ป่ะป๊าจ๋า หนูมาแล้ว - ตอนที่ 165 ป่ะป๊าถูกทอดทิ้ง
“คุณลุงเที่ยงแล้วหิวหรือยังคะ หนูขอเลี้ยงข้าวคุณลุงโอเคไหมคะ?” เค่อหลานคว้ามือของเยี่ยจิงเฉินมาจับแล้วมองไปที่เยี่ยจิงเฉินอย่างคาดหวัง
ในความเป็นจริงเยี่ยจิงเฉินไม่ชอบทานข้าวกับคนแปลกหน้าเลย แต่การมองไปที่ใบหน้าเล็กๆของเค่อหลานนั้นที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง เขามีความร้ายกาจต่อผู้อื่นมาโดยตลอดแต่เขามีความร้ายกาจต่อตัวเองมากกว่า ประธานใหญ่ผู้ใจแข็งดั่งก้อนหินหัวใจ ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งเขาจะลังเลในการปฏิเสธผู้อื่น
“โอเคก็ได้ แต่ว่าหนูมีเงินใช่ไหม?” เยี่ยจิงเฉินเงยมือประกบกับมือเล็กๆของเค่อหลาน
แต่เค่อหลานค้นดูกระเป๋าเสื้อของเธอ พบว่าไม่มีเงินสักนิดอยู่ในนั้น
เงินอยู่กับพี่ชายของเธอ เงินที่หม่ามี้เพิ่งให้ก็อยู่กับพี่ชาย
เยี่ยจิงเฉินเห็นว่าเค่อหลานไม่มีเงินจึงยิ้มเบาๆ “ไม่มีเงิน จะเลี้ยงข้าวคุณลุงได้อย่างไร?”
“หม่ามี้ของหนูทำข้าวกล่องมาด้วย งั้นหนูขอเลี้ยงข้าวล่องคุณลุง หม่ามี้ของหนูทำอาหารอร่อยมาก หนูชอบกินฝีมือหม่ามี้มาก” น้ำเสียงของเค่อหลานมีความมั่นใจ เชียร์ฝีมือในการทำอาหารของถังซินเหยาเป็นอย่างมาก
ลั่วหลิงเฝ้าดูน้องสาวของเขาและเยี่ยจิงเฉินกำลังคุยกันเรื่องถังซินเหยา ลั่วหลิงขยับริมฝีปากต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่เมื่อมองไปที่สีหน้าแห่งความคาดหวังและความปรารถนาของน้องสาว ปากของเขาขยับอยากจะพูดสิ่งที่เพิ่งคิดไป แต่โทรศัพท์มือถือของเยี่ยจิงเฉินก็ดังขึ้น
“รอลุงแป๊บหนึ่งนะ ลุงขอรับโทรศัพท์ก่อน” เยี่ยจิงเฉินหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา เมื่อเห็นหมายเลขผู้โทรเข้าก็รู้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับบริษัท เขาปล่อยมือของเค่อหลาน เขาเดินไปอีกมุมแล้วกดรับสาย
“หม่ามี้ยังไม่อนุญาตก็จะพาเขาไปกินข้าวด้วยแล้ว ทำแบบนี้หม่ามี้ต้องโกรธแน่ๆ ” ลั่วหลิงเดินมาพูดกับเค่อหลาน
เขาคาดเดาว่าเยี่ยจิงเฉินจะมาโรงเรียนในวันนี้และเขาคาดเดาว่าจะได้พบเจอกับเยี่ยจิงเฉิน แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเค่อหลานจะกระตือรือร้นที่ได้เจอเยี่ยจิงเฉินมากขนาดนี้และเธอยังชวนเขาไปทานข้าวด้วย
ตอนนี้ลั่วหลิงยังคงโกรธ นึกไม่ถึงว่าเยี่ยจิงเฉินจะกล้าพูดว่าไม่ทราบที่มาของเขา
หลังจากถูกพี่ชายของเธอเตือนสติ แล้วนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้รับความยินยอมจากหม่ามี้
ถ้าเธอพาเขาไปทำให้หม่ามี้โกรธ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก
“แล้วจะทำอย่างไรดี?” เค่อหลานเลิกคิ้วและมีสีหน้าที่รู้สึกผิด
ลั่วหลิงครุ่นคิดสักพักแล้วยิ้มออกมาเผยให้เห็นลักยิ้มสองข้างที่น่ารักของเขา เดิมทีเขามีสีหน้าที่จริงจังแต่เป็นเพราะลักยิ้มทั้งสองข้างทำให้เขาดูน่ารักไร้เดียงสา
“ถ้าหม่ามี้รู้ว่าเธอคุยกับคนแปลกหน้าแบบนี้หม่ามี้ต้องโกรธมากแน่ๆ อยากโดนหม่ามี้ตีก้นเหรอ?” ลั่วหลิงพูดโน้มน้าวน้องสาวโง่ๆของเขา
เขารู้ว่าน้องสาวตััวเองกลัวที่สุดคือการโดนหม่ามี้ตีก้น ดังนั้นใช้วิธีนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรน้องสาวของเขาก็จะไม่ต่อต้าน
แม้ว่าหนุ่มหล่อจะสำคัญ แต่ก้นก็สำคัญยิ่งกว่า
“พี่คะ แล้วฉันจะทำยังไงดีฉันไม่อยากโดนหม่ามี้ตีก้น” เค่อหลานถามอย่างกังวล
เขาไม่ได้ล้อเล่นเรื่องนี้เลยถ้าน้องสาวพาเยี่ยจิงเฉินไปจริงๆ จากนั้นเป็นไปได้ว่าหม่ามี้จะต้องซ่อนตัวตลอดเวลา กลัวว่าความจริงจะถูกเปิดเผยออกมา แม้ว่าหม่ามี้จะรักน้องสาวมากแค่ไหนแต่ก็ต้องสั่งสอนบทเรียนเล็กๆน้อยๆให้เธอ
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โกหกน้องสาว เขาแค่บอกความจริง
ลั่วหลิงช่วยน้องสาวของเขาด้วยเหตุผลที่เต็มเปี่ยม เขาชี้ไปที่เยี่ยจิงเฉินที่กำลังหันหลังให้พวกเขา “เขาไปคุยโทรศัพท์แล้วเขาไม่ได้มองพวกเรา งั้นพวกเรากลับกันก่อนเถอะ”
“แต่หม่ามี้บอกว่ารับปากอะไรใครไปต้องทำให้ได้” เค่อหลานไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนี้
“โอเค ที่เธอพูดก็ถูก หม่ามี้ยังบอกว่าต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ หม่ามี้แค่ตีเธอสองสามครั้งเท่านั้น คงไม่ตีให้ตายหรอก” ลั่วหลิงขู่น้องสาวอย่างใจเย็น
“งั้นไปกันเถอะ รอเจอลุงจิงเฉินอีกครั้งฉันจะใช้เงินค่าขนมเลี้ยงข้าวเขา” เค่อหลานพยักหน้าเห็นด้วยทันที หม่ามี้ตีก้นไม่ใช่แค่เจ็บนะแต่ยังขายขี้หน้าอีกด้วย ทั้งที่เธออายุใกล้จะหกขวบแล้ว
“ไปกันเถอะ” ลั่วหลิงจับมือของเค่อหลานอย่างมีความสุขแล้ววิ่งเหยาะๆออกไป
คนที่โทรมาคือหลี่เวย เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่รีบร้อน “ประธานเยีี่ยคะสถานการณ์ไม่ดีเลยค่ะ ข่าวภายในของเยี่ยหวางได้ถูกเปิดเผยเมื่อเวลาตีห้าของวันนี้ ตอนนี้หนังสือพิมพ์เศรษฐกิจรายใหญ่ทุกฉบับได้รายงานข้อมูลภายในของบริษัทออกมา ข่าวลือทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ตไม่เป็นผลดีต่อบริษัท ตอนนี้หุ้นของบริษัทพังทลายลงหากไม่รีบจัดการให้ทันเวลาบริษัทอาจจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก ตอนนี้ควรทำยังไงดีคะ?”
