ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 448 ล่มสลา
ตอนที่ 448 ล่มสลาย
ความสับสนวุ่นวายของจวนผิงหนานอ๋องถูกกั้นอยู่ในประตูใหญ่บานสีแดง
แม่ทัพใหญ่ลั่วไปพบผิงหนานอ๋องด้วยตนเอง
ตอนนั้นผิงหนานอ๋องกำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย เมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วบุกเข้ามาหนังตาก็สั่นไหวไม่หยุด แต่กลับเอ่ยวาจาใดไม่ออก
“ท่านอ๋อง ขอโทษด้วย เกรงว่าวันนี้ท่านต้องเปลี่ยนสถานที่แล้ว” แม่ทัพใหญ่ลั่วเดินเข้าไปใกล้เตียงผู้ป่วย สีหน้ายากจะแยกได้ว่าดีใจหรือโกรธ “ฝ่าบาทต้องการตรวจสอบเรื่องจวนผิงหนานอ๋องใส่ร้ายจวนเจิ้นหนานอ๋องจนถึงที่สุด”
ดวงตาขุ่นมัวของผิงหนานอ๋องพลันเบิกกว้าง จ้องแม่ทัพใหญ่ลั่วเขม็ง
แม่ทัพใหญ่ลั่วก้มตัวลงเล็กน้อย ถามเสียงเบาว่า “ท่านอ๋องยังจำเรื่องเมื่อสิบสามปีก่อนได้สินะ เหมือนกับวันนี้มากเลยใช่ไหม ตอนนั้นคนที่นำกองกำลังก็คือผู้แซ่ลั่ว ข้าได้เห็นเองกับตาว่า ลานหินหน้าประตูจวนเจิ้นหนานอ๋องอาบย้อมไปด้วยโลหิตจนเป็นสีแดงคล้ำ จนถึงวันนี้ก็ยังล้างไม่สะอาด…”
“เจ้า…” ผิงหนานอ๋องเอ่ยออกมาคำหนึ่งอย่างยากลำบาก สีหน้าแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ ขณะออกแรงยกศีรษะขึ้นมา
หลังหายใจหอบกระชั้นพักหนึ่ง ผิงหนานอ๋องที่ลุกขึ้นมาได้ครึ่งทางก็พลันล้มกลับลงไปบนเตียง และหยุดหายใจไป
แม่ทัพใหญ่ลั่วก้มพิจารณามองผิงหนานอ๋องที่ขาดใจตายไปแล้วก็โค้งมุมปาก หมุนตัวก้าวเท้ายาวเดินออกไป
หลังเว่ยเฟิงได้ฟังเหตุผลที่จวนผิงหนานอ๋องถูกล้อมก็พุ่งไปทางพระชายาผิงหนานอ๋องราวกับเป็นบ้าไปแล้ว
องครักษ์จิ่นหลินสองนายกดบ่าเขาเอาไว้แน่น เอ่ยเสียงเย็นว่า “ซื่อจื่ออย่าได้โวยวายอีกเลย ตามพวกข้าน้อยไปเถอะขอรับ”
เว่ยเฟิงซึ่งถูกกั้นให้ห่างจากพระชายาผิงหนานอ๋องด้วยองครักษ์จิ่นหลินหลายนายเดือดดาลสุดขีด “เสด็จแม่ ท่านคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ เพราะพี่ใหญ่ถูกปลดจึงสาปแช่งฝ่าบาท ท่านรังเกียจที่พวกเราจวนผิงหนานอ๋องตายไม่ไวพอหรือ นอกจากเว่ยเชียงแล้ว ทั้งบนและล่างของจวนอ๋องรวมกันแล้วไม่สำคัญอะไรในใจท่านเลยใช่หรือไม่”
เขาแค้นยิ่งนัก
เขายินยอมที่จะเป็นคนปกติทั่วไปตลอดชีวิต ขอแค่ไม่ต้องกังวลเรื่องกินดื่มก็พอแล้ว
แต่ความคิดเช่นนี้ถึงกับกลายเป็นความคิดเพ้อฝัน
จะโทษใครกัน
เว่ยเฟิงหันหน้าไป มองไปทางเว่ยเชียงซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลด้วยดวงตาแดงก่ำ
ล้วนโทษเจ้าตัวหายนะเว่ยเชียงคนนี้!
หากในปีนั้นเว่ยเชียงไม่เป็นองค์รัชทายาท จวนผิงหนานอ๋องจะมีวันนี้ได้อย่างไร
กลิ่นสุราพุ่งเข้าปะทะใบหน้า
เว่ยเฟิงเหลืออด ตะคอกใส่เว่ยเชียง “เว่ยเชียง เจ้านี่มันตัวซวยที่รู้จักแต่หนีจริงๆ! ในปีนั้นก็หนีการตายของท่านหญิงชิงหยาง พอเป็นองค์รัชทายาทก็หาเหตุผลตีตัวออกห่างจากจวนผิงหนานอ๋องอย่างชอบธรรม ตอนนี้ก็หนีตำแหน่งองค์รัชทายาทซึ่งถูกปลด ทั้งวันรู้จักแต่เมามายอยู่แต่ในโลกแห่งความฝัน เจ้าลุ่มหลงในตัวท่านหญิงชิงหยางขนาดนั้น เหตุใดตอนนั้นถึงไม่ตายตามนางไปด้วยเสียเลยล่ะ”
เว่ยเชียงที่ดวงตาพร่าเลือนจากความเมามาย ได้ยินเว่ยเฟิงเอ่ยถึงท่านหญิงชิงหยางก็ฟื้นคืนความกระจ่างหลายส่วนในเสี้ยววินาที พลางเอ่ยอย่างโมโหว่า “ยังไม่ถึงคราวที่เจ้าจะมาวิพากษ์วิจารณ์ลั่วเอ๋อร์!”
แม่ทัพใหญ่ลั่วที่เดินเข้ามานั้นฟังจนรำคาญไปนานแล้วจึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “พาตัวไป!”
ลั่วเอ๋อร์ไม่ลั่วเอ๋อร์อะไร ฟังแล้วหงุดหงิด
เขายังจำเด็กสาวที่ตายตรงหน้าเขาเมื่อสิบสามปีก่อนคนนั้นได้
นางร่วงลงมาจากม้า แต่กลับไม่ตะโกนว่าเจ็บเลยสักนิดและมองมาทางเขาอย่างสิ้นหวังและโมโห
ดวงตาสุกใสคู่นั้นสูญเสียสีสันไปอย่างรวดเร็ว
ความมืดในยามราตรีอำพรางชุดแต่งงานสีแดงสดกับโลหิตที่นองเต็มพื้นไม่มิด และอำพรางลูกธนูเย็นเยียบที่ยิงเข้าใส่แผ่นหลังในตำแหน่งหัวใจของนางไม่ได้
ตอนนั้นเขาคิดว่า แม่นางน้อยผู้นี้ ทำไมถึงได้โง่งมเช่นนี้นะ ไม่รู้หรือว่า สิ่งที่บิดามารดาของนางปรารถนามากที่สุดก็คือการที่นางสามารถมีชีวิตต่อไปได้
บุตรสาวที่เขารักและทะนุถนอมมากที่สุดเพิ่งจะสามขวบ หากได้รับบาดเจ็บอะไรเล็กน้อย เขาก็ทุกข์ใจจะแย่แล้ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วเก็บงำความรู้สึก มองทุกอย่างตรงหน้าด้วยสีหน้าเฉยชามากขึ้น
พระชายาผิงหนานอ๋องดิ้นรนไม่ไหวไปนานแล้ว นางอธิบายอย่างไร้เรี่ยวแรง “ข้าไม่ได้สาปแช่งฝ่าบาท ข้าไม่ได้สาปแช่งฝ่าบาท…”
ไม่รู้ว่านางเอ่ยวาจาเหล่านี้ไปกี่รอบ แต่เมื่อต้องการเอ่ยถึงองค์หญิงฉางเล่อ ก็ถูกคนปิดปากและจมูกเอาไว้
นางเข้าใจแล้ว
หากปรารถนาจะลงโทษใคร ย่อมหาข้ออ้างหรือเหตุผลได้เสมอ ฮ่องเต้ต้องการลงโทษจวนผิงหนานอ๋อง แม้ว่าจะไม่มีเรื่องที่นางสาปแช่งองค์หญิงฉางเล่อด้วยหุ่นคนก็จะมีโทษอื่นมาอยู่ดี
เว่ยเชียงที่กึ่งเมามาย กึ่งมีสตินั้นเข้าใจยิ่งกว่า
เขาไม่ขยับ ปล่อยให้องครักษ์จิ่นหลินผลักให้เดินออกไปข้างนอก
