ป่ะป๊าจ๋า หนูมาแล้ว - ตอนที่ 168 : ปัญหายิ่งถาโถม ดุจดั่งฝนสายฟ้าฟาด
มันได้ยินแต่เพียงเสียงรอสาย ใจของเธอจากที่เต้นแรงมันก็เริ่มจะสงบลง
แม่เจ้า ป๊ะป๋าทำไมไม่รับโทรศัพท์เธอ
ไม่ได้ เธอต้องโทรให้ติดให้ได้ ถึงจะไม่พูดอะไร แต่ก็ต้องกวนเขาให้ได้สักหน่อย
นี่มันไม่ยุติธรรมเลย เธอไม่เคยที่จะไม่รับสายของป๊าป๋าเลยนะ (สองวันก่อนที่เธอไม่รับโทรศัพท์คือเธอเมินเขาเอง เธอไม่มีเหตุผลแบบนี้ ป๊ะป๋ารู้หรือเปล่า?)
ถ้าเกิดคืนนี้เธอยังโทรไม่ติด เธอคงจะนอนไม่หลับแน่ๆ
เธอก็ไม่ได้เป็นคนราศีกันย์นะ ทำไมถึงต้องดื้อดึงย้ำคิดย้ำทำกับเรื่องพวกนี้ด้วย
รับสิ รับสิ รับสิ เธอไม่รู้ว่าเธอโทรไปกี่สายแล้ว มันโทรติดนะแต่ว่าไม่มีคนรับ
เธอยืนโทร เดินโทร นั่งโทร ลืมตาโทร หลับตาโทร
แต่ว่าเธอโทรไปโทรมาจนหลับ สำหรับที่ว่าเธอโทรไปกี่สายนั้นเธอก็ไม่รู้
สุดท้ายโรคย้ำคิดย้ำทำและโรคนอนไม่หลับของเธอก็รักษาหายแล้ว
แน่นอนว่าจิงเฉินเห็นสายของซินเหยา เพียงแต่ว่าเขาอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น
นับตั้งแต่เรื่องเกิดขึ้นถึงสายโทรศัพท์ของเธอ ประมาณเกือบๆ 10 ชั่วโมงได้ ในระหว่างนี้จิงเฉินไม่ได้ทำเรื่องอะไรเลยสักอย่าง ปล่อยให้คนด่ากราดและปล่อยให้หุ้นของบริษัทร่วงลงไปอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการกระทำนี้ของเขาแล้ว เขาให้คำคุณศัพท์มาบรรยายหนึ่งคำคือ : ล้มเหลว
ตอนกลางคืนประมาณสี่ทุ่ม จิงเฉินถูกเยี่ยแจว๋เรียกกลับบ้าน
จิงเฉินใส่ไว้ชุดสูทสีดำ สีหน้าของเขามันดูไร้อารมย์เย็นชาเปรียบดังรูปแกะสลักของจิตรกร มันไม่มีรอยขีดข่วนอยู่บนนั้น ถึงแม้ว่ามันจะน่าดูน่าชมเอามาก แต่ว่ามันก็ทำให้คนรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกในขณะเดียวกัน แววตาที่ดำทมิฬของเขามันช่างไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือเลย
หลังจากที่จิงเฉินกลับมาถึงบ้าน นอกจากจิงซูที่เรียนอยู่ต่างประเทศแล้ว ทุกคนก็พร้อมหน้าพร้อมตากันมาก
“พ่อเรียกผมมามีอะไรหรอครับ?” จิงเฉินเดินเข้ามา ยังไม่ทันนั่งก็ถามพ่อของเขาด้วยสีหน้าที่เย็นชา
สีหน้าของเยี่ยแจว๋ตอนแรกมันมันก็ดูแย่มากแล้ว แต่เมื่อเห็นสีหน้าและน้ำเสียงของลูกชายตัวเองมันก็ยิ่งโกรธไปกันใหญ่
เพิ่งให้ลูกชายไปดูแลบริษัทไม่ถึงครึ่งเดือน สุดท้ายบริษัทก็วุ่นวายไปกันหมด
