ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 373 เสียดแทงใจ
ตอนที่ 373 เสียดแทงใจ
เว่ยหานเดินสาวเท้าเข้าไป ปัดหิมะบนม้านั่งหินตรงหน้าออกแล้วนั่งลง บดบังสายตาของลั่วเซิงที่กำลังมองเด็กหนุ่มผ่าฟืนพอดี
“โค่วเอ๋อร์ ไปหยิบเบาะรองนั่งมา” ลั่วเซิงมองมองเว่ยหานก่อนจะสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มิต้อง”
ลั่วเซิงเลิกคิ้ว
เว่ยหานกระแอมเบาๆ เปลี่ยนใจพูดว่า “ก็ดี”
โค่วเอ๋อร์หยิบเบาะรองนั่งมาอย่างรวดเร็ว
เว่ยหานเห็นว่าเบาะรองนั่งเป็นเบาะคู่กับของลั่วเซิงก็เม้มปากยิ้มอย่างพึงพอใจ เขานั่งลงอย่างสบายใจ
เขากวาดสายตามองกาสุราหยกที่วางบนโต๊ะหินแล้วถามเสียงขรึมว่า “เหตุใดจึงดื่มสุราคนเดียวเล่า”
“อยู่ว่างๆ อากาศก็ดี อีกทั้งดีใจที่ได้เห็นคนทำงานก็เลยดื่มสักเล็กน้อยเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงตอบด้วยรอยยิ้ม
เว่ยหานมองนาง ผ่านไปครู่หนึ่งก็รินสุราใส่จอกที่โค่วเอ๋อร์ยกมาใหม่ เขายกจอกสุราขึ้น
ลั่วเซิงยกจอกสุราขึ้นจิบคำหนึ่ง
สุรากลั่นเย็นลงเล็กน้อยแล้ว แต่ยังคงร้อนผ่าวเมื่อผ่านลำคอ
เว่ยหานกระดกสุราจนหมดแล้วรินใหม่ พบว่าสุราหมดแล้ว
“โค่วเอ๋อร์ ยกสุรามาอีกสองกา”
โค่วเอ๋อร์ยกสุราสองกามาวางลงข้างมือของทั้งสองอย่างรวดเร็ว
เว่ยหานรินให้ลั่วเซิงแล้วรินให้ตนเอง เอ่ยปรามว่า “ดื่มแต่พอดี คุณหนูลั่วอย่าดื่มมากเกินไป”
“เจ้าค่ะ” ลั่วเซิงตอบส่งๆ แล้วบอกให้โค่วเอ๋อร์และหงโต้วไปทำธุระของตนเอง
ครานี้เองในสวนจึงเหลือเพียงคนสองคนที่ดื่มสุราด้วยกัน และเด็กหนุ่มที่กำลังผ่าฟืนกับผู้คุมงานในมุมหนึ่ง
ลมพัดโชยมา กิ่งก้านของต้นพลับแกว่งไปมาด้วยความเบื่อหน่าย ทำให้หิมะบนต้นไม้โปรยลงมา
“ข้ารู้ เขาเป็นน้องบุญธรรมของเจ้าของบ่อนทองพันชั่ง ซึ่งก็คือหัวหน้าของกลุ่มนักฆ่าที่ซ่อนตัวในบ่อนแห่งนั้น”
ลั่วเซิงจับจอกสุราในมือแน่น น้ำเสียงเย็นชา “แล้วเจ้าของของบ่อนทองพันชั่งเล่า”
เว่ยหานจิบสุราคำหนึ่ง “เท่าที่ข้าทราบ เจ้าของบ่อนถูกปิดหูปิดตา ไม่ใช่คนวงใน บ่อนทองพันชั่งเป็นบ่อนที่เปิดมาหลายปีแล้ว ผู้ดูแลจูคนนั้นปรากฎตัวในเมืองหลวงเมื่อเจ็ดปีก่อน”
ลั่วเซิงเลิกคิ้วเล็กน้อย
เจ็ดปีก่อนเป็นช่วงเวลาที่เว่ยเชียงเข้าเมืองหลวงเพราะได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดในนามของจักรพรรดิหย่งอัน
เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกันหรือไม่นั้นก็ต้องรอดูว่าหลังจากไคหยางอ๋องรวบตัวคนเหล่านั้นแล้วจะสอบปากคำพวกเขาได้หรือไม่
“ท่านอ๋อง การรวบตัวครั้งนี้ ปล่อยผู้ดูแลจูคนนั้นไปก่อนเถอะ”
เว่ยหานมองลั่วเซิงอย่างลึกซึ้ง กลับไม่ได้ถามอะไร เพียงตอบตกลง
การไม่ถามอะไรของเว่ยหาน ทำให้ลั่วเซิงรู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่ง
หากอีกฝ่ายถาม นางย่อมสามารถอ้างเหตุผลตอบส่งๆ ออกไปได้ แต่บัดนี้กลับรู้สึกว่าปัญหายิ่งมากยิ่งเหนื่อยใจ
ไม่ถามน่ะดีที่สุดแล้ว
กาสุราเปล่าบนโต๊ะหินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านอ๋องนั่งที่นี่ได้หรือไม่เจ้าคะ” ลั่วเซิงตบม้านั่งหินข้างกายอย่างเกียจคร้านเบาๆ
เว่ยหานที่กำลังยกสุรามองไปที่นาง
เนื่องจากดื่มสุราไป แก้มของเด็กสาวจึงถูกย้อมเป็นสีแดง ดูโดดเด่นเป็นพิเศษเมื่อตัดกับหิมะสีขาว
เว่ยหานคิดในใจ คุณหนูลั่วงดงามจริงๆ
เขาขยับตัวไปพร้อมกับเบาะรองนั่ง เพราะว่าอยู่ใกลักันมาก ราวกับว่าจะได้กลิ่นหอมอันสดชื่นของดอกพลัม
ลั่วเซิงยิ้ม “แบบนี้ก็ไม่บังสายตาข้าแล้ว”
เว่ยหานเงียบแล้วมองตามไป
สวี่ซีโยนขวานทิ้งแล้วหย่อนก้นลงบนพื้น “เหนื่อยจะตายแล้ว ไม่ทำแล้ว!”
ชายร่างกำยำถลึงตามอง “เพิ่งผ่าไปเท่าไรเองก็ไม่ทำแล้วรึ รีบลุกขึ้นมา อย่าอู้”
สวี่ซีกัดฟันอย่างโมโห “ไม่มีใครใช้งานคนแบบนี้ เจ้าเห็นข้าเป็นล่อชัดๆ!”
ชายร่างกำยำยิ้มหยัน “อย่าทำให้ล่อขี้ริ้วขี้เหร่เลย ล่อที่ไหนไร้ประโยชน์เช่นนี้กัน”
เมื่อเห็นทั้งสองเริ่มทะเลาะกัน เว่ยหานก็วางจอกสุราลงแล้วเดินสาวเท้าเข้าไป
“ท่านอ๋อง” ชายร่างกำยำรีบคารวะ
เว่ยหานพยักหน้าเบาๆ สายตาหยุดอยู่ที่สวี่ซี
สวี่ซีลุกขึ้นมาคารวะ
เว่ยหานจับขวานขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่งและวางฟืนด้วยมืออีกข้างหนึ่ง เขาสับฟืนเป็นท่อนเล็กขนาดเท่าๆ กันและเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ
สวี่ซีตะลึงงัน
“ฟืนน่ะต้องผ่าแบบนี้” เว่ยหานพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินสาวเท้าไปทางลั่วเซิง
เหลือเพียงเด็กหนุ่มที่เหม่อลอยและมองชายร่างกำยำอย่างงุนงง
เหตุใดไคหยางอ๋องจึงมาสอนเขาผ่าฟืนนะ
หรือว่า… การผ่าฟืนนี่ไม่ใช่การผ่าฟืนธรรมดาๆ แต่เป็นการฝึกเคล็ดวิชาเทพไร้เทียมทาน?
ใช่แล้ว ไคหยางอ๋องเป็นเทพแห่งสงครามที่ทำให้ชาวเป่ยฉีหวาดกลัว บางทีเขาอาจจะได้รับการฝึกฝนเช่นนี้มาก่อน!
