ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 539 งานแต่งงาน
ตอนที่ 539 งานแต่งงาน
หนึ่งวันก่อนลั่วเซิงออกเรือน เหล่าพี่สาวน้องสาวมามอบของขวัญให้
ลั่วอิงมอบพัดปักสองด้าม ลั่วฉิงมอบผลงานภาพวาดคำที่มีความหมายเป็นมงคล ลั่วเย่ว์มอบถุงหอมกับผ้าเช็ดหน้างดงาม
สิ่งที่ดูคล้ายจะไม่มีค่าล้วนเป็นสิ่งที่สามพี่น้องทำเองกับมือ แสดงถึงน้ำใจได้ดีที่สุด อย่างไรเสียด้วยความร่ำรวยและมีเกียรติของจวนลั่ว ของที่สามารถใช้เงินซื้อมาได้ล้วนไม่ถึงขั้นหายาก
“พี่สาม พรุ่งนี้ท่านจะออกเรือนแล้ว รู้สึกตื่นเต้นหรือไม่” ลั่วเย่ว์ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
พี่สาวสามคน ตอนนี้มีเพียงพี่สามที่จะแต่งงานจึงแปลกใหม่มาก
ลั่วเซิงยิ้ม “ไม่ตื่นเต้น”
การออกเรือนในฐานะท่านหญิงชิงหยางครั้งนั้น นางก็ไม่เคยมีความรู้สึกตื่นเต้น
เพียงแต่ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกัน
สำหรับนางแล้ว ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อเว่ยเชียงนั้นเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก แต่กลับไร้ความรู้สึกระหว่างบุรุษและสตรี แต่งงานไปก็เพื่อที่จะเริ่มต้นการใช้ชีวิตใหม่ตามขั้นตอนเท่านั้นเอง
ไม่มีความถวิลหาและรอคอย จะเอาความตื่นเต้นมาจากที่ใด
แต่ตอนนี้นางไม่ตื่นเต้น น่าจะเป็นเพราะว่า บุรุษที่กำลังจะกลายเป็นสามีนางผู้นั้น สามารถทำให้นางไว้วางใจในตัวคนผู้หนึ่งได้ในที่สุด
ตั้งแต่รู้จักกันจนถึงตอนนี้ เขามักจะยืนอยู่ฝั่งนางในช่วงเวลาสำคัญที่สุด
หรือเงียบๆ เฉกเช่นคืนวันที่นางยิงธนูสังหารผิงหนานอ๋อง
หรือเปิดเผย ตรงไปตรงมา เฉกเช่นตอนที่เขาบอกกับนางว่าไม่ได้แซ่เว่ยที่เหอหยาง
ลั่วเย่ว์ได้ยินลั่วเซิงเอ่ยเช่นนี้ก็ยิ้มสดใส “ข้ายังนึกว่าเจ้าสาวล้วนตื่นเต้นกันหมดเสียอีก”
ลั่วอิงโค้งริมฝีปาก “น้องสี่อยากรู้ขนาดนี้ รอในภายภาคหน้าถึงคราวเจ้าออกเรือนก็รู้แล้ว”
ลั่วเย่ว์รีบโบกมือไปมา “ข้าไม่รีบร้อน แต่ว่าวันนั้นข้าบังเอิญได้ยินท่านพ่อกล่าวอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า รอพี่สามออกเรือนไปแล้วก็จะให้พี่ใหญ่โยนลูกแพรปักเลือกคู่”
ลั่วอิงมีสีหน้าแข็งทื่อ “น้องสี่อย่าล้อเล่น”
“พี่ใหญ่ไม่รู้หรือ” ลั่วเย่ว์ตื่นตะลึง
ลั่วอิงส่ายหน้า
ลั่วเย่ว์หลุดหัวเราะ “พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง แม้ว่าจะเป็นการโยนลูกแพรปักเลือกคู่ ท่านพ่อก็จะเลือกคนที่ดีให้ท่าน”
ลั่วอิงมุมปากกระตุก เขินอายจนกลายเป็นโมโห “เอาล่ะ พรุ่งนี้น้องสามก็จะออกเรือนแล้ว พวกเราอย่าไปรบกวนนางเลย”
เมื่อออกจากเรือนเสียนอวิ๋นย่วน ลั่วเย่ว์ก็ยังไม่ลืมเรื่องโยนลูกแพรปัก “พี่ใหญ่ หากท่านรังเกียจว่า การโยนลูกแพรปักหาคู่นั้นดูลวกๆ เกินไป หรือมีคนที่ถูกใจแล้วก็รีบบอกกับท่านพ่อสิ”
“คนที่ถูกใจจากไหนกัน” ลั่วอิงเหลือบมองลั่วเย่ว์แวบหนึ่ง “น้องสี่อย่าพูดเหลวไหล ในเมื่อท่านพ่อมีการเตรียมการแล้วก็ให้ท่านพ่อเป็นผู้ตัดสินใจเถอะ”
“ต้องให้พี่ใหญ่ชอบถึงจะได้สิ”
ลั่วอิงนึกถึงการแต่งงานที่ยกเลิกไปก็ยิ้มเยาะตนเอง “ชอบก็ไม่แน่ว่าจะดีนะ”
สำหรับบุรุษที่เคยเป็นคู่หมั้นผู้นั้น นางจะไม่เคยชอบได้อย่างไร
ทั้งสองคนเดินไปด้านหน้าก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เมื่อหันหน้าไปมองก็เห็นลั่วฉิงยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิม
ลั่วอิงสบตากับลั่วเย่ว์แวบหนึ่ง
ลั่วเย่ว์เร่งฝีเท้าเดินกลับไป คล้องแขนลั่วฉิงเอาไว้
มือข้างนั้นผอมแห้งและเย็นเยียบ ไม่เหมือนมือของเด็กสาวซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด
“พี่รอง ท่านเป็นอะไรไป”
ลั่วฉิงพยายามแย้มรอยยิ้มออกมา “ข้าไม่เป็นไร”
ลั่วอิงถอนหายใจในใจ กุมมืออีกข้างของลั่วฉิงเอาไว้ “น้องรอง เจ้า…คิดถึงผิงลี่หรือ”
ลั่วฉิงนิ่งเงียบ
ลั่วอิงตบมือนางเบาๆ “เจ้าวางใจได้ ช้าเร็วอย่างไร ท่านพ่อก็ต้องหาเขาพบ ถึงตอนนั้นค่อยพามาตรงหน้าเจ้า ให้เจ้าได้ระบายโทสะสักหน่อย”
ลั่วฉิงม่านตาสั่นไหวเล็กน้อย หยดน้ำตาร่วงหล่นจากหางตา
“พี่รอง พี่ใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง เดี๋ยวรอท่านระบายโทสะเสร็จก็หายแล้ว เสียใจเพื่อคนเช่นนั้นนั้นไม่คุ้มค่า…”
“เขาตายแล้ว” ลั่วฉิงเอ่ยขัดคำปลอบโยนของลั่วเย่ว์
ลั่วเย่ว์ตะลึง อดมองไปทางลั่วอิงแวบหนึ่งไม่ได้
ลั่วอิงกระวนกระวายขึ้นมา ถามเรียบๆ ว่า “น้องรอง เจ้าอย่าคิดเหลวไหล”
ลั่วฉิงฝืนโค้งมุมปาก ยิ้มอ้างว้าง “ความจริงเขาตายไปนานแล้วถูกต้องหรือไม่”
ลั่วอิงสบตากับลั่วเย่ว์แวบหนึ่งแล้วถามลั่วฉิง “น้องรองไปได้ยินเรื่องซุบซิบนี้มาจากที่ใด”
ลั่วฉิงมองทั้งสองคน เอ่ยได้ไม่ชัดเจนว่าในนัยน์ตาคือความเศร้าโศกหรือไร้ชีวิตชีวา “พี่ใหญ่ น้องสี่ ข้าก็ไม่ใช่คนโง่…”
รู้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
น่าจะเป็นตอนที่ข้ารับใช้ในจวนเห็นนางหมองหม่นจึงเผยความเห็นอกเห็นใจออกมา ตอนที่อี๋เหนียงมองนางแล้วอึกๆ อักๆ อยากจะพูด แต่ก็ไม่พูดออกมา ตอนที่เหล่าพี่สาวน้องสาวระมัดระวัง…
ลั่วฉิงเม้มปากแน่น ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกขมขื่น
ความจริงล้วนไม่ใช่ เป็นตอนที่นางใจเย็นลงอย่างแท้จริง หลังได้สติกลับคืนมาก็เดาได้แล้ว
“น้องรอง (พี่รอง)…”
ลั่วฉิงยกมือปาดน้ำตาที่หางตาทิ้งไป “พี่ใหญ่ น้องสี่ ข้าแค่อยากได้ยินคำตอบเดียว ไม่อยากเดาส่งเดชอีกแล้ว”
ไม่ว่าสติสัมปชัญญะจะมั่นใจอย่างไร แต่ไม่มีคำตอบก็เป็นแค่การคาดเดา
มีการคาดเดาก็จะปล่อยวางไม่ได้
ลั่วอิงนิ่งเงียบไปเนิ่นนานแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“เป็นเรื่องเมื่อใดหรือ”
“ตั้งแต่ตอนนั้นก็ตายแล้ว…”
“น้องรอง…”
ลั่วฉิงพยายามยกมุมปาก “ไม่เป็นไร ความจริงข้าเดาได้ตั้งนานแล้ว ข้าเพียงแค่…ไม่ยอมแพ้”
ไม่ยอมแพ้ที่เหตุใดถึงไม่มีโอกาสถามกระทั่งประโยคหนึ่ง
ลั่วเย่ว์เป็นคนตรงไปตรงมา เห็นลั่วฉิงดูรับความสะเทือนใจได้แล้วก็เอ่ยว่า “พี่รอง ท่านนึกถึงคนที่พวกเราทิ้งไว้ยื้อเวลาที่จวนสิ ตอนพวกเราหนีในคืนนั้น อี๋เหนียงแปดที่รู้สึกว่าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนจึงเลือกที่จะฆ่าตัวตาย เด็กสาวบริสุทธิ์ที่ต้องเสียชีวิตในเมืองหลวง ยังมีน้องชายที่ถูกสังหารล้างตระกูล…เรื่องที่ทำให้ผู้คนไม่ยินยอมนั้นมีเยอะเกินไปแล้ว ข้าคิดว่าการเสียใจเพื่อคนสารเลวนั้นไม่คุ้มค่า”
ทุกคำของลั่วเย่ว์เหมือนค้อนเล็กๆ ทุบลงที่หัวใจของลั่วฉิง
ใช่แล้ว เทียบกับคนเหล่านั้น ความไม่ยินยอมเล็กน้อยนี้ของนางจะนับเป็นอะไรได้
ถึงตอนนี้นางจำเป็นต้องยอมรับว่า นางไม่เพียงเข้าใจทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่งสู้พี่ใหญ่ไม่ได้ ทั้งยังเป็นอิสระสู้น้องสี่ไม่ได้ด้วย
“น้องรอง พรุ่งนี้น้องสามจะออกเรือนแล้ว นี่คือเรื่องมงคลอันยิ่งใหญ่ในจวนพวกเรา สำหรับเรื่องทุกข์ใจพวกนั้น…ก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ”
เนิ่นนาน ลั่วฉิงจึงพยักหน้าเบาๆ “อืม”
พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน นายหญิงรองตระกูลเซิ่งได้รับการฝากฝังจากฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งกับแม่ทัพใหญ่ลั่วจึงกัดฟันมาที่เรือนเสียนอวิ๋นย่วน
ลั่วเซิงรับรองนายหญิงรองเซิ่งดื่มชาอยู่ห้องข้างนอก
นายหญิงรองยิ้มกระอักกระอ่วน “เซิงเอ๋อร์เอ๋ย พวกเราเข้าไปคุยกันในห้องเถอะ”
รอจนเข้าไปในห้องแล้วก็ไล่บรรดาสาวใช้ออกไป นายหญิงรองมองลั่วเซิงแล้วเริ่มกังวล
นางไม่ได้สนิทสนมกับหลานสาวคนนี้ขนาดนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากับแม่ทัพใหญ่ลั่วยังจะมอบภารกิจสำคัญขนาดนี้ให้นางอีก ช่างเป็นการไล่เป็ดให้ขึ้นคอน[1] จริงๆ
