ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 476 ข่าวร้าย
ตอนที่ 476 ข่าวร้าย
ฟ้าสว่างแล้ว
ข่าวการเสียชีวิตของเหล่าซื่อจื่อแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
เสียงฝีเท้าวุ่นวาย เสียงเคาะประตูรุนแรงและเสียงสุนัขเห่าหอน ไม่รู้ว่ารบกวนผู้คนมากมายเพียงใดจนมิอาจสงบได้ตลอดทั้งคืน
ความโกรธกริ้วของจักรพรรดิหย่งอันราวกับคลื่นพายุที่โหมพัดกะทันหัน ซัดเหล่าขุนนางที่กำลังหวาดกลัว
ทว่าไม่ว่าจักรพรรดิจะทรงพิโรธอย่างไร แม้ทหารองครักษ์ของแต่ละที่ว่าการรวมถึงองค์รักษ์จิ่นหลินจะลาดตระเวนตามท้องถนนเพื่อห้ามเหล่าสามัญชนที่พากันจับกลุ่มซุบซิบ ทว่าข่าวการเสียชีวิตของเหล่าซื่อจื่อยังคงลอยออกจากเมืองหลวงไปยังทุกแห่งหนของต้าโจวราวกับติดปีก
ลั่วเซิงที่ได้ยินข่าวนี้เองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน
ทันทีที่เหล่าซื่อจื่อเสียชีวิตลง ท่านอ๋องเหล่านั้นก็ไร้การผูกมัด มีติ้งตงอ๋องอยู่ด้านหน้า เกรงว่าโลกจะโกลาหลแล้ว
นางเคยเกลียดแค้นจวนผิงหนานอ๋องและยิ่งเกลียดแค้นจักรพรรดิหย่งอันผู้เป็นเพชฌฆาตตัวจริง แต่กลับไม่เคยคิดอยากจะทำให้วิถีทางโลกต้องปั่นป่วน ทำให้ผู้บริสุทธิ์มากมายต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับสงครามเช่นนี้
เด็กสาวที่พิงข้างหน้าต่างลูบกำไลบนข้อมือครั้งแล้วครั้งเล่า
เดิมทีหากอาศัยกำไลข้อมือวงนี้และหาโอกาสเหมาะสมก็เป็นไปได้ที่จะทำให้บุคคลที่อยู่บนบัลลังก์มังกรต้องชดใช้ด้วยการนองเลือดเพียงเล็กน้อย
ตอนนี้เกรงว่าจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ทว่าไม่ว่าอย่างไร สิ่งของที่เกี่ยวข้องกับกำไลต้องหาทางเอาออกมาแล้ว เพียงแต่ว่าต้องไตร่ตรองผู้ที่จะไปทำเรื่องนี้ให้ดีๆ
ต้นอวี้หลันที่อยู่นอกหน้าต่างถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ราวกับว่าดอกอวี้หลันสีขาวกำลังเบ่งบานล่วงหน้า เมื่อนึกถึงบุคคลนั้นที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ ลั่วเซิงก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย
แค่ต่อสู้กับติ้งตงอ๋อง นางเชื่อว่าเขาทำได้ แต่หากทุกฝ่ายตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย เรื่องบางเรื่องก็อยู่เหนือการควบคุมและสถานการณ์ก็มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถควบคุมได้
“คุณหนู…” โค่วเอ๋อร์รายงานข่าวการลอบสังหารเหล่าซื่อจื่อแล้ว เมื่อเห็นลั่วเซิงเงียบก็อดเรียกไม่ได้
ลั่วเซิงหันไปมองนาง
โค่วเอ๋อร์เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว สวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกลงบนตัวนางแล้วพูดว่า “คุณหนู อากาศหนาวเช่นนี้ ท่านยืนที่หน้าต่างแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ หากไม่สบายขึ้นมาจะทำอย่างไร”
คุณหนูได้ยินข่าวเหล่าซื่อจื่อเกิดเรื่อง เหตุใดจึงดูเคร่งเครียดเช่นนี้นะ
ลั่วเซิงเดินกลับไปนั่งลงที่ตั่งคนงาม วางชุดคลุมลงข้างๆ ถามว่า “นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีเรื่องผิดปกติอย่างอื่นหรือไม่”
