ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 471 ประเภทเดียวกัน
ตอนที่ 471 ประเภทเดียวกัน
แม้จะบ่นและถูกบังคับด้วยอาหารอร่อยๆ แต่หมอเทวดาหลี่ก็ยังคงอธิบายอย่างใจเย็นว่า “แมลงชนิดนี้ตัวเล็กมาก เมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วสามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ ฟักตัวระยะหนึ่งก็จะสามารถโจมตีอวัยวะภายในของคนๆ นั้นได้ ทำให้เจ็บปวดอย่างยิ่ง โดยปกติแล้วผู้ที่ควบคุมแมลงชนิดนี้จะมียาบรรเทาอาการปวด การทานยาเป็นระยะๆ ก็จะสามารถสงบแมลงเหล่านี้ได้ชั่วคราว…”
ลั่วเซิงสีหน้าเยือกเย็น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ซึ่งก็หมายความว่า คนที่กินแมลงชนิดนี้เข้าไปจะกลายเป็นหุ่นเชิดของคนผู้นั้นหรือ”
เซียวกุ้ยเฟยช่างกล้าลงมือจริงๆ!
“ถือว่าใช่” หมอเทวดาหลี่เหลือบมองซิ่วเย่ว์ เห็นนางยังคงมีสีหน้าสงบก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ท่านมีวิธีล่อแมลงที่อาซิ่วกินลงไปออกมาหรือไม่” ลั่วเซิงถามอย่างกังวลใจ
นางเดาว่าเซียวกุ้ยเฟยอาจจะวางยาชนิดเรื้อรังให้ซิ่วเย่ว์ มีหมอเทวดาอยู่ไม่ต้องกังวล แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นแมลง
เมื่อลั่วเซิงคิดถึงแมลงที่มีชีวิตเหล่านั้นเข้าไปในร่างกายก็อดขนลุกขนพองไม่ได้ และยิ่งโมโหกับวิธีการอันชั่วร้ายของเซียวกุ้ยเฟย
หมอเทวดาหลี่เงียบครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “วิธีน่ะมี…”
ลั่วเซิงตาเป็นประกาย “หมอเทวดา…”
หมอเทวดาหลี่โบกมือ “เจ้ามิต้องรู้รายละเอียด ข้าพูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ”
ลั่วเซิงแสดงความเคารพ “เช่นนั้นก็รบกวนท่านแล้ว”
หมอเทวดาหลี่ลูบเคราสีขาว ค่อยๆ พูดว่า “แต่ว่าอาหารสามมื้อแต่ละวันนี่สิ…”
ลั่วเซิงพูดทันทีว่า “ข้าจะให้อาซิ่วทำอาหารให้ท่านสามมื้อทุกวัน”
หมอเทวดาหลี่พยักหน้า “พานางกลับไปก่อนเถอะ ข้าขอศึกษาสองสามวัน”
ลั่วเซิงโล่งอก พาซิ่วเย่ว์กลับไปหอสุรา
หงโต้วและโค่วเอ๋อร์ขว้างหิมะใส่กัน ก้อนหิมะบินว่อน แม้แต่ตุ๊กตาหิมะที่เพิ่งทำเสร็จก็ไม่รอด จมูกที่ทำจากแครอตของมันบิดเบี้ยว
ลั่วเซิงเดินเข้าห้องตามด้วยซิ่วเย่ว์
“หมอเทวดาบอกว่าแมลงโจมตีคนเป็นรอบ คราวหน้าเซียวกุ้ยเฟยให้เจ้าเข้าวังคงจะเปิดเผยให้เจ้ารู้ เพื่อบังคับให้เจ้ารักษาความลับ ถึงครานั้นเจ้าก็ทำเป็นอาการกำเริบ ทำให้เซียวกุ้ยเฟยคิดว่าเจ้าอยู่ในกำมือแล้ว นางจะได้ไม่คิดอย่างอื่น…”
ซิ่วเย่ว์ฟังคำกำชับของลั่วเซิงก็พยักหน้าไม่หยุด
ลั่วเซิงจับมือซิ่วเย่ว์ พูดเสียงเบาว่า “ทำให้เจ้าลำบากแล้ว”
ซิ่วเย่ว์ยิ้ม “ท่านอย่าพูดเช่นนั้น บ่าวสามารถช่วยแบ่งเบาความกังวลของท่านได้ก็ไม่อาจมีความสุขไปได้มากกว่านี้แล้ว”
หลายปีที่ต้องซ่อนตัวเหล่านั้น นางเป็นเพียงศพเดินได้ เพิ่งจะมีชีวิตกลับมาอีกครั้งหลังจากได้เจอท่านหญิง
