ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 483 พระทัยจักรพรรดิ
ตอนที่ 483 พระทัยจักรพรรดิ
จักรพรรดิหย่งอันยกพระหัตถ์ขึ้น ขันทีที่เตรียมจะกรอกสุราให้นางสนมทั้งสี่ถอยออกไป
“พูดมา” จักรพรรดิหย่งอันทรงหลุบพระเนตรลงมองหวังเหม่ยเหรินที่อยู่ในสภาพทุลักทุเล
เขาจำได้ว่าหวังเหม่ยเหรินคนนี้สนิมสนมกับอันผิน
หวังเหม่ยเหรินกัดฟัน ชี้ไปที่อันผินและพูดว่า “บนหอเซวียนเต๋อ ตอนที่ทุกคนกำลังดูดอกไม้ไฟ หม่อมฉันได้ยินเสียงบางอย่างเหมือนกับว่าจะตกลงมาจากพี่อันผินเพคะ…”
“หวังเหม่ยเหริน!” อันผินหน้าซีดกว่าเดิม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน!”
หวังเหม่ยเหรินหลบสายตา ไม่กล้าสบตาอันผิน
ในฐานะที่เป็นพี่น้องที่สนิทสนมกัน นางย่อมไม่อยากทรยศอันผิน แต่ไม่มีทางเลือก นางอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
นางเพิ่งอายุสิบหก!
ขนตาของหวังเหม่ยเหรินสั่นเล็กน้อย นางข่มความรู้สึกผิดเล็กน้อยนั้นไว้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้พูดเพ้อเจ้อ หม่อมฉันได้ยินจริงๆ ครานั้นยังรู้สึกแปลกๆ เพคะ…”
จักรพรรดิหย่งอันตรัสแทรกด้วยสุรเสียงเยือกเย็น “ในเมื่อรู้สึกแปลก เหตุใดจึงไม่พูดตอนที่เกิดเรื่อง เมื่อครู่นี้เหตุใดจึงไม่พูด”
หวังเหม่ยเหรินหมอบลงกับพื้น พูดเสียงสั่นว่า “ตอนที่เกิดเรื่องหม่อมฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นเห็นองครักษ์จับงูตัวนั้นและเลือดที่ไหลออกมาจากกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงแล้วหม่อมฉันก็ตกใจ คิดไม่ถึงเรื่องนี้เลยเพคะ”
ขณะที่นางพูดก็เหลือบมองอันผินอย่างรวดเร็ว พูดเสียงเบาว่า “เมื่อครู่นี้… หม่อมฉันก็ไม่กล้าพูดซี้ซั้ว ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็ไม่ได้เห็นกับตา แค่ได้ยินเสียงเล็กน้อยเท่านั้น หากพี่อันผินถูกปรักปรำด้วยโทษร้ายแรงเช่นนี้…”
“นังสารเลว เก็บใบหน้าน่าอาเจียนของเจ้านั่นซะ ข้าอุตส่าห์เห็นเจ้าเป็นน้องรัก ช่างมีตาหามีแววไม่จริงๆ!” อันผินโมโหด่ากราด
จักรพรรดิหย่งอันไหนเลยจะทนการทะเลาะระหว่างสนมน้อยได้ พระองค์ตรัสด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “อันผิน บอกจุดประสงค์ของเจ้ามาเถิด”
อันผินไม่มีเวลาด่าหวังเหม่ยเหรินอีก นางเอ่ยค้านด้วยใบหน้าซีดขาวว่า “หม่อมฉันไม่ได้ทำร้ายกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง! หม่อมฉันก็เป็นแค่สนมตัวน้อยๆ คนหนึ่ง เพิ่งเข้ามาในวังได้ไม่ถึงสามเดือน ต่างจากกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงราวฟ้ากับดิน แม้จะทำร้ายกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงไปก็ไม่ได้ประโยชน์อันใดเพคะ!”