โค่วเอ๋อร์ส่ายศีรษะ หลังจากนั้นก็ลังเลเล็กน้อย “เรื่องใหญ่มีแค่เรื่องนี้ แต่ว่าเรื่องเล็กน้อยที่เกี่ยวข้องกับหอสุราของเรามีอยู่เรื่องหนึ่ง…”
“เรื่องอะไร”
“ท่านลุงของจูอู่มาแล้วเจ้าค่ะ”
ลั่วเซิงสายตาแปรเปลี่ยน “ท่านลุงของจูอู่หรือ”
โค่วเอ๋อร์คิดว่าลั่วเซิงลืมคนผู้นี้ไปแล้วจึงพูดว่า “ก็คือลุงซิ่งที่มากินอาหารมื้อหนึ่งกับจูอู่เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว ทำเอาจูอู่ต้องเบิกเงินเดือนสิบกว่าปีล่วงหน้าอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“สามวันก่อนไปหาจูอู่ที่หอสุราเจ้าค่ะ…”
ลั่วเซิงขมวดคิ้วมองโค่วเอ๋อร์ “เหตุใดครานั้นไม่ได้มารายงาน”
โค่วเอ๋อร์สับสนกับความเข้มงวดของลั่วเซิง นางอธิบายว่า “ตอนที่ขอทานมารายงานเรื่องเหล่าซื่อจื่อถูกลอบสังหาร บ่าวจึงถามเพิ่มเติม ขอทานจึงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเจ้าค่ะ”
คุณหนูดูแปลกไปจริงๆ ท่านลุงของจูอู่มาหาจูอู่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ต้องมารายงานโดยเฉพาะด้วยหรือ
ลั่วเซิงลุกขึ้น เดินไปข้างหน้าต่างแล้วผลักบานหน้าต่างออก
ลมหนาวพัดเข้ามา ทำให้ความคิดนางกระจ่างชัดกว่าเดิม
สามวันก่อนลุงซิ่งมาหาจูอู่ เมื่อคืนเกิดเรื่องลอบสังหารเหล่าซื่อจื่อ สองเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกันหรือไม่นะ
เมื่อเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น การที่ต้องวิเคราะห์ผู้อยู่เบื้องหลังของทุกฝ่าย ต้องดูว่าใครได้ประโยชน์และใครเสียประโยชน์ก็จะกระจ่าง
เหล่าซื่อจื่อเสียชีวิต คือสิ่งที่จักรพรรดิหย่งอันไม่อยากเห็นมากที่สุด อย่างน้อยในตอนนี้สำหรับเขาแล้วการมีเหล่าซื่อจื่ออยู่ในมือก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มผลประโยชน์แก่ตัวเอง
เช่นนั้นการที่เหล่าซื่อจื่อเกิดเรื่อง ใครจะได้ประโยชน์เล่า
ติ้งตงอ๋องคือหนึ่งในนั้น
ปืนยิงนกจ่าฝูง[1] ราชสำนักมุ่งความสนใจไปที่ติ้งตงอ๋องทั้งหมด สำหรับติ้งตงอ๋องแล้วถือเป็นความกดดันอย่างมาก ทว่าเรื่องจะพลิกผันเมื่อเหล่าอ๋องเข้าร่วมสงคราม
เช่นนั้นแล้วองครักษ์จูเชวี่ยเล่า
ลั่วเซิงคิดถึงองครักษ์ชั้นยอดที่เสด็จพ่อของนางมีไว้เป็นไพ่ตาย จู่ๆ ก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาเล็กน้อย
หากองครักษ์จูเชวี่ยต้องการแก้แค้นให้จวนเจิ้นหนานอ๋อง การลอบสังหารเหล่าซื่อจื่อเพื่อกวนน้ำให้ขุ่นถือว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด บางทีการนั่งบนภูดูเสือกัดกัน นางก็จะได้เห็นจักรพรรดิหย่งอันสูญเสียแผ่นดิน
ลั่วเซิงมองไปยังนอกหน้าต่างที่ขาวโพลนแล้วถอนหายใจเบาๆ
การแก้แค้นเช่นนี้มิใช่สิ่งที่นางต้องการ
“เอาชุดคลุมมา”
โค่วเอ๋อร์หยิบชุดคลุมขนสุนัขจิ้งจอกที่ลั่วเซิงถอดวางไว้บนตั่งคนงามสวมให้นางใหม่อีกครั้ง
ลั่วเซิงมัดเชือกแล้วเดินออกไปข้างนอก
“คุณหนู ข้างนอกหิมะยังตก ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ” โค่วเอ๋อร์ไล่ตามไป หยิบร่มที่เสียบอยู่ในกระบอกสี่เหลี่ยมหน้าประตูแล้วกางออก
