ก่อนที่จะเลิกงาน จิงเฉินได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง จากสีหน้าที่บึ้งตึงก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม แต่ทว่ารอยยิ้มนี้มันดูแปลกไปสักหน่อย
“รู้แล้วครับ เดี๋ยวผมกลับไป” จิงเฉินพูดด้วยถ้อยคำที่เย็นชา
หลังจากที่วางหู จิงเฉินยกโทรศัพท์ขึ้นอยากจะปามันลงพื้นให้แตกละเอียดเสียจริง
แต่เขาก็ได้อดกลั้นความรู้สึกนี้ไว้ แล้วเดินไปที่ข้างหน้าต่าง มองดูเงาของตัวเองที่สะท้อนออกมา ใบหน้ามีรอยยิ้มแต่กลับผสมด้วยความกระหายเลือดเกลียดชัง
จิงเฉินขับรถสปอร์ตสีดำที่ดูเรียบง่ายแต่ก็ดูหรูหรา กลับมาถึงบ้านหลังเก่าที่ทำให้เขารู้สึกกดดันแทบจะหายใจไม่ออก
บ้านหลังเก่านี้มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี ทุกมุมมันซ่อนความรู้สึกเก่าแก่ลึกซึ้งลงไปทั้งหมด
นี่เป็นที่ที่จิงเฉินเกลียดที่สุด
“เป็นลูกภาษาอะไร ยิ่งโตยิ่งไม่มีระเบียบ ต้องให้ผู้ใหญ่รอนานขนาดนี้เชียวหรือ” ในห้องรับแขกมีผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดกี่เพ้าอยู่ในนั้นและพูดขึ้น "ตอนนี้เป็นนักธุรกิจใหญ่โตงานยุ่งตัวเป็นเกลียวแล้วล่ะสิ คนเป็นแม่อย่างฉันถ้าอยากเจอถึงกับต้องโทรศัพท์นัดวันเชียวหรือ?”
ใบหน้าที่ดูแลปลอบประโลมมาอย่างดีไม่มีรอยตีนกาอะไรเลยซักอย่าง ถ้ามองข้ามความโหดร้ายที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของเธอ เธอคนนี้ความจริงก็เป็นคนดีอยู่หรอก
จิงเฉินเดินไปด้วยหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์และนั่งลงบนโซฟาอย่างตัวตรง
“ที่บริษัทมีงานที่ต้องจัดการ อีกอย่างผมแค่รับปากว่าวันนี้จะกลับมา แต่ไม่ได้บอกว่าจะกลับมากี่โมง” จิงเฉินตอบกลับอย่างเย็นชา
“นี่พูดกับผู้ใหญ่แบบนี้หรอ” มารยาทที่ร่ำเรียนมาพวกนั้นมันหายเข้าไปในท้องหมาแล้วหรืออย่างไรกัน?”
“หึ……” จิงเฉินหัวเราะขึ้นและพูดอย่างสุขุมว่า”คุณแม่ทำไมต้องหงุดหงิดอารมณ์เสียขนาดนี้ล่ะครับ ผมแค่พูดความจริงเท่านั้น”
“ไอ้เด็กคนนี้”
“เอาหล่ะ เถียงกันไปเถียงกันมามันจะได้อะไร? จิงเฉินอีกหน่อยถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว” ท่านประธานใหญ่(เยี่ยแจว๋)ที่นั่งอยู่ตรงนั้น ตอนแรกไม่พูดอะไรก็พูดขึ้นมาตัดตอนระหว่างบททะเลาะกันระหว่างจิงเฉิงและคุณผู้หญิงเยี่ย(ภรรยาของตน)
