาขับร้องเพลงด้วยเสียงแปลกๆของตัวเอง
“จะว่าไปแล้วฉันไม่เคยได้ยินว่าที่9อาณาจักรจะมีสัตว์มายาที่เป็นจิ้กจอกเก้าหางนะคะ พวกคุณมาจากที่ไหนกันแน่?”
“ท่าแค่ผมละก็มาจากที่ๆชื่อว่าเทียหมิงครับ ส่วนดาดากับแม่ของเธอนั้นมาจากอีกที่ ที่พวกเราเรียกว่าดินแดนปีศาจครับ”
“อย่างงี้นี้เอง…แสดงว่าพวกคุณมาจากดินแดนอื่นเหมือนกับคุณฮานะสินะ ฟังดูน่าสนใจดีนะคะ”
“คุณฮานะก็มาจากดินแดนอื่นเหมือนผมเหรอ ก็ว่าอยู่ทำไมชื่อของเธอมันคล้ายๆ ชื่อคุมิที่เป็นแม่ของดาดาจัง”
“พวกคุณไม่ได้ใช้ภาษาเดียวกันเหรอคะ”
“ใช่แล้วละครับ พวกเราแม้จะอยู่ห่างกันไม่ไกลมากแต่พวกเราก็ใช้กันคนละภาษาครับ แม้จะมีส่วนที่คล้ายกันบ้างแต่ก็แตกต่างกันพอสมควรเลยละครับ”
“อย่างงี้เอง…เป็นข้อมูลที่น่าสนใจดีนะคะ….และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของพวกคุณเป็นยังไงบ้างละคะ”
“จะเรียกว่าศัตรูคู่แค้นกันก็ได้ครับ สำหรับพวกเราที่เป็นมนุษย์แล้วพวกเธอที่เกิดมาพร้อมพลังเลยถือเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวพอสมควรเลยละครับ”
“งั้นเหรอคะ? ชักสนใจเวทมนต์ของพวกคุณที่ใช้ต่อกรกับพวกนั้นแล้วสิ ว่ามันจะเป็นยังไง”
“ฮ่าๆๆๆ คุณนี้ใฝ่รู้สมกับบุคคลิกของคุณเลยนะครับ”
“งั้นเหรอคะ? ก็คงเป็นอย่างที่คุณว่านั้นแหละ แล้วคุณสามารถบอกได้ไหมคะ ว่าเวทมนต์ของพวกคุณเป็นแบบไหนกัน”
“ก็ได้ครับ เวทมนต์ของพวกเราเรียกกันว่าปราน พวกเราสะสมมันไว้ในร่างกายเพื่อเสริมพลังต่างๆ และฝึกฝนมันเพื่อบรรลุไปในแต่ละขั้น ยิ่งไปสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเก่งกาจมากขึ้น ส่วนวิธีใช้นั้นก็คล้ายๆกันแต่แตกต่างกันเล็กน้อยเท่านั้นครับ”
“เป็นอย่างงี้นี้เอง.. ถ้าไม่รังเกียจละก็ช่วยใช้ให้ดูหน่อยได้ไหมคะ”
“จริงๆผมเองก็ไม่ได้รังเกียจคุณหรืออะไรหรอกครับ แต่เผอิญเมื่อ15ปีก่อนเกิดเรื่องขึ้นนึดหน่อย ทำให้วงจรทางไหลของปรานของผมเสียหายอย่างหนัก ทำให้ผมไม่อาจรวบรวมมันไว้ในร่างกายหรือใช้มันได้อีกแล้วนะครับ”
“บางทีนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับน้องจอกจิ้งรึเปล่าคะ?”
“คุณนี้เซ้นดีจนน่ากลัวเลยนะครับ แต่ว่าถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเกี่ยวข้องกับพวกเธอสองแม่ลูกมากกว่า”
“คุณนี้ดูแล้วท่าทางทั้งชีวิตมีแต่เรื่องผู้หญิงทั้งนั้นเลยนะคะ”
“จะว่ายังไงดีละ ก็ผมอาจจะมีโชคด้านนี้ก็ได้ละมั้งครับ แม้ชีวิตผมจะเจอผู้หญิงมากมายมาตั้งแต่เด็กก็เถอะ แต่ผมก็ยังโสตมาถึงทุกวันนี้เลยนะครับ”
“คุณนี้บาปหนาจริงนะคะ ขโมยหัวใจผู้หญิงไปทั้วแต่กลับยังโสตได้ถึงตอนนี้ฉันนี้นับถือคุณจริงๆคะ”
“ก็คงงั้นละมั้งครับ แต่ว่าเร็วๆนี้มีคนที่ผมสนใจเป็นพิเศษด้วยละครับ”
“เห~ ชักสกสัยแล้วสิ ว่าใครกันที่สามารถขโมยหัวใจอันบาปหนาของคุณได้ แต่ถ้าให้ฉันเดาคงเป็นท่านทวดของพวกเรา ไม่ก็ซอร์ดสินะคะ”
“แม้พวกเธอจะดูสวยก็เถอะ แต่สิ่งที่ผมมีต่อพวกเธอนั้นคือความประทับใจ ไม่ใช่ความรักครับ คนที่ผมสนใจจริงๆนั้นอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คุณคิดนะครับ”
“งั้นก็คงเป็นน้องจอกจิ้งสินะคะ ว่าแล้วเชียวยังไงเธอก็–“
“นั้นก็ยังไม่ใช่นะครับ แม้ผมจะรักเธอจริงๆแต่มันก็เป็นความรักแบบพ่อลูก ผมว่าคนฉลาดๆอย่างคุณน่าจะคิดได้ไม่ยากหรอกนะครับ”
“นะ..นี้คุณจะลองภูมิฉันอย่างงั้นเหรอคะ!! ก็ได้ฉันยอมรับคำท้าของคุณ ไม่มีอะไรที่บเรนคนนี้หาคำตอบไม่ได้หรอกคะ!!!”