“ท่านน้ามีเรื่องอะไรหรือ” รออยู่นานก็ไม่เห็นนายหญิงรองจะเอ่ยปาก ลั่วเซิงจึงถามยิ้มๆ
แม้ว่าตอนอยู่ที่จินซาจะมีเรื่องไม่ลงรอยกันเท่าใดนัก แต่คิดถึงการกระทำของคุณหนูลั่วในคราวนั้น ก็ไม่แปลกใจเช่นกัน
คน สุดท้ายย่อมต้องพึ่งพากันและกัน
“อา เซิงเอ๋อร์เอ๋ย พรุ่งนี้เจ้าจะออกเรือนแล้ว ตื่นเต้นไหม”
ลั่วเซิงเงียบ
ที่แท้คำถามนี้ก็จำเป็นด้วยหรือ
“ไม่ตื่นเต้นเจ้าค่ะ”
“ไม่ตื่นเต้นก็ดีแล้ว…” นายหญิงรองนึกถึงวาจาที่เตรียมเอาไว้เหล่านั้น เมื่อต้องเผชิญกับเด็กสาวสีหน้าเย็นชาก็เอ่ยไม่ออกจริงๆ นางจึงยัดของในห่อผ้าสีแดงใส่มืออีกฝ่ายแล้วรีบร้อนเอ่ยคำลา
ลั่วเซิงเปิดผ้าแดง มองสมุดเล่มเล็กที่นักวาดวาดได้งดงามเสมือนจริงแล้วก็แก้มแดงระเรื่อ
ดูเหมือนว่านาง…จะเริ่มตื่นเต้นแล้ว
นายหญิงรองเซิ่งหนีออกจากเรือนเสียนอวิ๋นย่วน หลังจากใจเย็นลงแล้วก็พลันเสียใจในภายหลังขึ้นมา
ทำไมนางหนีออกมาโดยไม่เอ่ยอะไรเลยกันนะ ตั้งแต่เล็ก หลานสาวก็ไม่มีมารดา ถึงตอนออกเรือนก็ยังไม่มีผู้อาวุโสที่เป็นสตรีชี้แนะอย่างจริงจังสักคน เอ่ยขึ้นมาก็น่าสงสารแปลกๆ
แต่ตอนนี้กลับไปก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน
ว้าวุ่นใจอยู่ครู่หนึ่ง นายหญิงรองเซิ่งก็ไปรายงานผลภารกิจกับฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งด้วยอารมณ์โทษตนเอง
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าแจ่มใส
ทุกบ้านเรือนในเมืองหลวงออกจากตรอกซอกซอยที่พวกเขาอาศัย เพื่อมาร่วมเฉลิมฉลอง ทั้งหมดล้วนแห่ไปดูคุณหนูลั่วออกเรือนที่ถนน
เกี้ยวแต่งงานหลังใหญ่หยุดอยู่หน้าประตูจวนลั่ว ไคหยางอ๋องในชุดแดงทั้งตัวมารับคนด้วยตนเอง
ม้าพุทราแดงสง่าผ่าเผย เจ้าบ่าวหล่อเหลาไม่เป็นรองใคร ขบวนรับตัวเจ้าสาวที่มองไม่เห็นปลายขบวน
ขบวนค่อยๆ เดินอ้อมทั้งเมือง ผู้คนนับไม่ถ้วนวิ่งไล่ตามขบวน เงินมงคลที่โปรยทั่วฟ้าดึงดูดเสียงร้องอย่างดีอกดีใจของเด็กๆ เป็นระลอก
“คิดไม่ถึงจริงๆ เลยว่า ไคหยางอ๋องถึงกับจะแต่งงานกับคุณหนูลั่ว” ท่ามกลางฝูงชน มีคนไม่น้อยที่ทอดถอนใจเช่นนี้
“ใช่แล้ว คราแรกที่คุณหนูลั่วดึงผ้าคาดเอวของไคหยางอ๋องก็ถูกส่งตัวจากไป นึกว่าจะสร้างความแค้นเคืองให้กับแม่ทัพใหญ่ลั่ว ใครจะไปคิดว่าเป็นการหาบุตรเขยให้แม่ทัพใหญ่ลั่วคนหนึ่ง”
มองบุรุษหล่อเหลาสะดุดตาบนอาชาสูงใหญ่ก็มีคนคิดไตร่ตรอง “พวกเจ้ายังจำได้สินะ ก่อนที่จะพบกับคุณหนูลั่ว ไคหยางอ๋องไม่ยินยอมเข้าใกล้สตรีเลย ตอนนี้ข้าคิดว่า ไคหยางอ๋องอาจจะบุรุษประเภทถือครองพรหมจรรย์ ถูกคุณหนูลั่วดึงผ้าคาดเอวจึงยึดมั่นในตัวนาง…”