ตอนแรกเขายังอยู่ต่างประเทศพักร้อน สุดท้ายผู้ถือหุ้นของบริษัทต่างโทรมาหาเขา เขาถึงได้รู้ว่าบริษัทเกิดเรื่องต่างๆพวกนี้ขึ้น
ถ้าเกิดว่าไม่ใช่ผู้ถือหุ้นคนอื่นเป็นคนบอกเขาหล่ะก็ เรื่องพวกนี้เขาคงไม่รู้แน่
ก่อนที่จิงเฉินจะมา เขาก็ได้สั่งสอนจิงซิงไปแล้ว ตอนนี้จิงซิงไม่ได้มีความอวดเก่งเหมือนตอนแรกแล้ว หน้าซีดเป็นไก่ต้ม แต่เมื่อเห็นจิงเฉินมา ก็รีบเปลี่ยนสีหน้าให้ดีขึ้นทันที
“พูดอย่างนี้ได้ไง” สีหน้าของเยี่ยแจว๋ที่ไม่ได้ดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เมื่อเห็นน้ำเสียงสีหน้าของจิงเฉินก็ยิ่งไม่ดีไปกันใหญ่ สมกับที่เป็นพ่อลูกกันจริงๆ
“ไม่ใช่ว่ามีเรื่องหรอครับถึงเรียกผมกลับมา?” จิงเฉินยิ้มไปที่มุมปากหัวเราะแห้งออกมา
สีหน้าของจิงเฉินมันดูเย็นยะเยือกเอามาก ปากก็เซียวซีด มันทำให้เห็นว่าตอนนี้เขาชักจะทนไม่ไหวแล้ว
เขาจับไปที่ตัวของตัวเอง อยากจะหยิบบุหรี่สักมวนออกมา แต่ว่าลูบจับไปทั้งตัวถึงได้รู้ว่าวันนี้เขาไม่ได้พกบุหรี่มา
เยี่ยแจว๋ตอนนี้รู้สึกโกรธเอามาก เขายกแก้วชาที่วางอยู่ขึ้นมาและใช้แรงโยนใส่ไปที่จิงเฉิน จิงเฉินไม่ได้หลบ ปล่อยให้แก้วชาแก้วนั้นโยนมาที่ตัวเอง น้ำชามันหกใส่ตัวเขาไปหมด
เสื้อบนตัวเขาเป็นเสื้อสูทระดับแพง แต่ตอนนี้มันเปื้อนไปด้วยน้ำชา
เยี่ยแจว๋โยนไปอย่างแรง แก้วนั้นจึงตีถูกบนหน้าผากของจิงเฉิน เลือดค่อยๆไหลออกมาจากหน้าผากลงมา มันทำให้เขาดูไม่ได้จริงๆแต่ก็มีความหล่อแบบดิบๆซ่อนอยู่
โลกนี้เป็นโลกที่ดูรูปลักภายนอกจริงๆ คนที่หน้าตาดีถึงจะเป็นอย่างไรก็หน้าตาดีอยู่วันยันค่ำ
คุณผู้หญิงของตระกูลเยี่ยเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ตกใจขึ้น หลบหน้าหนีไม่ยอมพูด
จิงซิงเมื่อเห็นจิงเฉินโดนไปอย่างนั้นในใจก็รู้สึกดีใจอยู่นิดนิด เขารู้สึกโล่งใจไปหน่อยเพราะว่าถ้าไอ้แก่นั่นระบายอารมณ์กับจิงเฉินไปแล้ว ตัวเขาเองก็น่าจะไม่โดนแล้ว
“เรื่องที่เกิดขึ้นกับบริษัทแกรู้ไหม?” เยี่ยแจว๋ถามขึ้นอย่างโกรธ
“ไม่รู้ ผมลางานอยู่” จิงเฉินตอบกลับอย่างเย็นชา
“บริษัทเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แกไม่รู้นี้นะ แกเคยใส่ใจกับบริษัทหรือเปล่า มีความรับผิดชอบหน่อยหรือเปล่า” เยี่ยแจว๋โกรธควันออกหู