หากต้องอยู่อย่างลำบาก การตายอย่างมีความสุข ย่อมดีกว่าศพเดินได้มากนัก
“ไปพักผ่อนเถอะ” ลั่วเซิงยิ้มๆ
ซิ่วเย่ว์ออกไปเงียบๆ
ลั่วเซิงเดินไปข้างหน้าต่าง ดูหงโต้วและโค่วเอ๋อร์ที่วิ่งไล่โยนก้อนหิมะใส่กันในลาน
รอยยิ้มไร้ความกังวลแขวนอยู่บนใบหน้าของสาวใช้ทั้งสอง
นางถอนหายใจเบาๆ คิดถึงเซียวกุ้ยเฟย นัยน์ตาก็เคร่งขรึมลง
การกระทำเช่นนี้ของเซียวกุ้ยเฟยชวนให้คนดูแคลนนัก แต่จะบอกว่าให้แก้แค้น ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลา
ในฐานะที่เกิดเป็นมนุษย์ ควรยึดมั่นในขีดจำกัดบางประการเสมอ นางไม่อาจลงมือกับคนมีครรภ์ได้
โชคดีที่นางสามารถถอนฟืนใต้กระทะ กำจัดคนที่อยู่บนบัลลังก์มังกรนั่น สำหรับเซียวกุ้ยเฟยแล้วนั่นคือการลงโทษที่ใหญ่หลวงที่สุดแล้ว
ลั่วเซิงหมุนกำไลฝังอัญมณีเจ็ดสีบนข้อมือเบาๆ เม้มปากแน่น
สิ่งของที่เกี่ยวข้องกับกำไล ถึงเวลาต้องนำออกมาแล้ว
“คุณหนู จวนองค์หญิงมีคนมาส่งข่าวว่าประเดี๋ยวองค์หญิงฉางเล่อจะเสด็จมาเจ้าค่ะ” หงโต้ววิ่งมารายงาน
เนื่องจากเพิ่งเล่นหิมะเสร็จ สาวใช้หายใจหอบเล็กน้อย ใบหน้าของนางแดงราวกับดอกไม้ป่าที่มีชีวิตชีวาในฤดูใบไม้ผลิ
ลั่วเซิงอดยกมุมปากยิ้มไม่ได้ “รู้แล้ว”
สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ หลังจากที่ได้ข่าวจากจวนองค์หญิง ลั่วเซิงก็ยังไม่ได้เจอองค์หญิงฉางเล่อ
“โค่วเอ๋อร์ ส่งคนไปสืบดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
โค่วเอ๋อร์พยักหน้า เดินออกไปจากประตูหลังของหอสุรา กวักมือเรียกเด็กขอทานที่อยู่มุมกำแพงคนหนึ่ง
เด็กขอทานวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ถามเสียงเบาว่า “ลูกพี่ ท่านมีคำสั่งอะไรหรือ”
โค่วเอ๋อร์กระตุกมุมปากเล็กน้อย
บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกนางว่า ‘ลูกพี่’ พวกคนโง่เหล่านี้ก็ไม่ยอมฟัง หงโต้วได้ยินเข้าจะเรียกนางว่าหัวหน้าพรรคยาจกอีก
แต่ธุระสำคัญกว่า
หลังจากโค่วเอ๋อร์ปลอบใจตนเองแล้ว นางก็พูดด้วยใบหน้าเยือกเย็นว่า “ไปสืบดูว่าจวนองค์หญิงมีความเคลื่อนไหวอะไร”
“ขอรับ” เด็กขอทานวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
เด็กขอทานที่พบเห็นได้ทุกที่และไม่เป็นที่สนใจเหล่านี้เป็นผู้ช่วยที่ดีในการสืบข่าวอย่างมิต้องสงสัย ลั่วเซิงรอเพียงสองเค่อก็ได้รับรายงานจากโค่วเอ๋อร์
“คุณหนู สืบมาแล้วเจ้าค่ะ ระหว่างทางที่องค์หญิงฉางเล่อมาหาเราเจอซูเย่าจึงฉุดซูเย่ากลับจวนองค์หญิงแล้วเจ้าค่ะ…”
ลั่วเซิงฟังเงียบๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
องค์หญิงฉางเล่อฉุดซูเย่ากลับจวนองค์หญิง นางได้ยินแล้วรู้สึกมีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก…