เหล่าคุณหนูน้อยที่ได้ยินวาจานี้ก็อดจมเข้าสู่การตรึกตรองไม่ได้ เป็นเช่นนี้หรือ
หลังงานแต่งงานของคุณหนูลั่ว เมืองหลวงพลันเกิดกระแสการดึงผ้าคาดเอวในยามที่คุณหนูน้อยพบเจอบุรุษหล่อเหลาระยะหนึ่ง นี่คือเรื่องราวในภายหลังแล้ว
ข้างต้นหลิวซึ่งห่างไกลจากกลุ่มคนแออัด มีบุรษรูปโฉมโดดเด่นสองคนยืนอยู่
“พี่ใหญ่” หลินซูเอ่ยเรียก
หลินเถิงหันหน้ามามองเขา
“ท่านไม่ได้บอกว่ามีคดีต้องทำ ดังนั้นจึงบอกปัดการตามท่านปู่ไปร่ำสุรามงคลที่จวนอ๋องหรอกหรือ”
หลินเถิงเอ่ยเรียบๆ “ทำงานเหนื่อยแล้วจึงออกมาดูเรื่องสนุกน่ะ”
หลินซูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็หักกิ่งหลิวลงมาหนึ่งกิ่งแล้วยื่นไป
หลินเถิงขมวดคิ้ว
หลินซูมองพี่ชายด้วยความทุกข์ใจอยู่บ้าง “พี่ใหญ่ ท่านชอบคุณหนูลั่วสินะ…เหตุใดไม่ลองดูแต่แรกล่ะ”
ยามบุปผาเบ่งบานให้รีบเด็ดเอา อย่ารอให้เหี่ยวเฉาจนต้องทิ้งกิ่งไป[2] หลักการนี้พี่ชายไม่เข้าใจหรือ
หลินเถิงสีหน้าเคร่งขรึม กวาดตามองญาติผู้น้องแวบหนึ่ง “อย่าพูดเหลวไหล คุณหนูลั่วกับไคหยางอ๋องเป็นคู่สร้างคู่สมกัน”
เขาหมุนตัวก้าวเท้ายาวเดินไปยังทิศทางศาลาว่าการกรมยุติธรรม สุดท้ายก็ไม่รับกิ่งหลิวที่หลินซูยื่นมากิ่งนั้น
หลินซูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง โยนกิ่งหลิวลงบนพื้น ถอนหายใจแผ่วเบาจนมิอาจได้ยิน
งานเลี้ยงยิ่งใหญ่ เชื้อเชิญแขกผู้มีเกียรติมาเข้าร่วมมากมาย คารวะสุราขอบคุณ รอจนทำทุกอย่างพอเป็นพิธีเรียบร้อยก็ดึกมากแล้ว
เว่ยหานเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้องหอ มองเจ้าสาวของเขาที่นั่งรออยู่ข้างตั่งก็อดโค้งมุมปากขึ้นไม่ได้
“คุณหนูลั่ว” เขาเอ่ยเรียก
เปลวเทียนของเทียนแต่งงานสั่นไหว เคลือบสีแดงอ่อนและเข้มในห้องหอให้ดูอ่อนโยนชั้นหนึ่ง
บรรยากาศเช่นนี้ ทำให้เสียงเรียก “คุณหนูลั่ว” เรียบง่ายและธรรมดาคล้ายจะอ่อนโยนและงดงามเพิ่มขึ้นมาอยู่บ้าง
ลั่วเซิงเม้มปาก “ตอนนี้ท่านอ๋องยังจะเรียกข้าว่าคุณหนูลั่วอยู่อีกหรือ”
อภัยให้ความเห็นแก่ตัวเล็กๆ น้อยๆ ของนาง หลังจากกลายเป็นภรรยาของเขาก็ไม่อยากได้ยินเขาเรียกนางว่าคุณหนูลั่วอีก
“เช่นนั้น…เรียกเจ้าว่าเซิงเอ๋อร์ดีไหม” เว่ยหานหยั่งเชิงถาม ใบหูแดงเงียบๆ
ลั่วเซิงส่ายหน้า “พวกท่านพ่อล้วนเรียกข้าว่าเซิงเอ๋อร์ ท่านอ๋องเรียกข้าเช่นนี้ ข้าอดคิดถึงผู้อาวุโสไม่ได้”
เว่ยหานขมวดคิ้ว
ผู้อาวุโสหรือ แบบนี้ไม่ได้
