ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ - ตอนที่ 21
ณ ราชวังของเมืองแกรนเทล มีการจัดองค์ประชุมการร่วมตัวของทั้ง9 อาณาจักรขึ้นครั้ง เพื่อหารือในเรื่องต่างๆ ราชาทั้ง9ก็จะมาร่วมตัวกันเพื่อรายงานสถานการณ์ให้พันธมิตรทราบ
“ท่านราชาสรรพสัตว์ ท่านจะตอบเรื่องนี้ว่าอย่างไรกัน!!”
ราชาแห่งเมลเลที่เขาเป็นราชาแห่งเผ่าคนแคระ ที่ขึ้นชื่อเรื่องอาวุษและวิทยาการล้ำหน้าที่สุด กล่าวถามราชาแห่งราชาสรรพสัตว์ ที่มีรูปร่างเป็นครึ่งคนครึ่งสิงโต
“ท่านต้องการจะให้เราอธิบายเรื่องอันใดละ ราชาแห่งคนแคระ ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าจะสื่อสักเท่าไหร่นักหรอก”
“อย่ามาทำไขสือ!! ข้าต้องการให้ท่านอธิบายเรื่องอุปกรที่แม่มดพวกนั้นเป็นคนสร้าง!!”
“แม่มด? ท่านพูดเรื่องอะไรกันอาณาจักรเรามีหลากหลายเผ่าพันธ์ แต่ข้าจำไม่ได้ว่าจะมีแม่มดอยู่ในดินแดนข้านะ? ถ้าเรื่องแม่มดท่านไปถามคนข้างๆท่านไม่ดีกว่ารึไง”
“ก็ไอ้พวกที่ท่านเรียกว่าภูติดำไง!!!”
“อ๋อ เผ่าพันธ์ที่ใกล้จะสูญพันธ์ที่หลบหนีมาจากดินแดนของเอลฟ์นั้นเอง”
“ท่านจำได้แล้วสินะ ทีนี้ก็อธิบายมาได้รึยังว่าสิ่งประดิษของพวกนั้นมันอะไรกันแน่!!”
“เรื่องนั้นข้าก็ไม่อาจทราบได้เหมือน ข้าเองมีแต่ความสามารถในการรบเท่านั้น ไม่มีหัวในด้านงานประดิษหรอก ถ้าท่านที่มีสมองในด้านนั้นยังอธิบายเรื่องนั้นไม่ได้ ข้าเองก็ไม่อาจอธิบายเรื่องนั้นได้หรอกนะ ฮ่าๆๆ”
ราชาสรรพสัตว์หัวเราะอย่างบ้าคลั้ง ด้วยตัวขนาดใหญ่ทำให้เสียงของเขานั้นดังไปทั้ววังหลวง
“ราชาสรรพสัตว์แก!!!”
“สงบลงหน่อยราชาคนแคระข้าเองก็ยังมีธุรกับเขาคนนี้อยู่เหมือนกัน”
“เหอะ!!”
สาวน้อยที่นั้งข้างๆกัน ห้ามราชาคนแคระห้ามไว้แม้เขาจะไม่พอใจเท่าไหร่ เธอชื่อเบล ราชินีแห่งแม่มดและเวทมนต์ ด้วยรูปร่างที่ยังดูเด็กของเธอทำให้หลายคนเข้าใจผิดตอนเห็นครั้งแรก เธอคือผู้ที่มีความสามารถในด้านเวทมนต์เป็นที่สุด ในสงครามเมื่อ300ปีก่อน เธอคือคนที่ลบกองทัพจอมมารให้หายไปเพียงแค่เวทบทเดียวของเธอ ปกติเธอจะไม่เข้าร่วมการประชุมแต่ครั้งนี้เธอเองก็มีธุระสำคัญกับราชสรรพสัตว์ เช่นกันกับราชาคนแคะ
“โอ้ว ท่านเบลบุคคลที่แข็งแกร่งตำนานอยากท่านก็มีธุรกับข้าด้วยเหรอ ช่างเป็นเกียติกับข้าจริงๆ”
“จะเรียกธุระกับเจ้าก็ไม่ผิดนักหรอก แต่เอาจริงๆข้ามีธุระกับพวกภูติดำของเจ้าต่างหากละ โดยเฉพาะเรื่องเวทมนต์ของเจ้าพวกนั้นละนะ”
“ขนาดท่านเองก็ยังสนใจในพวกภูติดำเลยรึนี้ พวกนั้นคงยินดีน่าดู”
“ฟุๆ ไม่ต้องมาประจบข้าหรอก ข้าอยากรู้ว่าพวกนั้นไปเอาความรู้มาจากไหนกันแน่ เท่าที่ข้าส่งคนไปตรวจสอบพวกนั้นมีจำนวนเยอะมาก แม้จะน่าละอายในแต่พวกนั้นมีพลังเวทมนต์ภายในตัวที่มหาศาลยิ่งกว่านักเวทของข้าและมีเวทมนต์ที่แม้แต่ข้าไม่เคยเห็นและไม่รู้จัก ข้าว่ามันน่าแปลกนะ สำหรับดินแดนที่ไร้ซึ่งประวัติศาสตร์ทางเวทมนต์ของเจ้านะ”
“นั้นสินะ ข้าเองก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเวทมนต์ด้วยสิ บางที ร็อดนี่ เบล อาจจะเป็นคนสอนก็ได้ละมั้ง ท่านเองก็น่าจะรู้จักนางดียิ่งกว่าข้านะ”
“แน่นอนสิ ก็นางเป็นลูกสาวข้านี้ น่าคิดถึงจริงๆ ข้าไม่ได้ยินชื่อนี้นานเท่าไหร่กันนะ ยัยลูกสาวที่โง่เขลานั้น!!”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ขึ้นมา เบล ก็แสดงความไม่พอใจเล็กน้อย จนเผลอปล่อยออร่าเวทมนต์สีดำออกมาจากร่างกายเล็กของเธอแวบเดียวก่อนจะหายไป
“แต่ทว่า เพราะข้ารู้จักนางดี แม้นางจะมีความสามารถในด้านเวทมนต์ที่โดดเด่นในบรรดาลูกๆของข้า แต่นางเองก็ไม่ได้เหนือกว่าลูกชายคนโตของข้าเลยแม้แต่น้อย”
“ท่านจะบอกว่าลูกชายคนโตของท่านเบลเป็นคนถ่ายทอดความรู้ให้กับภูติดำงั้นเหรอ? ข้าจำได้ว่าเมื่อ300ปีก่อน ท่านสังหารเขาเองกับมือเองเลยนี้”
“นั้นสินะ…ลูกชายข้าถ้าเขาไม่ทรยศข้าละก็ บางทีคนที่ต้องมายืนในวันนี้อาจจะเป็นเขาก็ได้”
เบล พูดด้วยสายตาอันเศร้าสร้อยเมื่อพูดถึงลูกชายของเธอ
“แต่ทว่า ในบรรดาภูติดำเหล่านั้นมีคนหนึ่งที่มีเวทมนต์แห่งการสร้างที่ลูกชายข้าเป็นคนคิดค้นขึ้นและเขาเป็นคนเดียวที่ใช้ได้ มันเป็นเวทมนต์ที่ลูกชายข้าไม่เคยถ่ายทอดความรู้ให้ผู้ใด แม้แต่ข้าผู้เป็นมารดาก็ตาม มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่เจ้าพวกนั้นมีเวทมนต์ของลูกชายของข้านะ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน? บางที ร็อดนี่อาจจะบังเอิญใช้ได้แล้วสอนให้พวกนั้นมั้ง? แต่ถ้าไม่ใช่ ข้าเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเป็นใครเพราะข้าเองก็ไม่เคยเห็นหน้าลูกชายท่านมาก่อนด้วยสิ”
“บางทีหากข้าเผาแผงคออันภูมิใจของเจ้าทิ้ง ข้าสกสัยจังว่าเจ้าจะนึกออกรึเปล่านะ?”
เบลพูดพร้อมโชวเปลวไฟสีม่วงในมือของเธอ
“สนธิสัญญาข้อที่ 1.สมาชิกที่สมาชิกที่เข้าร่วมจะไม่โจมตีซึ่งกันและกัน ท่านก็น่าจะรู้กฏข้อนี้ดีกว่าข้า มารดา แห่งคนทรยศ เกล็น เบล”
“แกไม่มีสิทธิ์มาพูดชื่อลูกชายข้า!!! ไอ้เจ้าสัตว์หน้าโง่!!”
ตอนนี้สติของเบลขาดพึ่งและวงเวทจำนวนมหาศาลปรากฏขึ้นบนอากาศเพื่อเตรียมจะโจมตีราชาสัตว์ป่า
“ข้าว่าเจ้าควรหยุดแค่นี้นะ เบล”
ราชินีแห่งภูติเตือนสติของเบล เมื่อหันไปมองรอบๆ เหล่าผู้เข้าร่วมนั้นต่างเตรียมที่จะโจมตีเธอแล้ว ต่อให้เธอจะสามารถฆ่าทุกคนในห้องนี้ได้สงครามก็จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง เบลจึงค่อยๆลดความโกรธลงและคลายเวทมนต์ออก
“วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน…แต่ถ้าคราวหน้าแกบังอาจพูดชื่อลูกชายของข้าอีกละก็ข้าจะตัดหัวเจ้าและครอบครัวมาแขวนไว้ในห้องนอนข้าซะ”
“ข้าทราบแล้ว ข้าจะระวังปากของข้าให้มากกว่านี้”
ราชาแห่งสัตว์พยักหน้ารับเบลเองก็กลับไปนั้งที่แม้จะไม่เต็มใจนักเท่าไหร่
“เอาละ ทีนี้ถึงตาของเราแล้วสินะ ราชาราชสีห์”
ราชินีภูติพร้อมกับยิ้ม เธอมีผิวสีขาวซีดและผมสีเขียว เธอมีร่างกายที่งดงามและมีปีกคู่หนึ่งที่มีสีสดใสอยู่ด้านหลัง
“แม้แต่ราชินีภูติเองก็มีปัญหาที่อยากจะถามเกี่ยวกับพวกภูติดำเหมือนกันเหรอ ข้ารู้สึกดีใจแทนพวกนั้นจริงๆ ที่พวกนั้นได้รับความสนใจจากเหล่าผู้ปกครองมากมายขนาดนี้”
“ไม่หรอกเราไม่ต้องการจะถามเจ้าเกี่ยวกับภูติดำหรอก สิ่งที่เราต้องการคือส่งพวกนั้นกลับมาที่ดินแดนเราต่างหาก”
“โหว มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าถึงต้องการเผ่าพันธ์ที่ถูกหลงลืมจากดินแดนของท่านคืนนะ”
“เรามิเคยหลงลืมเผ่าพันธ์ที่เราให้กำเนิดหรอก ราชาราชสีห์ พวกเธอเองก็เคยอยู่ที่ดินแดนของเราจนกระทั้งมีคนชักจูงพวกเธอไปในทางที่ผิดและหลบหนีไปยังดินแดนอื่น วันที่เราได้ยินว่าเผ่าพันธ์ที่เคยให้กำเนิดได้สูญสิ้นไปแล้ว วันนั้นจิตใจเราแทบแตกสลาย แต่ตอนนี้พวกเธอยังคงอยู่ดังนั้นท่านควรจะส่งคืนให้เราผู้เป็นมารดา คราวนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครมสชักจูกพวกเธอได้อีกแล้ว”
ราชินีภูติพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พร้อมกับจ้องไปที่ตาของราราสรรพสัตว์อย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว แม้ราชาสรรพ์สัตว์นั้นถือว่าแกร่งกว่าเธอในด้านการต่อสู้
“อืมๆ ก็น่าสนใจนะ ช่วงนี้เจ้าพวกนั้นเองก็มีจำนวนเยอะขึ้นมากเหมือนกันแถมยังชอบก่อปัญหาอีกด้วย”
“ถ้างั้นละก็–“
“แต่ว่านั้นไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะตัดสินใจได้หรอกนะ ประเทศของข้านั้นมีหลากหลายเผ่าพันธ์ข้าจึงให้อิสระกับพลเมืองในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยตนเองและตอนนี้พวกเขาเองก็เป็นประชาชนของข้า ถ้าท่านเองก็ต้องการให้พวกนั้นกลับไปดินแดนของท่านข้าจะถามพวกเธอให้ และข้าก็จะไม่ห้ามความต้องการของพวกเธอ เพราะงั้นท่านเองก็ช่วยรอคำตอบนั้นเองเถอะ”
“ที่พูดแบบนั้น..ท่านคิดจะชักนำพวกเธอสินะ!!”
สายตาที่อ่อนโยนนั้นเปลี่ยนเป็นสายตาแห่งความโกรธทันทีที่ราชาสรรพ์สัตว์พูดจบ
“ข้าไม่เคยคิดจะชักนำใครทั้งนั้นแหละ ที่ข้าต้องการคือการให้พวกนั้นมีตัวเลือกในฐานะประชาชนของข้าเพียงเท่านั้น ถ้าพวกนั้นอยากกลับไปดินแดนของท่าน พวกนั้นก็จะกลับไปให้ท่านเห็นเอง ถ้าพวกนั้นอยากกลับไปละนะ..”
“พูดด้วยวาจาแบบนั้นท่านต้องการจะสื่ออะไรกันแน่? ราชาราชสีห์”
“ก็ปกติพวกภูติบางส่วนจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นได้จำเป็นต้องอาศัยพลังเวทของท่านพวกนั้นเองก็เช่นกัน แต่ตอนนี้เจ้าพวกนั้นเองก็สามารถเพิ่มจำนวนโดยไม่อาศัยท่านแล้ว ทีนี้รู้รึยังความหมาย ที่ข้าต้องการจะสื่อรึยัง ว่าหมายถึงอะไร”
“เจ้าจะบอกว่าเราไม่จำเป็นต่อพวกเธองั้นเหรอ? แต่เราเป็นผู้ให้กำเนิดพวกเธอนะ ราชาราชิสีห์ พวกเธอจะไม่ต้องการเราผู้เป็นมารดาได้อย่างไร”
“ข้าได้ยินว่าพวกนั้นโตเร็วพอสมควรเลยนะ ภายในเวลาไม่นานพวกนั้นก็สามารถแยกไปใช้ชีวิตของตัวเองได้โดยแทบไม่จำเป็นต้อง พึ่งพาผู้ให้กำเนิดเลยสัก ก็เหมือนเช่นเดียวกับท่านนั้นแหละ ราชินีภูต”
“……”
สายตาที่ราชินีภูตมองนั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตอย่างสัมผัสได้ชัดเจน เธอกำมืดของเธอด้วยความโกรธและร่างกายก็สั่นเทาเล็กน้อย
“เราจะเอาพวกเธอกลับมาที่ดินแดนเราให้ได้!! และท่านเองก็ไม่สิทธิที่จะมาขวางเราผู้นี้หรอก!!”
ราชินีภูตประกาศด้วยความโกรธเกรี้ยว เหล่าผู้ปกครองเองก็ไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้มาก่อนแม้แต่ราชาเอลฟ์กับราชินีเวทมนต์อย่างเบลเองก็ยังประหลาดใจ
“ข้าไม่คิดจะขัดขวางท่านตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อยากทำอะไรก็เชิญแต่ท่าท่านต้องการจะมาทำอะไรในดินแดนของข้า ท่านเองก็ต้องอยู่ในกฏของเรา หวังว่าท่านเองที่อยู่ในป่าไม่ค่อยสุงสิงกับใครก็คงรู้จักนะ กฏที่เรียกว่ากฏหมายนะ”
“!!!!!”
รอบนี้ราชินีภูติโมโหสุดขีดเธอกัดริมฝีปากแน่นจนเกิดบาดแผลบนริมฝีปากอันอวบอิ่มของเธอและใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เธอไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโดนดูถูกขนาดนี้มาก่อน เธอสาบานในใจว่าสักวันเธอจะต้องเอาคืนเขาเรื่องนี้ให้ได้อย่างแน่นอย
“เลิกไปแหย่ เธอได้แล้วราชาราชสีห์ เห็นไหมว่าท่านราชินีภูติเองก็โมโหจนหน้าแดงแล้ว อย่ายังไม่เลิกอีกเดี๋ยวเธอจะร้องไห้แล้วนะ”
“เรามิได้จะร้องไห้ซักหน่อย!! อย่ามาพูดไร้สาระเจ้าเด็กสายเลือดมังกร!!”
ราชินีภูติตะคอกกลับ ชายที่ใส่เสื้อผ้าโทรมๆ เขามีผมสีแดงเข้มดังเช่นเดียวก้บดวงตา เขาคือราชาแห่งลาส เขามีสายเลือดของมังกรและราชาไหลเวียนอยู่ในตัว เขามีความสามารถในด้านการปกครอง และการบับคับบัญชาในสงคราม แม้จะขึ้นเป็นราชาไม่นาน ประชาชนก็ยอมรับเขาในฐานะผู้นำ เขาในวัยเยาว์เองเบาเคยนักพจญภัคที่มีชื่อเสียงและเป็น1ในคนที่ได้รับแร๊งSในตำนาน ทำให้เขามีนิสัยห่ามๆเช่นเดียวกับตอนที่เขายังแค่พจญภัคอยู่เช่นเดิม
“ฮ่าๆๆ เข้าใจพูดดีนี้แกล ว่าแต่เจ้าเองก็มีธุระเรื่องภูติดำกับข้ารึเปล่า”
“ก็มีนะ เผอิญข้าต้องการเหล้าชั้นดีของพวกนั้นกับสิ่งประดิษแปลกๆ ที่พวกนั้นเรียกว่าพัดลมนะ พอจะจัดหาให้ได้รึเปล่า”
“นี้พวกเจ้ากล้าเมินเราเหรอ!!!”
“ข้าคิดว่าพอจะทำได้อยู่นะ ไว้จะลองถามร็อดนี่ให้เพราะนางเองก็ดูแลพวกนั้นอยู่”
“ร็อดนี่งั้นเหรอ? ข้าได้ยินว่าตอนนี้เธอยังโสตนี้จริงรึเปล่า?”
“เจ้ายังไม่ยอมตัดใจจากนางอีกเหรอ แกล”
“ข้าไม่วันตัดใจจากผู้หญิงที่สวยงามขนาดนั้นได้หรอก แม้แต่หลับตาก็ยังนึกถึงภาพเธอได้ชัดอยู่เลย”
“หยุดเมินเราเดี๋ยวนี้น้า~”
“เจ้าไม่มีวันได้ครอบครองหัวใจนางหรอกตัดใจซะเถอะ แล้วข้ายอมยกลูกสาวของข้าให้เอง”
“เอลนะเหรอ? ข้าไม่เอาหรอก เธอเองเหมือนลูกสาวข้าเหมือนกัน แม้ตอนนี้จะโตมางดงามขนาดไหนข้าก็มองเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้หรอก”
ราชาราชสีกับแกลพูดคุยกันอย่างสนิทสนมกันทั้งสองรู้จักกันมานแล้วตั้งแต่แกลเป็นนักพจญภัค จึงพูดคุยเรียกได้เพื่อนสนิทก็คงไม่ผิดนัก
“หยุดเมิน..เรา..ซักที”
“โห~ นี้เจ้ากล้าพูดหลังจากที่ขโมยหัวใจของเธอไปเนี้ยนะ ไอ้ราชากระล่อน ลูกสาวข้าสู้ยัยเฒ่านั้นไม่ได้ตรงไหนกัน!!”
“อย่ามาเรียกรักแรกพบของคนอื่นว่ายัยเฒ่าสิฟะ ข้าเองก็รักของข้านะเฟ้ย”
“เหอะ!! ลูกสาวข้าน่ารักและสวยกว่าตั้งเยอะ!! ถ้าเจ้าพบนางตอนนี้ละก็เจ้าจะต้องหลงนางจนโงหัวไม่ขึ้นแน่นอน!!”
“ข้าก็บอกแล้วว่าเธอก็เหมือนลูกสาวคนหนึ่งของข้า จะให้คนที่เห็นเธอมา ตั้งแต่เกิดและโตขึ้นมาเป็นสาว อย่างข้าคิดเป็นอื่นไปได้หรอก”
“เจ้าโง่!! ก็เพราะเจ้าไปหลงยัยเฒ่าจอมขี้เกียจนั้นตั้งแต่ยังเด็ก เจ้าถึงยังซิงอยู่ไง!!”
“อึก..อย่า..เมิน…เรา…”
“นะ..หนวกหูน่าข้าเองก็มีความจริงใจให้กับร็อดนี่ในแบบของข้าน่า”
“ความจริงใจ? เจ้ามันก็แค่ขี้ขลาดที่ไม่กล้านอนกับสตรีเท่านั้นแหละ”
“ว่าไงนะ!! พูดงี้จะเอารึไง!!”
“ก็มาสิ!! ข้าเองก็อยากล้างมือกับเจ้าเหมือนกัน”
“เฮ้ย ข้าว่าเราพอแค่นี้เถอะ”
“ทำไมเกิดกลัวขึ้นมารึไง!! ไอ้ราชากะล่อน!!”
“เปล่า.. ราชินีภูติร้องไห้แล้ววะ”
“อ๊ะ..”
.
.
.
.
.