บเรนพยามใช้มันสมองทั้งหมดของตัวเองเพื่อคิดหาคำตอบ สำหรับเธอแล้วการถูกลูบคมแบบถือว่าเป็นการหยามเธอแบบสุดๆ แต่ไม่ว่าเธอจะหาคำตอบยังไงก็ตามเธอก็ไม่อาจจะหามันเจอได้เลยแม้แต่น้อย เธอจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ เพื่อแสดงถึงการยอมแพ้
“ยอมแพ้แล้วละคะ.. ข้อมูลมีน้อยก็เกินไปไม่ว่าจะคิดยังไงก็คิดไม่ออกหรอกคะ”
“งั้นผมจะใบ้ให้สักหน่อยนะครับ ที่บอกว่าอยู่ใกล้กว่าที่คิดนะ มันคือตอนนี้ครับ”
“อืม…ตอนนี้งั้นเหรอ…… อ๊ะ”
บเรนเหมือนจะคิดอะไรออกสักอย่าง ตอนที่เฟย์บอกว่าเร็วๆนี้เธอเองก็ถือเป็นคนที่เข้าข่ายด้วย และที่สำคัญตอนนี้ก็มีแต่พวกเธอที่กำลังนั้งมองการซ้อมอยู่ ส่วนช็อกเกอร์และดีน่าที่ติดธุระก็กลับไปก่อนแล้ว
“อะ..เอาจริงเหรอคะ?”
บเรนหันกลับมาพูดกับเฟด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
“เอาจริงสิครับ เผอิญผมสนใจในตัวคุณอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยละครับ”
“งั้นคงยากหน่อยนะคะ อย่างที่เคยบอกไปภูติดำอย่างพวกเราเป็นพวกหญิงรักหญิง ขนาดเมื่อคืนฉันยังไปนอนกับผู้หญิงคนหนึ่งจนมาสายเลยนะคะ”
“แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังไม่ใช่คู่ของคุณอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ”
“คุณนี้ใจกว้างจังเลยนะคะ ถึงขนาดยอมรับผู้หญิงประหลาดอย่างฉันได้เนี้ย”
“ก็ปกตินั้นแหละครับ ก็คุณดันน่าสนใจกว่าที่ผมคิดด้วยสิ”
“คุณคิดว่าผู้ชายอย่างคุณจะมีจะมีโอกาสชนะใจฉันได้เหรอคะ คุณเฟ”
บเรนพูดพร้อมกับยิ้มเยาะเย้ยโดยที่มือยังไม่ลืมขยับแว่นของเธอซึ่งเป็นท่าประจำตัวของตัวเอง
“ผมคิดว่าพอมีโอกาสอยู่นะครับ ไม่ใช่ว่าคุณบเรนถูกใจใบหน้าของผมสุดๆ เลยไม่ใช่เหรอครับ”
“นะ!!”
บเรนโดนจับจุดอ่อนเสียแล้ว มันคือเรื่องจริงที่เธอถูกใจใบหน้าของเขาสุดๆ จึงทำสิ่งที่ไม่เคยคิดแม้แต่จะทำคือการชวนไปดื่ม แต่พอรู้ว่าเฟย์เป็นผู้ชายก็ทำเธอหง่อยจนมาถึงตอนนี้เลยทีเดียว
“ยะ..อย่าคิดว่าคุณชนะฉันแล้วนะคะ คุณเฟ!!”
“ผมก็ไม่ได้จะเอาชนะคุณมาตั้งแต่แรกแล้วครับ ก็แค่บอกคุณในเรื่องที่ผมรู้ก็เท่านั้นเอง แล้วคิดว่ายังไงบางเกี่ยวกับข้อมูลที่ผมให้คุณไปละครับ คุณบเรน”
“……ฉันคิดว่าข้อมูลที่ได้รับจากคุณมันทำให้ฉันตัดสินคุณให้เป็นตัวอันตรายสำหรับฉัน เพราะงั้นฉันขอตีตัวออกห่างคุณสักพักดีกว่าคะ”
บเรนเดินไปหาดาดาที่ทำท่าเหมือนจะมีปัญหาทันที โดยปล่อยให้เฟนั้งอยู่ตรงนี้คนเดียว
“เอาละ เราเองก็ควรไปซ้อมของเราบางสินะ”
เฟย์พูดพร้อมหยิบดาบที่วางไว้ข้างๆ กลับมาเหน็บที่เอวอีกครั้ง และก็เดินไปหามินาโตะกับซอร์ดที่กำลังบวกกันอย่างเมามันโดยที่ไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลยสักนึด