ปลายฝนต้นเหมันต์ - ตอนที่ 1
พ.ศ. 2544
ณ บ้านดอนเจดีย์ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี
“กรมศิลปากรได้มาทำการสำรวจที่นี่เมื่อปี พ.ศ. 2525 พบโครงกระดูกในบริเวณนี้หลายร้อยโครง ตลอดจนดาบโบราณ กรามช้าง และเครื่องม้าอีกเป็นจำนวนมาก รวมถึงซากเจดีย์สมัยกรุงศรีอยุธยาด้วย จึงเชื่อว่าบริเวณนี้เคยเป็นสนามรบในการทำยุทธหัตถีในสมัยกรุงศรีอยุธยา”
หยาดพิรุณกำลังฟังอาจารย์เล่าถึงเรื่องราวการค้นพบเศษซากประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยาอย่างตั้งใจ แต่ก็จำต้องตัดใจค่อย ๆ ก้าวเท้าออกมาให้ห่างจากบริเวณนั้นเพราะแรงสั่นสะเทือนจากเพจเจอร์ที่เธอเสียบไว้กับขอบกระโปรงนักศึกษาทรงเอ
‘โทรกลับเหมด้วย’
หยาดพิรุณอ่านข้อความที่ห้าของวันนี้ที่เหมันต์เพียรส่งมันมาตั้งแต่ช่วงสาย น่าจะตั้งแต่รู้ว่าเธอหนีมาออกภาคสนามกับรุ่นพี่ที่คณะโบราณคดีโดยที่ไม่อยู่ช่วยจัดงานวันเกิดของเขา แต่หากจะพูดให้ถูกมันคืองานวันเกิดของทั้งเขาและเธอนั่นแหละ
เธอและเหมันต์ลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้ในวันเดียวกัน ในวันฝนพรำที่คุณแม่พุดซ้อนของเหมันต์เจ็บท้องจะคลอดเขาออกมา แต่กลับพบว่ามีเด็กทารกแรกเกิดถูกวางทิ้งไว้ที่ใต้ต้นไม้หน้าบ้านของตัวเอง เพราะเธอและสามีจะรีบไปโรงพยาบาลจึงต้องหอบหิ้วทารกตัวน้อยไปด้วย และหลังจากนั้นอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมาเหมันต์ก็ลืมตาขึ้นมาดูโลก
ด้วยความสงสาร พุดซ้อนและสามีจึงเลี้ยงดูเธอคู่กับเหมันต์มาตั้งแต่วันนั้น หยาดพิรุณได้รับความรักความอบอุ่นจากพ่อและแม่บุญธรรมรวมทั้งความรักจากเหมันต์ในรูปแบบที่เปลี่ยนไป หลังจากเขาจบจากโรงเรียนประจำที่ถูกส่งไปดัดนิสัยที่นั่นตลอดสามปีในช่วงชีวิตมัธยมปลาย
กว่าสองปีที่ได้ศึกษาดูใจในฐานะคนรัก มันคือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต เหมันต์ดูแลเธอเป็นอย่างดี เป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งพี่ชายในคนเดียวกัน และในอีกสองปีข้างหน้าหลังจากที่จบการศึกษา ทั้งสองก็ได้วางแผนที่จะแต่งงานกัน แต่ทว่าเส้นทางความรักที่โรยด้วยกลีบกุหลาบมักมีอุปสรรคเสมอ และทุกอย่างมันมาจากตัวเธอเอง
หยาดพิรุณมีความสนใจในประวัติศาสตร์ ภาพวาด โบราณสถาน โบราณวัตถุ ที่ซึ่งเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงระหว่างตัวเธอกับเรื่องราวเหล่านั้น เธอรู้สึกเหมือนอยู่ในฝัน รู้สึกมีความสุขในทุก ๆ ครั้งที่ได้ค้นหามัน เมื่อมีโอกาสเธอจึงรีบคว้าเอาไว้ โดยทิ้งเหมันต์ไว้ข้างหลังอยู่เสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน
“ไม่ไปสักครั้งไม่ได้หรือไง พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของเรานะ และคุณแม่ก็เตรียมงานเอาไว้แล้วด้วย” เหมันต์โวยวายทันทีที่เธอบอกว่าในวันรุ่งขึ้นต้องออกสนามกับพี่ ๆ และอาจารย์ที่คณะ
“ฝนสัญญาว่าจะกลับมาให้ทัน เหมไม่ต้องเป็นห่วงนะ” เธอรับปากคนรักเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ดูเหมือนเหมันต์จะรู้ทัน
“ไปต่างจังหวัดจะกลับมาทันได้ยังไง เหมไม่ให้ไปนะ”
หยาดพิรุณเม้มริมฝีปากไว้แน่น อาการดื้อเงียบภายใต้บุคลิกเรียบร้อยอ่อนหวานถูกแสดงออกมาทางสายตาเท่านั้น
“ค่ะ” ปากตอบรับแต่ดวงตาสีดำกลับฉายแววมุ่งมั่น และวันถัดมาเธอก็มาปรากฎกายอยู่อีกจังหวัดจนได้
หญิงสาวกวาดสายตามองหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ แต่ในตำบลเล็ก ๆ แบบนี้คงหาไม่ได้ง่ายนัก
“มีอยู่ตู้หนึ่งตรงสามแยกโน่นแน่ะหนู” แม่ค้าขายกาแฟโบราณที่อยู่ในโบราณสถานชี้บอกทาง หยาดพิรุณมองตามปลายนิ้วของหญิงท้องแก่แล้วก็รู้สึกท้อ แสงแดดยามบ่ายของที่นี่ก็ไม่ปรานีเธอเลย ร้อนจนเหงื่อซึมและรู้สึกคอแห้งไปหมด ทั้ง ๆ ที่ช่วงนี้มันเป็นปลายฝนต้นหนาว
“ซื้อน้ำแดงถุงหนึ่งค่ะพี่”
แม่ค้าท้องแก่ยิ้มให้ก่อนจะใช้กระบวยตักน้ำร้อนในหม้อ แสตนเลสทรงกระบอกใส่แก้วใบใสแล้วเทน้ำแดงเฮลบลูบอยลงไปเกือบครึ่งแก้ว ของเหลวสีแดงทิ้งตัวลงที่ก้นก่อนจะถูกคนด้วยช้อนชาสีเงิน
เสียงช้อนกระทบแก้วดังเป็นจังหวะ เมื่อของเหลวทั้งแก้วเป็นสีแดงใสเสมอกัน มันก็ถูกเทลงไปในถุงน้ำแข็งป่นก้อนเล็กๆ
แม่ค้ามัดมุมถุงด้วยหนังยางสีเดียวกับน้ำ ก่อนจะยื่นมันมาให้เธอพร้อมกับรอยยิ้ม
“ห้าบาทจ้ะหนู”
หยาดพิรุณตื่นจากภวังค์หลังจากมองเพลิน ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกตัว มือเรียวรีบควานหาเหรียญในกระเป๋าสะพายที่ถักจากปอเทือง สายตามองช่วงท้องนูน ๆ ของแม่ค้า พลางริมฝีปากอิ่มก็เริ่มเอื้อนเอ่ยอย่างชวนคุย
“ท้องกี่เดือนแล้วคะ”
“แปดเดือนกว่าแล้วจ้ะ” แม่ค้าคนสวยตอบอย่างอารมณ์ดี มือหนึ่งยกขึ้นลูบท้องของตัวเอง
“ผู้หญิงหรือผู้ชายคะ” หยาดพิรุณส่งเหรียญให้อีกฝ่าย สายตายังไม่ละจากหน้าท้องนูน
“ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ รอลุ้นเอา”
หญิงสาวสองคนส่งยิ้มให้กันอย่างมีไมตรี อีกฝ่ายรับเหรียญไป อีกฝ่ายรับน้ำมาก่อนจะกล่าวลากัน
“ขอให้น้องแข็งแรงนะคะ”
หยาดพิรุณเลื่อนหลอดมาจ่อที่ปากแล้วดูดน้ำแดงอย่างกระหาย พร้อมกับหันหลังให้แล้วรีบออกเดินไปตามทางที่แม่ค้าบอกว่ามันมีตู้โทรศัพท์สาธารณะตั้งอยู่ ส่วนแม่ค้าท้องแก่ก็ส่งยิ้มให้แล้วมองตามแผ่นหลังของนักศึกษาสาวคนสวยอย่างชื่นชม ฝ่ามือบางลูบลงบนหน้าท้องของตัวเองอย่างทะนุถนอม
“ขอให้หนูเกิดมาหน้าตาน่ารักเหมือนพี่เขานะลูก แม่จะส่งหนูเรียนสูง ๆ ให้ได้ใส่ชุดนักศึกษาสวย ๆ เหมือนพี่เขานะคะ”
สิ้นประโยคแม่ค้าสาวก็นิ่วหน้า มือบางคว้าเก้าอี้ไม้เก่า ๆ เข้ามารองไว้ใต้สะโพก ก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงด้วยท่าทางเจ็บปวด
กว่าจะพบตู้โทรศัพท์สาธารณะตามที่แม่ค้าชี้บอกก็เล่นเอาเหงื่อโชก เสื้อนักศึกษาสีขาวบัดนี้เปียกปอนไปกว่าครึ่ง หยาดพิรุณใช้หลังมือปาดเหงื่อก่อนจะดึงประตูออกมาแล้วพาตัวเองเข้าไปยืนในตู้กระจกทรงสี่เหลี่ยม
หญิงสาวพ่นลมออกมาเมื่อพบว่าในกระเป๋าสะพานเหลือเหรียญบาทอยู่เพียงสองเหรียญเท่านั้นเพราะเธอใช้มันซื้อน้ำเพื่อดับกระหายไปก่อนหน้า
ปลายนิ้วเรียวกดตัวเลขบนแป้น ไม่นานเสียงหวานที่คุ้นเคยจากปลายสายก็ดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ บ้านวรภัทรค่ะ”
“คุณแม่ ฝนเองนะคะ”
“อ้าว ยายฝน อยู่ที่ไหนแล้วล่ะลูก ตาเหมบ่นหาหนูตั้งแต่เช้าแล้วนะ”
“ฝนขอโทษนะคะคุณแม่ที่ทำให้วุ่นวาย ฝากบอกเหมด้วยนะคะว่าฝนจะกลับไป…” ยังไม่ทันพูดจบประโยคก็ถูกขัดด้วยเสียงดังตู๊ดถี่ ๆ เป็นสัญญาณว่าสายได้ถูกตัดไปเสียแล้ว “ให้ทันค่ะ”
หญิงสาวพูดต่อจนจบประโยค สายตาเศร้าจ้องมองกระบอกสีฟ้าอย่างเคือง ๆ ก่อนจะวางมันลงไว้ที่เดิม เพราะตอนนี้มันเป็นแค่โลหะชิ้นหนึ่งที่ไม่สามารถใช้สื่อสารกับคนปลายสายได้อีกต่อไป
หยาดพิรุณเดินคอตกกลับมาในโบราณสถาน ในจังหวะเดียวกับที่ชาวคณะกำลังเคลื่อนขบวนไปที่รถตู้
“หายไปไหนมาน่ะฝน เรากำลังจะกลับกันแล้ว” นารีเพื่อนสาวเพียงคนเดียวที่หยาดพิรุณลากมาเป็นเพื่อนกล่าวอย่างตำหนิ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยกถุงน้ำแดงชูขึ้นมาตรงหน้าก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
นักศึกษาแปดชีวิตพร้อมกับอาจารย์ประจำภาควิชาพากันเดินขึ้นรถตู้ที่มาจอดเทียบเพื่อเดินทางออกจากโบราณสถาน
หยาดพิรุณที่ขึ้นรถเป็นคนสุดท้ายค่อย ๆ ดึงประตูปิดแล้วเอนหลังพิงเบาะรถ ใบหน้าสวยผินมองออกไปนอกกระจก รถตู้กำลังเคลื่อนผ่านไร่อ้อยสีเขียวอมเหลืองเหี่ยวแห้งเพราะความแห้งแล้ง แสงแดดแรงจากภายนอกทำให้หยาดพิรุณต้องหรี่ตา มือเรียวกำลังดึงผ้าม่านเพื่อปิดกันแดด แต่สายตากลับปะทะเข้ากับบางอย่าง
ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อสมองประมวลผลได้ว่าคืออะไร