จิงเฉินมองดูผู้ชายคนนั้นด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก เม้มริมฝีปากลงและไม่ได้พูดอะไรต่อ
คุณผู้หญิงเยี่ยรู้สึกไม่พอใจยิ่งนักที่พลาดโอกาสที่จะสั่งสอนจิงเฉิน
เยี่ยจิงซิงที่นั่งอยู่ข้างๆเห็นจิงเฉินโดนดุก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุข
แต่เขาก็ไม่ได้ลืมว่าสาเหตุที่เรียกจิงเฉินกลับมาเพราะมีจุดประสงค์อะไร
“เอาหล่ะแม่ ที่แม่เรียกจิงเฉินกลับมาไม่ใช่มีอะไรจะบอกหรอ” จิงซิงเตือนความจำคุณผู้หญิงเยี่ยแบบอ้อมอ้อม
คุณผู้หญิงเยี่ยนิ่งคิดไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็ยังคิดไม่ออก
หลังจากที่พวกเขาได้บริษัทเยี่วหวงมาไว้ในมือแล้ว ยังจะกลัวไอ้สัตว์ป่าตัวน้อยนี้อีกอยู่หรือเปล่า
“ตอนนี้แพลนของบริษัทใหญ่ขึ้นเรื่อยเรื่อย ที่บริษัทมีเเกคนเดียวดูแลน่าจะเหนื่อยไปหน่อย พอดีพี่ใหญ่ของเเกกลับมาจากต่างประเทศ สามารถที่จะเข้าไปช่วยงานได้ เเกสามารถกลับมาพักผ่อนอยู่เป็นเพื่อนคนที่บ้านได้ในช่วงนี้”
“ที่บริษัทไม่มีงานที่เหมาะกับพี่ใหญ่ และไม่มีโปรเจ็คที่เหมาะกับพี่ใหญ่ด้วย”
"ฉันเห็นว่าเธอเป็นหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์มากกว่า อยากจะฮุบบริษัทไว้คนเดียวหล่ะสิ ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งขึ้นหล่ะสิ แค่กับพี่ชายแท้แท้ก็ไม่ยอมแล้วหล่ะสิ”
“ผมแค่พูดตามความจริง”
“เธอก็แค่กลัวพี่ชายของเธอเก่งกว่าตัวเอง และแย่งตำแหน่งของเธอ เธอมันอิจฉาพี่ชายเธอหล่ะสิ”
“คุณก็รู้ดีนี่ งั้นผมยิ่งไม่สามารถที่จะให้พี่ใหญ่เข้ามาในบริษัทได้”
จิงซิงเป็นคนอย่างไรเขารู้ดี แค่คิดว่าจบมาจากมหาลัยชั้นนำต่างประเทศก็เก่งนักงั้นหรอ?
“ที่รัก”
“พ่อครับ”
ท่านประธานใหญ่( เยี่ยแจว๋ )ขมวดคิ้วเหมือนกับจิงเฉิน เขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำในครั้งนี้ของจิงเฉินเป็นอย่างมาก
“จิงซิงเข้าบริษัทไป โปรเจคนิทรรศการเครื่องประดับก็มอมให้ลูกเป็นคนดูแล”ท่านประธานใหญ่กล่าว
“ผมไม่เห็นด้วย” จิงเฉินปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแข็งทื่อ
“ฉันต้องได้รับอนุญาตจากเเกด้วยหรอ? ตอนนี้ฉันยังเป็นประธานใหญ่ของบริษัทเยี่ยหวง ทั้งบริษัทเยี่ยหวงยังเป็นของฉันอยู่ เเกมีสิทธิ์ที่จะมาขัดขวางด้วยหรอ?