โค่วเอ๋อร์ยังคงพูดจ้อไม่หยุด หงโต้วจึงพูดแทรกขึ้นอย่างเย็นชาว่า “องค์หญิงฉางเล่อมาหาคุณหนูของเรามิใช่หรือ เหตุใดเห็นซูเย่าแล้วก็ห่วงแต่ฉุดบุรุษเล่า นี่มันเห็นบุรุษดีกว่าสหายชัดๆ”
โค่วเอ๋อร์คิดครู่หนึ่งก็เห็นด้วย ถึงอย่างไรก็อยู่กันแค่สามคน นางจึงสำทับว่า “นั่นน่ะสิ เห็นทีมิตรภาพขององค์หญิงฉางเล่อและคุณหนูของเราจะเชื่อถือไม่ได้”
มิตรภาพเป็นอย่างไร ลั่วเซิงปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น
นั่นคือมิตรภาพขององค์หญิงฉางเล่อและคุณหนูลั่ว ส่วนที่นางรับรู้ได้มีเพียงความกดดันและการจับตามองเท่านั้น
สาวใช้สองคนคุยกันครู่หนึ่ง จู่ๆ หงโต้วก็ถามว่า “คุณหนู อย่างนี้องค์หญิงฉางเล่อคงไม่มาแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ลั่วเซิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “คงไม่มาแล้วล่ะ”
ซูเย่าไม่ใช่คนธรรมดา องค์หญิงฉางเล่อฉุดเขากลับจวนองค์หญิง ต้องมีเรื่องสนุกๆ เกิดขึ้นหลังจากนี้แน่นอน คงมาหอสุราไม่ได้แล้ว
พอได้ยินคำพูดของลั่วเซิงหงโต้วก็ตาเป็นประกาย “คุณหนู ในเมื่อองค์หญิงฉางเล่อไม่มาแล้ว เช่นนั้นขนมพุทรานึ่งข้าวเหนียวที่ท่านเตรียมไว้…ให้พวกเรากินเถอะเจ้าคะ”
เห็นสาวใช้สองคนมองนางตาปริบๆ ลั่วเซิงก็ยิ้ม “ไปกินเถอะ”
หงโต้วและโค่วเอ๋อร์ร้องยินดีและวิ่งไปทางห้องครัว
เทียบกับความอบอุ่นในหอสุราแล้ว บรรยากาศในจวนองค์หญิงเคร่งเครียดกว่ามาก
องค์หญิงฉางเล่อเหยียดเท้าที่ขาวเนียนออกไปเหยียบบนเท้าของซูเย่า พูดด้วยรอยยิ้มจางๆ ว่า “อาลักษณ์ซู จอหงวนซู เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทำอะไรเจ้าจริงๆ หรือ ฮึ ที่จริงข้าไม่ได้มีความอดทนมากมายเช่นนั้น”
นางพูดพลางเข้าใกล้ซูเย่ามากขึ้น ยื่นหน้าไปที่หูของเขาพลางพ่นลมหายใจเบาๆ “จุดจบของท่านหญิงน้อย เจ้าคงไม่ได้ลืมไปหรอกนะ”
ซูเย่าสีหน้าสงบ “องค์หญิงพูดเช่นนี้กระหม่อมไม่เข้าใจ การหายตัวไปของท่านหญิงน้อยคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์หญิง?”
องค์หญิงฉางเล่อสบตาซูเย่า จู่ๆ ก็ยื่นมือไปผลักเขาลงบนเก้าอี้
เก้าอี้ที่กว้างและใหญ่ทำให้เขาดูบอบบาง ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์หญิงฉางเล่อทรงชอบ
ซูเย่าพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “องค์หญิงจะทรงฝืนใจกระหม่อมหรือ องค์หญิงทรงอย่าลืมว่าถึงอย่างไรกระหม่อมก็เป็นบัณฑิตอันดับหนึ่ง”
“หึๆ” องค์หญิงฉางเล่อหัวเราะเบาๆ หลุบตาลงมองชายหนุ่มบอบบางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงปริปาก “ซูเย่า เจ้าไม่จำเป็นต้องเห็นข้าเป็นคนโง่ บอกมาซิว่าเจ้ายุยงปลุกปั่นความสัมพันธ์ของข้าและอาเซิงครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่ออะไรกัน”
ซูเย่าม่านตาหดลง สีหน้าที่สงบนิ่งมาโดยตลอดของเขาในที่สุดก็เปลี่ยนแปลง
องค์หญิงฉางเล่อยกมุมปากยิ้มเบาๆ “ซูเย่าเอ๋ย ที่จริงเราเป็นคนประเภทเดียวกันนะ”