อยู่ด้วยกันในนามของบิดาและบุตรชายกับฮ่องเต้มาแปดปี ไม่มีใครรู้ถึงความโหดเหี้ยมของฮ่องเต้พระองค์นี้ไปมากกว่าเขา
เมื่อเห็นสาวใช้ถูกฝังในฐานะน้องสาว เขาก็รู้ดีว่าจวนผิงหนานอ๋องจบสิ้นแล้ว
เขาที่เป็นองค์รัชทายาทซึ่งถูกปลดคนนี้ เดิมก็ถูกฮ่องเต้มองเป็นภัยร้ายที่แอบแฝงอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นการตายของน้องสาวก็เกี่ยวข้องกับองค์หญิงฉางเล่อ
จะจัดการปัญหาพวกนี้ ยังมีสิ่งใดที่แก้ปัญหาที่ต้นตอได้ดีกว่าการจัดการจวนผิงหนานอ๋องกัน
เขาคาดเดาถึงวันนี้ได้นานแล้ว
หากกล่าวว่าจวนผิงหนานอ๋องอยู่ไกลถึงทางใต้ ยังมีพละกำลังที่ใหญ่ที่สุด แต่ว่าดันถูกล้อมอยู่ในเมืองหลวง ใต้จมูกของฮ่องเต้ นอกจากรอการมาถึงของวันนี้แล้วยังจะสามารถทำอันใดได้อีก
วินาทีที่ถูกพาออกมาจากจวนผิงหนานอ๋อง เว่ยเชียงหันหน้าไปมองป้ายทองคำเหนือประตูใหญ่ ความเสียใจล้นหลามคืบคลานเข้ามา
ในปีที่จะแต่งงานกับลั่วเอ๋อร์ หากเขาทนต่อสิ่งล่อใจและคัดค้านอย่างเด็ดขาด ทุกอย่างจะแตกต่างไปจากนี้ทั้งหมดใช่หรือไม่
ลั่วเอ๋อร์จะไม่ตาย จวนผิงหนานอ๋องก็ไม่มีทางซ้ำรอยเดิมกับจวนเจิ้นหนานอ๋อง
เขายังจำประโยคสุดท้ายที่ลั่วเอ๋อร์เอ่ยกับเขา ตอนที่ผลักเขาแล้วพุ่งออกไปจากจวนผิงหนานอ๋องในค่ำคืนวันนั้นเมื่อสิบสามปีก่อนได้
นางเอ่ยว่า “เว่ยเชียง ครอบครัวพวกท่านจะต้องพบกับกรรมตามสนอง ในสวรรค์และปรโลก ข้าจะเบิกตากว้างมองดู รอวันที่กรรมตามสนองวันนั้น”
น้ำเสียงนางเย็นชาขนาดนั้น แววตาก็เย็นเยียบขนาดนั้น เหมือนกับ…เว่ยเชียงพลันหยุดนิ่ง จ้องไปยังทิศทางหนึ่งของกลุ่มคน
ในกลุ่มคน เด็กสาวในชุดขาวมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกและแววตาเย็นเยือก
เสี้ยววินาทีที่สบตากัน เว่ยเชียงหลุดปากเอ่ยว่า “ลั่วเอ๋อร์…”
เขาพุ่งไปยังทิศทางนั้นอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับถูกองครักษ์จิ่นหลินกดเอาไว้จนขยับไม่ได้
เมื่อได้สติคืนมา คนที่ยืนท่ามกลางฝูงชนใช่ลั่วเอ๋อร์เสียที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นคุณหนูลั่ว
เป็นคุณหนูลั่วที่เขาพบครั้งหนึ่งก็โชคร้ายครั้งหนึ่ง
เว่ยเชียงจ้องลั่วเซิงตาไม่กะพริบ จนกระทั่งถูกผลักออกไปไกลมากแล้วก็ยังหันหน้ากลับมามอง
แม่ทัพใหญ่ลั่วเห็นอยู่ในสายตาจึงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
แม้ว่าบุตรสาวจะแต่งออกไปไม่ได้ ก็ไม่อาจปรากฏดอกท้อเน่า[1] ที่กำลังจะบ้านแตกสาแหรกขาดเช่นนี้แบบนี้ออกมาได้นะ
นี่ไม่ใช่การดูหมิ่นคนหรือ!
แม่ทัพใหญ่ลั่วส่งสายตาไป องครักษ์จิ่นหลินสองนายลากเว่ยเชียงให้เร่งฝีเท้าเดินเร็วกว่าเดิม
ภายใต้การจับจ้องจากดวงตานับไม่ถ้วน บนและล่างจวนผิงหนานอ๋องถูกทหารคุมตัวเข้าคุกหลวง กระทั่งศพของผิงหนานอ๋องก็ถูกยกออกมาเช่นกัน
พลบค่ำในช่วงต้นฤดูหนาวนั้นหนาวมาก ผู้คนที่ดูเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นตื่นเต้นเล็กน้อย และเศร้าโศกเล็กน้อยเช่นกัน
ชีวิตผู้คนเท่าใด นับไม่ได้
บทลงโทษที่จักรพรรดิหย่งอันจะจัดการกับจวนผิงหนานอ๋องประกาศลงมาอย่างรวดเร็ว ‘จวนผิงหนานอ๋องใส่ร้ายจวนเจิ้นหนานอ๋องก่อน สาปแช่งฮ่องเต้ทีหลัง เป็นความผิดที่ไม่อาจละเว้นได้ ริบคืนบรรดาศักดิ์ผิงหนานอ๋องทันที พระราชทานเหล้าพิษให้เว่ยเชียง บุตรชายคนโตกับเว่ยเฟิง บุตรชายคนรองของผิงหนานอ๋อง พระราชทานแพรขาวสามฉื่อ[2] ให้กับพระชายาผิงหนานอ๋อง เฉียวซื่อผู้เป็นภรรยาของเว่ยเชียง และหวังซื่อ ภรรยาของเว่ยเฟิง ส่วนหว่านเอ๋อร์ บุตรสาวของเว่ยเชียงก็ส่งตัวไปยังอารามซูอิ่ง สำหรับข้าทาสคนอื่นๆ บ้างก็ประหาร บ้างก็เนรเทศไปใช้แรงงาน บ้างก็ส่งไปสถานเริงรมย์’
วันที่พระราชโองการถ่ายทอดลงมา ลั่วเซิงไปคุกหลวงองครักษ์จิ่นหลิน
แม่ทัพใหญ่ลั่วค่อนข้างจนปัญญา “เซิงเอ๋อร์ เจ้าวิ่งมาทำอะไรที่นี่”
“ลูกอยากพบเว่ยเชียงสักครั้งเจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินก็ตะลึง น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป “เซิงเอ๋อร์ เจ้าจะพบเขาไปทำไม”
ลั่วเซิงยิ้มบางๆ “เขาติดเงินค่าสุราเจ้าค่ะ ข้าอยากจะบอกเขาว่าเรื่องหนี้จะถูกยกเลิกหลังคนตายด้วยตนเอง เขาจะได้ไม่ต้องเฝ้ากังวลถึงในปรโลก ไม่เป็นมงคลยิ่ง”
แม่ทัพใหญ่ลั่วแอบโล่งใจ
ยังดีๆ
[1] ดอกท้อเน่า หมายถึง ความสัมพันธ์รักใคร่ที่ไม่นำความสุขมาให้
[2] แพรขาวสามฉื่อ เป็นการลงโทษโดยการนำผ้าขาวมาผูกคอ อาจตายด้วยการแขวนคอ หรือถูกรัดจนตาย