“ผมกำลังลาพัก ไม่เหมาะที่จะแทรกมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องของบริษัท เรื่องของบริษัทก็ยกให้พี่ใหญ่เป็นคนจัดการแล้ว” จิงเฉินพูดดำน้ำเสียงที่ไร้ความรู้สึก
“ยังมาพูดแบบนี้อีก” เยี่ยแจว๋คิดว่าจิงเฉินจะผลักภาระนี้ให้กับคนอื่น
“ถ้าคุณฟันธงแล้วว่าเรื่องนี้มันเป็นแบบนี้ งั้นผมก็ไม่มีอะไรที่จะพูดอีก” จิงเฉินยื่นมือออกไปปัดเศษน้ำบนตัวของตัวเอง และตอบกลับอย่างไม่สนใจ
“ตอนนี้บริษัทเกิดเรื่องนี้ขึ้น ให้แกมาช่วยพี่แกจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสรรพ” เยี่ยแจว๋เมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกมาบนหน้าผากของจิงเฉินก็อดทนและพูดต่อไปอีกว่า : “ภายภาคหน้าบริษัทก็เป็นของแกและพี่แกสองคน อย่าทำให้ฉันผิดหวัง”
จิงเฉินมองไปที่ผู้ชายที่นั่งไว้ตรงนั้นด้วยแววตาที่เยาะเย้ยดูถูก
เขารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าจะแก่มากแล้ว อีกอย่างยังมึนอีกด้วย คำพูดพวกนี้ที่พูดออกมาขนาดจิงซูลูกชายคนเล็กเขาที่อายุน้อยสุดก็น่าจะยังไม่เชื่อเลยมั้ง?
“คงต้องทำให้คุณผิดหวังแล้วแหละ รอบนี้ตอนที่ผมไปสำรวจโปรเจคที่เมืองHก็เกือบจะประสบอุบัติเหตุทางรถแล้ว มันจึงทำให้ผมรู้สึกตกใจขวัญหายเอามาก เพราะงั้นเรื่องของบริษัทต่างๆผมจึงไม่สามารถมาดูแลได้ อีกอย่างตอนนี้ผมยังบาดเจ็บ ผมสงสัยว่าเลือดผมคงจะคลั่งในสมอง ตอนนี้ต้องไปโรงพยาบาลด่วน เรื่องต่างๆในบริษัทก็ยกให้พี่ใหญ่เป็นคนดูแลเลย ผมวางใจเขามาก แค่นี้นะ ถ้าคุณพูดจบแล้วก็แค่นี้” จิงเฉินไม่อยากที่จะสนใจผู้ชายคนนี้อีกต่อไป จากนั้นก็หันหลังและเดินจากไป
“จิงเฉิน แกหยุดอยู่ตรงนั้นนะ ทำไมถึงกล้ามาพูดกับฉันแบบนี้ เมื่อกี้ที่แกพูดมันหมายความว่าอะไร โทษฉันหรอว่าฉันไม่ควรโยนแก้วนั้นใส่แก ตอนนี้แกก็ปีกกล้าขาแข็งแล้วน่ะสิ คำพูดของฉันก็ไม่ฟังกันแล้วใช่ไหม”
ที่แท้คำพูดที่เขาพูดไปเมื่อกี้ พ่อของเขากลับจับใจความได้แบบนี้หรอ?
“งั้นคุณคงอยากให้เลือดผมออกหมดตัว? ถ้าเกิดว่าผมอยากตายจริงๆก็คงไม่เลือกเวลานี้หรอก เพราะกลัวว่างานศพของผมจะไม่มีคนมาร่วมงาน มันดูโหดร้ายเกินไป” จิงเฉินเมื่อได้ยินที่เยี่ยแจว๋พูดขาที่ก้าวไปก็ชะงักขึ้น และพูดตอบกลับออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังหัวเราะเยาะตัวเองหรือเยาะเย้ยคนอื่น