“แม่ค้าขายน้ำคนนั้นนี่ พี่หยุด ๆ ๆ” เธอตะโกนลั่นจนคนขับรถตู้ต้องรีบเหยียบเบรคกะทันหัน หยาดพิรุณกระชากประตูเปิดออกกว้างทั้ง ๆ ที่ล้อรถยังจอดไม่สนิท
ร่างบางที่ใหญ่เฉพาะช่วงท้องกำลังทรุดอยู่ข้างป่าอ้อยพร้อมกับกระเป๋าผ้าใบใหญ่ สีหน้าของเธอแสดงความเจ็บปวดและทรมาน
“พี่ พี่เป็นอะไรคะ” หยาดพิรุณพุ่งตัวเข้าไปประคองเจ้าของร่างที่กำลังนั่งร้องโอดโอยอยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้าร้อนระอุ
“พี่เจ็บท้องจะคลอด พี่ต้องรีบไปโรงพยาบาล”
“ฮะ!!!” เสียงประสานจากนักศึกษาทั้งรถที่วิ่งกรูกันตามลงมาทำให้หยาดพิรุณได้สติรีบหันขวับมาสั่งอย่างไม่สนว่าใครเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง
“ยืนงงอะไรอยู่ล่ะคะ รีบเข้ามาช่วยเร็ว เราต้องรีบพาพี่เขาไปโรงพยาบาล”
“ทำใจดี ๆ ไว้นะคะ” หยาดพิรุณบีบมือซีดของสาวท้องแก่ไว้อย่างให้กำลังใจ คุณแม่เข้มแข็งและสู้มากจนเธอนับถือ ใจคอจะเดินไปคลอดที่โรงพยาบาลคนเดียวหรือยังไง แล้วสามีของเธอหายไปไหน
หญิงสาวไม่กล้าถามและไม่เสียเวลาคิดนาน เมื่อพาคนท้องขึ้นมาบนรถได้ก็ออกปากเร่งคนขับ
“ไปเร็ว ๆ เลยค่ะพี่”
สีหน้าเจ็บปวดของคนใกล้คลอดบ่งบอกว่าเธออดทนจนใกล้ถึงขีดสุด น้ำใส ๆ เริ่มไหลลงตามปลีน่อง พร้อม ๆ กับน้ำตาที่กำลังหยดริน
หยาดพิรุณรู้สึกว่าลำคอตีบตันจนคำปลอบโยนไม่สามารถหลุดรอดออกมาได้ มีเพียงฝ่ามือเรียวที่พยายามบีบนวดส่งกำลังใจให้และปลอบโยน
เส้นทางแคบ ๆ จากไร่อ้อยสู่ถนนชนบทไม่มีรถสวนมามากนักจึงทำให้คนขับเร่งความเร็วได้ แต่นั่นก็ยังไม่เป็นที่พอใจ นักศึกษาสาวจึงร้องขอเสียงสั่น
“เร็วกว่านี้ได้ไหมพี่ พี่เขาจะไม่ไหวแล้ว” แรงบีบที่มือของเธอบ่งบอกว่าคนข้าง ๆ กำลังเจ็บปวดเพียงใด เธอรู้ว่ามันมากกว่าความเจ็บที่มือของเธอตอนนี้เป็นร้อยเท่าพันเท่า
คนขับเหลือบมองกระจกมองหลังด้วยแววตากังวล ฝ่าเท้ากดลงบนคันเร่งลึกลงไปอีก รถตู้สีขาวจึงทะยานอยู่บนถนนเส้นเล็กด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด แต่ในนาทีชีวิตแบบนี้ใครจะสนกัน
ทว่าหากรถตู้พุ่งตัวเร็วกว่านี้อีกสักนิดก็คงจะพ้นสี่แยกข้างหน้าไปเร็วกว่านี้อีกสักวินาที แต่เพราะรถตู้กลางเก่ากลางใหม่ของมหาวิทยาลัยของรัฐทำความเร็วได้จำกัดมันจึงไปได้แค่นั้นจริง ๆ ยังไม่ทันจะพ้นสี่แยกตรงโค้งอันตราย ก็ปรากฎรถบรรทุกคันใหญ่ที่บรรทุกลำอ้อยมาเต็มคัน มันพุ่งทะยานชนท้ายรถตู้เพียงแค่คืบเดียว แต่ความเร็วและแรงทำให้รถตู้สีขาวหมุนคว้างทะยานขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะกระแทกลงบนป่าอ้อยที่เหลือแต่ตอ
“กรี๊ด!”
โครม!…