“เช่นนั้นเรียกเจ้าว่าอาเซิงได้ไหม”
ลั่วเซิงทำให้คนตรงหน้าลำบากใจอีกไม่ลงจึงเอ่ยเสียงเบา “ข้าแซ่ลั่ว ท่านอ๋องเรียกข้าว่าลั่วเอ๋อร์เถอะ”
ลั่วเอ๋อร์น่ะ เป็นชื่อเล่นของนาง
เขาเรียกนางเช่นนี้ นางก็รู้สึกว่าท่านหญิงชิงหยางจะต้องมีความสุขเช่นกัน
เว่ยหานยื่นมือไปโอบกอดนางเอาไว้ “ได้ หลังจากนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่าลั่วเอ๋อร์”
อ้อมกอดที่มาเยือนกะทันหันทำให้ลั่วเซิงอดแก้มแดงระเรื่อไม่ได้
“ลั่วที่มาจากคำว่าลั่วเสิน ดีไหม” เขาถาม
ลั่วเซิงมองบุรุษที่เอ่ยวาจาอ่อนโยนเช่นนี้ออกมาแล้ว หัวใจก็เต้นระรัว
ลั่วที่มาจากคำว่าลั่วเสินหรือ…
นางเหม่อมองเขา
เว่ยหานกระชับอ้อมแขนกอดเด็กสาวแน่นกว่าเดิม “ข้ารู้สึกว่าลั่วของคำว่าลั่วเสินนั้นน่าฟังที่สุด”
ลั่วเซิงหลุบตา นัยน์ตาชื้นเล็กน้อย
บางที เขาอาจจะเคยคิดถึงความเชื่อมโยงของนางกับจวนเจิ้นหนานอ๋อง เคยคิดเรื่องที่คุณหนูลั่วเปลี่ยนไปเป็นคนละคน…
แต่เขาไม่เคยบีบบังคับถามนาง
“ท่านอ๋อง…”
เว่ยหานหัวเราะแผ่วเบา ตัดบทวาจาของนาง “ตอนนี้ลั่วเอ๋อร์ยังจะเรียกข้าว่าท่านอ๋องอีกหรือ”
“อาหัน?”
เว่ยหานนิ่งเงียบแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าจำได้รางๆ ว่าท่านพ่อท่านแม่เรียกข้าว่าชีหลาง ตอนที่ไม่มีใคร เรียกข้าว่าพี่เจ็ดเถอะ”
ลั่วเซิงพยักหน้าเล็กน้อย ครุ่นคิดพลางถามว่า “ท่านยังจำได้ไหมว่าแซ่อะไร”
“จำไม่ได้แล้ว” เผชิญกับสายตาสงสารของคนในอ้อมแขน เว่ยหานก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก พวกเราครองรักกันจนแก่เฒ่าถึงจะสำคัญที่สุด”
เขาจำไม่ได้แล้วว่ามาจากที่ใด โชคดีที่ยังรู้ปลายทาง
เขากับลั่วเอ๋อร์จะดูแลกันและกันจนแก่เฒ่า ลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง
ในตอนที่เขาแก่มากแล้ว ยังสามารถกินบะหมี่เครื่องผัดที่ลั่วเอ๋อร์ทำได้
เปลวเทียนพลิ้วไหว ทันใดนั้นเสียงระเบิดจากเปลวเทียนก็ดังขึ้น ทำให้สองคนที่กอดกันอยู่ตกใจได้สติ
“ลั่วเอ๋อร์”
“หืม?”
เขาไม่ได้เอ่ยอันใด แต่ก้มหน้าจุมพิตหน้าผากนาง
มุ้งโปร่งบางสีแดงร่วงลงมาเงียบเชียบ
ถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่สำหรับชีหลางกับลั่วเอ๋อร์ ฤดูใบไม้ผลิของพวกเขาเพิ่งจะมาเยือน
[1] ไล่เป็ดให้ขึ้นคอน หมายถึง บังคับให้ทำ ฝืนทำบางอย่าง)
[2] ยามบุปผาเบ่งบานให้รีบเด็ดเอา อย่ารอให้เหี่ยวเฉาจนต้องทิ้งกิ่งไป เป็นการเปรียบเปรย เมื่อความรักมาเยือน ต้องกล้าที่จะไขว่คว้าไล่ตาม อย่าปล่อยให้โอกาสผ่านไป เพราะอาจจะไม่มีโอกาสนั้นอีก