เยี่ยจิงเฉินขมวดคิ้วและยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเยี่ยจิงซิงคนที่ไม่มีประโยชน์จะโง่ขนาดนี้ เรื่องนี้ถูกเปิดเผยอย่างรวดเร็ว
“คุณไม่ต้องเข้าไปยุ่งนะ”น้ำเสียงของเยี่ยจิงเฉินเย็นชา แม้แต่แสงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูหนาวก็ไม่สามารถละลายความเย็นได้
“ แต่……” หลี่เวยรู้สึกลำบากใจ
เยี่ยหวางสามารถประสบความสำเร็จในวันนี้ได้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความพยายามและการทำงานหนักของเยี่ยจิงเฉินตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลี่เวยรู้ว่าเยี่ยจิงเฉินร่ำรวยมากและไม่สามารถใช้เงินได้หมดในชาตินี้ แต่เธอไม่อยากเห็นความพยายามของเยี่ยจิงเฉินถูกทำลายโดยรุ่นที่สอง
“ตอนนี้ผมอยู่ในช่วงพักร้อน กิจการของบริษัทไม่ได้อยู่ในการควบคุมของผม แม้ว่าผมต้องการจะจัดการแค่ไหนแต่ผมก็ไม่มีอำนาจ” เยี่ยจิงเฉินพูดตัดบทหลี่เวย “โอเค ผมรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรแต่คุณอย่าเข้ามาแทรกแซงเด็ดขาด ผมจะกลับไปเมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับไป บริษัทมาจากความพยายามของผม ผมไม่อาจมองดูมันพังทำลายไปต่อหน้าแน่นอน”
“โอเคค่ะ” คำพูดของเยี่ยจิงเฉินเป็นเหมือนความมั่นใจสำหรับหลี่เวย เธอทำงานกับเยี่ยจิงเฉินตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย เธอเชื่อมั่นในความสามารถของเจ้านายของเธอ ในเมื่อเยี่ยจิงเฉินรู้ตัวเองดีแม้ว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา เยี่ยจิงเฉินก็สามารถแบกรับมันได้ด้วยมือทั้งสองข้างของเขา
หลังจากวางสายของหลี่เวยแล้ว เยี่ยจิงเฉินก็กดโทรอีกครั้ง
“ฮัลโหล ตอนนี้ต้องการซื้อหุ้นทั้งหมดของเยี่ยหวางโดยไม่คำนึงถึงราคาใดๆ ต้องใช้เงินเท่าไหร่ก็ไปถอนที่ธนาคารโดยตรง ฉันหวังว่าคราวนี้ฉันจะสามารถครอบครองเยี่ยหวางได้” เยี่ยจิงเฉิินบอกคนทางโทรศัพท์อย่างเด็ดขาด
“โอเคครับ เจ้านายไม่ต้องห่วงผมจะจัดการเรื่องนี้เป็นอย่างดี
วุ่นวายใช่ไหมยิ่งวุ่นวายยิ่งดี ความวุ่นวายที่แท้จริงเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด
เขาไม่ต้องการถูกจำกัดสิทธิของผู้ถือหุ้นโดยชายชราอีกต่อไป เขาต้องการทำให้เยี่ยหวางไม่ใช่สมบัติตระกูลเยี่ยอีกต่อไปแต่กลายเป็นของเยี่ยจิงเฉินคนเดียว
แม้แต่หลี่เวยเองก็ไม่รู้ถึงความทะเยอทะยานของเขาครั้งนี้ เขาซื้อหุ้นของเยี่ยหวาง เพียงต้องการปล่อยให้มันเป็นไปตามสถานการณ์เท่านั้น
เยี่ยจิงเฉินจะเต็มใจที่ถูกคนอื่นควบคุมได้อย่างไร
หลังจากมอบหมายทุกอย่างเสร็จแล้วเขาก็จำได้ว่ายังมีเด็กที่น่ารักอีกสองคนรอเขาอยู่ เขาหันกลับมาแต่ก็ไม่พบเด็กทั้งสองแล้ว เขากลัวเพียงว่าเด็กทั้งสองรอเขาไม่ไหวเลยไปแล้ว หัวใจของเยี่ยจิงเฉินว่างเปล่าเล็กน้อยและมีความผิดหวังอย่างสุดจะบรรยาย