“โอ๋ๆ ไม่เป็นแล้วนะแอน ไม่ร้องนะ”
เบล ลอยตัวขึ้นมาจากเหนือพื้นแล้วกอดปลอบราชินีภูติที่กำลังร้องไห้อยู่ในตอนนี้ เธอค่อยๆ ลูบหัวของราชินีภูตเบาๆ เพื่อปลอบโยนเธอ
“อึก..ฮือ..เรานะ..เรา..คือมารดาแห่ง..ภูต..นะ..อึก..แต่ดูพวกนั้นทำ..กับเราสิ..ฮือๆ”
“จ้าๆ รู้แล้วเพราะงั้นเลิกร้องได้แล้วนะ”
ราชินีภูตนั้นยังร้องไห้ไม่หยุดนี้ก็ผ่านมา10นาทีแล้วที่ราชินีภูตเริ่มร้องไห้ออกมา การเมินของราชาสรรพ์สัตว์และแกลทำให้เธอนั้นระเบิดน้ำตาออกมา
“งั้นเดียวข้าจะพาราชินีภูตไปพักก่อนอย่าพึ่งเริ่มประชุมไปก่อนละ และราชาสรรพ์สัตว์กับไอ้หนูเลือดมังกรอย่าลืมมาขอโทษราชินีภูตทีหลังด้วย.. ท่าไม่ทำละก็ข้าจะตัดเจ้าเป็นพันๆชิ้นแน่!!”
“”อืม””
ราชาสรรพ์สัตว์และแกลตามขานรับพร้อมกัน พวกเขาต่างรู้สึกผิดที่ไปแกล้งราชินีภูตมากเกินไป พวกเขาเองก็ไม่คิกว่าเธอจะโมโหและเจ็บใจถึงขั้นร้องไห้ออกมา
“สกสัยข้าคงต้องหาอะไรไปขอโทษเธอแล้วแหะ ว่าแต่ราชาราชสีห์เจ้ารู้ไหม ว่าราชินีภูติชอบอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”
“ข้าเองก็ไม่รู้ไม่เหมือนกัน คงเป็นพวกภูติดำละมั้งเห็นพูดว่าอยากได้คืนหนักหนาเลยนี้ งั้นก็ส่งไปสักตัวสองตัวสิ เธอจะน่าจะหายโมโหพวกเราง่ายๆเลยนะ”
“ข้าว่านั้นน่าจะทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิมนะ..”
“หมายความว่าไงละนั้น พวกภูติดำนี้มีอะไรผิดปกติรึไง แบบน่าตาน่าเกลียดไรเงี้ย”
“เปล่า พวกนั้นงดงามมากเรียกได้ว่าพวกเธอทุกคนเกิดมาพร้อมความงามก็คงไม่ผิดหรอก”
“โห~ อย่างงั้นยิ่งอยากเห็นเลยแหะ ไว้รอบหน้าที่ข้าไปหาร็อด…ไปเยี่ยมเจ้าข้าจะแวะไปดู”
“ข้าแนะนำว่าเจ้าห้ามพาหญิงงามไปกับเจ้าเด็ดขาด โดยเฉพาะพวกที่แต่งงานแล้วยิ่งห้ามพาไปเลย”
“หมายความว่าไงละนั้น? เจ้าเริ่มทำข้ากลัวแล้วนะ”
“จำเรื่องที่ข้าพูดไว้เถอะ แล้วเจ้าจะไม่เสียใจ.. ที่สำคัญเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ราชาเอลฟ์”
ราชาเอลฟ์นั้นกำลังใช้เวทมนต์รวบร่วมน้ำตาของราชินีภูติที่ไหลนองอยู่บนโตะ ให้มารวมกันในขวดอันเล็กที่เขาพกมาด้วย
“พวกเจ้าไม่คิดเหรอว่าน้ำตาราชินีภูติเป็นวัตถุดิบหายากนะ ข้าว่าจะลองไปใช้ทำยาเสริมสมรรถภาพทางเพศดูนะ”
“”””””หยุดเลยนะ/เฟ้ย””””””
เหล่าผู้ปกครองที่เหลืออยู่ทั้ง6คนต่างพูดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ยกเว้นแต่ราชินีเงือกที่ยังคงนั้งเงียบอยู่ ท่าราชินีภูติรู้ว่าน้ำตาของเธอจะถูกไปทำของพันธ์นั้นในตอนนี้ คงต้องร้องไห้หนักกว่าเดิมแหงๆ