“ใช่หรือ” จักรพรรดิหย่งตรัสด้วยสุรเสียงราบเรียบ เยือกเย็นราวกับสายน้ำ “เจ้าคือผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในบรรดาผู้เข้ามาใหม่ ทั้งยังเป็นชนรุ่นหลังของอดีตฮองเฮา หากกุ้ยเฟยเป็นอะไรไปจริงๆ เจ้าจะไม่ได้ประโยชน์จริงๆ หรือ”
“ฝ่าบาท!” อันผินมองจักรพรรดิหย่งอัน มิอาจจินตนาการได้เลยว่าคำพูดไร้ความปรานีเช่นนี้จะหลุดออกมาจากปากของพระองค์อย่างง่ายดาย
การปรนนิบัติในค่ำคืนเหล่านั้น ที่แท้แล้วไม่มีความหมายอะไรเลยหรือ
อันผินหัวใจเยือกเย็นลง นางโขกหน้าผากลงบนพื้นให้จักรพรรดิหย่งอัน
นางโขกลงไปด้วยความแรง เมื่อหน้าผากสัมผัสกับกระเบื้องก็เกิดเสียงดังตุบ
“ตั้งแต่ที่หม่อมฉันเข้าวัง อย่างมากที่สุดก็ทำได้แค่เดินเล่นในสวนดอกไม้ แม้แต่นางกำนัลข้างกายก็เพิ่งใช้ได้คล่อง แม้หม่อมฉันจะมีเจตนาร้ายจริงๆ แล้วจะมีความสามารถที่ไหนไปจับงูตัวหนึ่งมาในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้เพคะ ฝ่าบาททรงโปรดตรวจสอบให้ถี่ถ้วนด้วยเพคะ!”
มองดูอันผินที่หน้าผากแดง จักรพรรดิหย่งอันไม่แยแส ตรัสเย็นชาว่า “บางทีอาจจะมีคนร่วมมือกับเจ้าก็ได้”
ขณะที่พระองค์ตรัส สายพระเนตรที่เยือกเย็นกวาดผ่านนางสนมที่เหลือทีละคน สุดท้ายหยุดอยู่ที่หวังเหม่ยเหริน
หวังเหม่ยเหรินกลัวความโหดเหี้ยมของจักรพรรดิจนขวัญกระเจิงหมดแล้ว ภายใต้สายตาที่ไร้ซึ่งอุณหภูมิใดนี้ นางโพล่งพูดขึ้นว่า “คือองค์หญิงเพคะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ โจวซานก็เกือบจะสะดุดล้ม
เหม่ยเหรินโง่เขลาคนนี้ช่างกล้าพูดทุกอย่างเสียจริงๆ!
โจวซานฝืนตัวเองไม่ให้เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เขาลอบเหลือบมองสีพระพักตร์จักรพรรดิหย่งอัน
จักรพรรดิหย่งอันดูแล้วกลับสงบนิ่งผิดปกติ “โอ้ เจ้าหมายถึงฉางเล่อหรือ”
หวังเหม่ยเหรินเพิ่งตั้งสติได้ว่าตนเองพูดอะไรไป ปากที่สั่นของนางพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออก
“เราไม่มีความอดทนมากมายเช่นนั้นนะ”
หวังเหม่ยเหรินสะดุ้ง กัดฟันพูดว่า “ตอนที่หม่อมฉันขึ้นไปบนหอ เห็นองค์หญิงเดินผ่านพี่อันผิน หากองค์หญิงเป็นผู้นำงูเข้ามา อาศัยโอกาสครานั้นก็เพียงพอที่จะยื่นให้พี่อันผินแล้วเพคะ…”
“นังสารเลว ข้าทำผิดต่อเจ้าตรงไหนกันแน่ เจ้าถึงต้องเอาข้าให้ตาย” อันผินตะคอกถาม
หวังเหม่ยเหรินก้มหน้าไม่ได้ตอบนาง แต่พูดต่อไปว่า “ก่อนหน้านี้พี่อันผินเคยเจอองค์หญิงที่สวนดอกไม้ พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน…”
“ดี ดีมาก” จักรพรรดิหย่งอันตรัสไม่กี่คำออกมาอย่างเย็นชา
เสียงสะอื้นของหวังเหม่ยเหริน เสียงก่นด่าของอันผิน ราวกับเป็นเพียงเสียงร้องของนกกระจอก ไม่อาจส่งผลใดๆ ต่อพระองค์ได้
จักรพรรดิหย่งอันเงียบลงครู่หนึ่งแล้วสั่งโจวซานว่า “เรียกหมอหลวงมาตรวจชีพจรพวกนาง”
ไม่นานหมอหลวงก็เข้ามาอย่างรวดเร็วและตรวจชีพจรให้นางสนมทั้งสี่ทีละคน ก่อนจะเดินมาตรงหน้าจักรพรรดิหย่งอัน
“เป็นอย่างไรบ้าง”
หมอหลวงส่ายศีรษะเบาๆ