สวี่ซีตาเป็นประกาย เขาหยิบขวานขึ้นมาแล้วผ่าฟืนต่อไป
เมื่อเขาฝึกเคล็ดวิชาสำเร็จแล้วเขาจะจัดการคนที่เคยรังแกเขาให้ตาย
ชายร่างกำยำมองเด็กหนุ่มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังก็ลูบคางอย่างไม่เข้าใจ
หรือว่าก่อนหน้านี้เขาสอนผิดเองนะ
เว่ยหานกลับไปนั่งลง จับกาสุราขึ้นมาแล้วแกว่งไปมา ยิ้มให้ลั่วเซิงแล้วพูดว่า “สุราหมดแล้ว”
ลั่วเซิงมองชายข้างกายนิ่ง
นางเดิมพันได้เลยว่าไคหยางอ๋องดื่มมากเกินไปอีกแล้ว
“ดื่มแต่พอดีเถอะเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงห้ามปรามกลับ
สายตาที่ชายหนุ่มมองนางเป็นประกาย “แต่ข้ายังอยากดื่ม”
ลั่วเซิงเม้มปาก
เขาดื่มมากเกินไปจริงๆ ด้วย
“รอหอสุราเปิดแล้วท่านอ๋องค่อยดื่มพร้อมกลับแกล้มเถอะ”
เว่ยหานส่ายศีรษะ “แบบนั้นก็ไม่ได้ดื่มกับคุณหนูลั่วแล้วสิ”
ขณะที่ลั่วเซิงเงียบ เขายังเสริมอีกว่า “ข้ายังไม่เคยดื่มสุรากับคุณหนูลั่วเลย”
เขายังไม่เคยดื่มสุราด้วยกันกับนางเหมือนตอนนี้
ลั่วเซิงกวาดมองโต๊ะ
บนโต๊ะมีกาสุราเจ็ดแปดกาวางไว้ แต่กลับไม่มีกับแกล้มสักจานเลย
ไม่มีกับแกล้มสักจาน ยังดื่มได้มากขนาดนี้
“ข้าไม่ค่อยดื่มสุรากับใคร” ลั่วเซิงพูดเสียงราบเรียบ
ชายข้างกายนอกจากจะไม่ได้เสียใจเพราะถูกปฏิเสธแล้ว เขากลับหัวเราะ “เช่นนั้นวันนี้เป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก”
ลั่วเซิงไม่อยากพูดอีก
นางค้นพบว่าหลังจากที่ไคหยางอ๋องดื่มมากเกินไปแล้ว หน้าก็หนาตามไปด้วย
“โค่วเอ๋อร์”
โค่วเอ๋อร์ได้ยินก็ยื่นศีรษะออกมาจากประตูห้องโถงที่ผ่านไปยังหลังสวน
“ยกสุรามาอีกสองกา”
ในเมื่ออยากจะดื่มนัก นางก็จะไม่ขัดขวาง ตอนนี้นางเองก็อยากดื่มเพียงสุราเช่นกัน
ในห้องโถง สือเยี่ยนเตือนโค่วเอ๋อร์อย่างมีน้ำใจ “สองกาไม่พอแน่นอน ยกสองไหไปเลย”
สุราทำให้คนกล้าหาญ ไม่แน่ว่าวันนี้นายท่านของพวกเขาจะสู้สักตั้ง
โค่วเอ๋อร์ลองคิดแล้วเห็นว่ามีเหตุผลจึงอุ้มสุราสองไหออกไป
ลั่วเซิงรินสุราจนเต็ม สุราสองจอกเพิ่งลงไปในท้อง ไหสุราที่อยู่ข้างมือของชายหนุ่มก็ว่างเปล่าแล้ว
มือใหญ่ค่อยๆ ขยับมาทีละน้อย
ลั่วเซิงมองด้วยสายตาเยือกเย็น ไม่ได้พูดอะไร
นางอยากจะดูว่าเจ้าหมอนี่ดื่มมากไปแล้วจะทำอะไร คงไม่ทำตัวเป็นพวกมักมากบ้าตัณหาหรอกนะ
มือใหญ่นั่นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
มือของชายคนนั้นมีกระดูกและข้อต่อที่ชัดเจน ต่างจากมือของนางมาก
ลั่วเซิงกำมือเบาๆ กำลังคิดว่าหากเขาฉวยโอกาสแตะเนื้อต้องตัวนางจริงๆ นางจะสาดสุราใส่หน้าของเขาหรือว่าตบหน้าเขาดี
ในที่สุดมือใหญ่ข้างนั้นก็เข้ามาใกล้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หยิบไหสุราที่ยังดื่มไม่หมดข้างมือของเด็กสาวไป
ลั่วเซิงเงียบ
ลมเริ่มพัดแรง พัดจนหิมะที่อยู่บนต้นพลับโปรยลงมา ราวกับหิมะตกอีกครั้ง
ลั่วเซิงรู้สึกซับซ้อนเล็กน้อย
ช่วงเวลาที่เป็นท่านหญิงชิงหยาง นางไม่เคยคิดว่าตนเองจะคิดไปเองฝ่ายเดียว
ทว่าตั้งแต่ที่เป็นคุณหนูลั่ว นางกลายเป็นคนแบบนั้นเพราะชายคนนี้หลายครา!
บริเวณประตู องครักษ์น้อยที่เปิดม่านแอบเห็นฉากนี้เข้าก็รู้สึกเหมือนมีธนูหมื่นเล่มแทงทะลุหัวใจ เขากุมหัวใจไว้แล้วสะบัดม่านลง
ไม่ดูแล้ว เสียดแทงใจจริงๆ!