ตั้งแต่ที่หอสุราปิดร้าน หิมะก็ตกไม่หยุด คุณหนูไม่ได้ออกไปข้างนอกนานแล้ว
ลมหนาวพัดพาหิมะมากระทบแก้มอันอ่อนนุ่ม ชวนให้ผู้คนอดหรี่ตาลงไม่ได้
ลั่วเซิงหยุดลงครู่หนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไปหาคุณชายน้อย”
อีกไม่นานก็จะถึงวันขึ้นปีใหม่แล้ว ลั่วเฉินก็หยุดเรียนแล้ว เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งอ่านหนังสือในห้องอุ่นๆ
เมื่อได้ยินว่าลั่วเซิงมา ลั่วเฉินก็วางหนังสือลง “เชิญเข้ามา”
เขาลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง เห็นลั่วเซิงกำลังยื่นชุดคลุมให้โค่วเอ๋อร์และสะบัดหิมะที่ติดตามชายกระโปรง
“อากาศหนาวแบบนี้ เหตุใดจึงมาเล่า” มองดูเด็กสาวที่แก้มแดงเพราะความเย็น ลั่วเฉินก็ขมวดคิ้วถาม
ลั่วเซิงโค้งริมฝีปากยิ้มเบาๆ “มาเยี่ยมเจ้า”
ลั่วเฉินกลอกตา “มีอะไรก็พูดมา”
ได้เจอกันทุกวัน พูดไร้สาระอะไรกัน
“ไปห้องหนังสือเถอะ ในห้องหนังสืออุ่นกว่า” เด็กหนุ่มพูดทิ้งท้าย เดินหันหลังหน้านิ่งออกไป
ลั่วเซิงส่งสัญญาณให้โค่วเอ๋อร์รอที่นี่แล้วนางก็เดินตามไป
ในห้องหนังสืออบอุ่นตามคาด ทำให้ลั่วเซิงรู้สึกสบาย เมื่อกวาดตามองหนังสือที่วางบนตั่งก็ยิ้มถามว่า “ละครเรื่องใหม่หรือ”
ลั่วเฉินกระตุกคิ้วเบาๆ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าไม่อ่านบทละคร”
ลั่วเซิงเหลือบเห็นชื่อหนังสือแล้วส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
มันคือ ‘โจวปี้ซ่วนจิง[2]’ !
ที่แท้ท่าน้องชายสนใจในเรื่องการคำนวณหรือ นางคิดว่าเด็กหนุ่มอายุเท่านี้เป็นวัยที่แอบอ่านบทละครเสียอีก
ลั่วเฉินรู้สึกว่าท่านพี่มีสีหน้าประหลาด ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องไร้สาระอะไรอีก เขาขมวดคิ้วพูดว่า “คุยธุระสำคัญเถอะ”
ลั่วเซิงยิ้มๆ ทำได้เพียงเกริ่นว่า “ข้าอยากขอยืมใช้ป้ายอาญาสิทธิ์ป้ายนั้น”
“ใช้ทำอะไรได้ด้วยหรือ” ลั่วเฉินถามทันที
ลั่วเซิงเงียบครู่หนึ่ง พูดว่า “ต้องลองถึงจะรู้ว่าทำอะไรได้”
คำตอบที่คลุมเครือนี้ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มพึงพอใจ แต่เขาก็ไม่ได้ถามอีก เพียงแค่หยิบป้ายอาญาสิทธิ์นั้นออกมาจากช่องลับบริเวณหนึ่งบนชั้นวางหนังสือแล้วส่งให้ลั่วเซิง
ลั่วเซิงกล่าวขอบคุณแล้วพูดคุยกันสองสามประโยคก่อนจะลุกขึ้นอำลา
“ถนนลื่น ระวังตัวด้วย” เด็กหนุ่มกำชับอย่างเคอะเขิน
“รู้แล้ว” ลั่วเซิงยิ้มให้เด็กหนุ่ม เมื่อกระชับเสื้อคลุมแน่นแล้วก็หลบเข้าไปใต้ร่ม ค่อยๆ เดินออกไป
หิมะยังคงตก ร่างของเจ้านายและบ่าวรับใช้เดินกางร่มหายไปเหลือเพียงรอยเท้าบนพื้นหิมะ
ลั่วเฉินยืนบนระเบียงอยู่นานก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในห้อง
ลั่วเซิงไม่ได้กลับเรือนเสียนอวิ๋นย่วน แต่เดินตรงออกจากจวนแม่ทัพใหญ่ลั่ว มุ่งไปทางที่พักอาศัยของจูอู่
[1] ปืนยิงนกจ่าฝูง เป็นการเปรียบเทียบว่าคนที่โดดเด่นกว่าใครอาจนำหายนะมาสู่ตนได้
[2] โจวปี้ซ่วนจิง คือตำราเรียนคณิตศาสตร์ที่เก่าแก่และแพร่หลายที่สุดในจีน เป็นต้นกำเนิดของคณิตศาสตร์ปัจจุบัน