เรื่องนี้ถึงเเกจะไม่เห็นด้วยแต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี"
จิงซิงพรุ่งนี้ไปบริษัทกับพ่อ “ท่านประธานใหญ่(เยี่ยแจว๋) ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
“ขอบคุณครับพ่อ ผมจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังเป็นอันขาด” จิงซิงพูดด้วยหน้าระรื่น
“ปีกยังไม่แข็งพอก็กล้าจะมาต่อกรกับฉัน อย่าคิดว่าแค่สองปีให้หลังมานี้ผลงานของแกมันจะเลิศเลอขนาดนั้น แค่คำพูดคำเดียวของฉัน ก็ทำให้เเกตกกระป๋องไร้ค่าไปได้”
จิงเฉินยังคงหน้าไม่เปลี่ยนสี
“ฉันแค่เรียกเเกกลับมากินข้าวแค่มื้อเดียวแล้วจะทำไม”
“ผมยุ่งมาก ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วผมขอตัวก่อนก็แล้วกัน”
เมื่อพูดสร็จ จิงเฉินก็ไม่สนว่าท่านประธานใหญ่จะโกรธเหมือนฟ้าผ่าอยู่ข้างหลังเพียงใด เขาได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“ ที่รักใจเย็นๆลงหน่อยเถอะค่ะ ไอ้ลูกคนนี้เกิดมามันก็เป็นแบบนี้แหละ อย่าไปใส่ใจอะไรมาก”
“ ใช่ครับพ่อ มันไม่คุ้มที่จะให้พ่อไปโกรธ”
คำพูดที่พูดออกมาค่อยค่อยจางหายไปพร้อมกับจิงเฉินที่เดินจากไป
จิงเฉินออกมาจากบ้านเก่าน่าอึดอัดหลังนั้น สตาร์ทรถขับด้วยความเร็วแสง สุดท้ายก็ไปจอดอยู่ที่ยอดเขา
เขารู้สึกเครียดและได้หยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวน กลิ่นของนิโคตินมันทำให้เขารู้สึกยิ่งเครียดไปกันใหญ่
มองดูบนท้องฟ้าที่มืดมิดเช่นนี้ ดวงดาวบางดวงที่เปล่งแสงเป็นระยะระยะ มันทำให้เขาคิดถึงผู้หญิงคนนั้นที่ฉลาดหลักแหลม มีเสน่ห์ และเจ้าเล่ห์ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เมื่อเธอโกรธ เธอชอบเอากรงเล็บอันแหลมคมไปข่วนคนอื่น ท่าทางแบบนี้ มันน่าดึงดูดเอามากจริงๆ
เขายิ้มที่ริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาใครบางคน
“สวัสดี ซินเหยาพูดค่ะ……” พูดด้วยเสียงอ้อแอ้ไม่ชัดเพราะลูกของเธอกำลังหยิบองุ่นผลสีแดงเข้าไปในปากของเธอ
“ฉันรู้ว่าเธอคือซินเหยา รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?” เสียงทุ้มต่ำที่เหมือนกับเสียงเชลโล่ได้ถามขึ้น
แม่เจ้า…… ป๊ะป๋าคุณเป็นคนเย็นตาแข็งทื่อ อย่าเลียนแบบเสียงอ้อนเลย มันดูน่าขนลุก
จากนั้นเธอรีบอุดเสียงโทรศัพท์และกลืนผลองุ่นพร้อมเม็ดลงไปในคอ
จากนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องของเธอพร้อมล็อกประตูอย่างรวดเร็ว
มั่นใจแล้วว่าในห้องมีเพียงเธอคนเดียวจึงพูดขึ้นว่า”ประธานเยี่ยคุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ? "
“ตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่ยอดเขาหลงซาน คุณเอาไวน์ขึ้นมาให้ผมหนึ่งขวด”เยี่ยจิงเฉินพูด
“ตอนนี้มันไม่ใช่เวลางานนะคะ ฉันไม่จำเป็นต้องไป”
คุณไม่มีสิทธิ์มาละเมิดฉันแบบนี้!
ค่าไวน์กับค่ารถฉันออกให้ ถ้าเธอมา ฉันเพิ่มค่าโอทีนี้ให้ 10 เท่า
10 เท่า? มันเป็นเงินเท่าไหร่กันนะ
นี่ป๊ะป๋าก่อนออกจากบ้านลืมกินยาหรืออย่างไร? แต่ไม่เป็นไรเธอชอบ
จากนี้ไปขอร้องให้ป๊าป๋าก่อนออกจากบ้านไม่ต้องกินยาอีกนะ
“โอเค ฉันจะรีบไปทันที” ซินเหยาตอบตกลงอย่างหน้าระรื่น
เมื่อเธอต้องเลือกระหว่างศักดิ์ศรีกับเงิน คนอย่างเธอนะหรือก็ต้องเลือกอย่างที่สองอยู่แล้วสิ
MANGA DISCUSSION