เมื่อให้หมอหลวงออกไปแล้ว จักรพรรดิหย่งอันก็บัญชาอย่างสงบว่า “โจวซาน พาตัวอันผินและหวังเหม่ยเหรินไป”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่ถูกจับออกไปนั้น หวังเหม่ยเหรินก็ร้องไห้พลางตะโกนว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรเลยเพคะ หม่อมฉันเป็นผู้บริสุทธิ์ พระองค์โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันเถอะ…”
จักรพรรดิหย่งอันไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ
โจวซานส่งสายตาให้ขันทีคนหนึ่ง
ขันทีคนนั้นรับทราบ ปิดปากหวังเหม่ยเหรินทันที
ในท้องพระโรงเงียบลงในทันใด
จักรพรรดิหย่งอันมองกลับมาที่นางสนมที่เหลืออีกสองคน
ลี่ผินตกใจจนตัวสั่น จางเหม่ยเหรินตกใจจนเสียสติไปแล้ว
จักรพรรดิหย่งอันตรัสด้วยสุรเสียงราบเรียบว่า “พวกเจ้ากลับไปเถอะ ต้องทำอย่างไร เราไม่อยากพูดถึงอีก”
“ขะ ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ลี่ผินและจางเหม่ยเหรินรอดชีวิต พากันเดินประคองออกจากท้องพระโรง
ในท้องพระโรงเงียบลงทันใด
จักรพรรดิหย่งอันมองไปที่วังอวี้หวาเงียบๆ
โจวซานยืนข้างๆ ไม่กล้าพูดอะไร
บัดนี้ฮ่องเต้คงกำลังคิดถึงเรื่องของเซียวกุ้ยเฟยและองค์หญิงฉางเล่อ
ลงโทษนางสนมตัวน้อยๆ ไปสองคนแล้ว แต่องค์หญิงฉางเล่อไม่เหมือนกัน
ไม่รู้ว่าคราวนี้ ฮ่องเต้จะลงโทษองค์หญิงฉางเล่ออย่างไร
สุดท้ายจักรพรรดิหย่งอันก็ไม่ได้พูดถึงองค์หญิงฉางเล่อเลยสักคำ เพียงแต่ตรัสขึ้นว่า “ไปวังอวี้หวาถามดูว่ากุ้ยเฟยและองค์หญิงน้อยเป็นอย่างไรแล้ว”
โจวซานรับพระบัญชาและเดินออกจากท้องพระโรง เมื่อถูกลมหนาวพัดผ่าน เขาก็ตื่นในทันที
เสียดายที่เขารับใช้ฮ่องเต้มานานเช่นนี้ เขาช่างโง่เขลาจริงๆ องค์หญิงน้อยที่เซียวกุ้ยเฟยให้กำเนิดก่อนกำหนดจะเลี้ยงรอดหรือไม่ยังไม่รู้แล้วจะเทียบกับองค์หญิงฉางเล่อได้อย่างไร
เรื่องที่องค์หญิงฉางเล่อวางแผนทำร้ายทายาทฮ่องเต้ อย่างน้อยตอนนี้ ฮ่องเต้ก็ทรงไม่เปิดโปงอย่างแน่นอน
วันต่อมา ข่าวอันผินและหวังเหม่ยเหรินทำให้เซียวกุ้ยเฟยต้องคลอดก่อนกำหนดและถูกบังคับให้ฆ่าตัวตายแพร่ออกไป เรื่องที่แพร่ออกไปด้วยยังมีเรื่ององค์หญิงน้อยที่เซียวกุ้ยเฟยให้กำเนิด
ลั่วเซิงทราบข่าวก็เดินไปหาแม่ทัพใหญ่ลั่วที่ห้องหนังสือ
“เซิงเอ๋อร์ถามเรื่องนี้ทำไมหรือ”
เด็กสาวที่สวมชุดกระโปรงสีแดงอ่อนดูหน้าตาใสซื่อ “แค่สงสัยน่ะเจ้าค่ะ ลูกได้ยินแค่ว่าเซียวกุ้ยเฟยถูกสนมน้อยสองคนทำร้าย แต่ไม่รู้ว่าทำร้ายอย่างไร ท่านพ่อก็รู้ว่าลูกเคยพูดคุยกับเซียวกุ้ยเฟยสองสามครา ย่อมต้องใส่ใจบ้าง”
แม่ทัพใหญ่ลั่วเองก็คิดถึงวังอวี้หวาที่ส่งคนไปซื้อไก่ขอทานที่หอสุราทุกเดือน เขาพูดเสียงเบาว่า “เซียวกุ้ยเฟยตกใจงู…”
เมื่อฟังแม่ทัพใหญ่ลั่วเล่าจบ ลั่วเซิงคิดในใจว่า ฤดูกาลที่หนาวเหน็บเช่นนี้ นางสนมตัวน้อยสองคนจะจับงูมีชีวิตได้จากที่ไหนกัน
เกรงว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือขององค์หญิงฉางเล่อ
ยามบ่าย ลั่วเซิงได้รับเทียบเชิญจากจวนองค์หญิง องค์หญิงฉางเล่อชวนนางไปชมโคมไฟ