ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 319 ผ่านมาพบความอยุติธรรม
ตอนที่ 318 ตายใจ
อากาศหนาวแล้ว ถึงฤดูกาลตงซิว[1] จะพลาดข่าวซุบซิบร้อนแรงแบบนี้ได้อย่างไร
ไม่ได้แน่นอน!ตอนที่ 319 ผ่านมาพบความอยุติธรรม
เมื่อไม่มีผ้าโปร่งชั้นนั้น สายตาที่มองใบหน้าเหมือนกับว่าจะร้อนแรงกว่าเดิม
ลั่วอิงไม่คุ้นชินกับการกลายเป็นจุดสนใจ ไม่ว่าจะเรื่องร้ายหรือเรื่องดี
นางชอบนั่งใต้ต้นอิงในสวนของเรือนปินเฟินย่วนมากกว่า นั่งปักเย็บชุดแต่งงานของนางเงียบๆ
ทว่าบางครั้ง คนเราต้องเปิดใจยอมรับหรือแบกรับสิ่งที่ไม่ชอบ
อาจจะทำเพื่อตนเอง หรืออาจจะทำเพื่อผู้อื่น
“คุณหนู…” ลี่ว์เอ้อสีหน้ากังวล
ลั่วอิงหยิบจดหมายออกมาจากอก ชูมือขึ้น “เถาฮูหยิน นี่คือจดหมายที่ลูกชายท่านนัดข้าออกมา หากจะบอกว่าไม่เหมาะสมที่ข้าออกมาเจอลูกชายท่าน ข้าขอยอมรับ แต่ท่านเป็นคนรู้หนังสือ ใครเป็นคนหาใครก่อน จดหมายฉบับนี้ชัดเจนที่สุด”
เสียงของนางดังเล็กน้อย พูดจาฉะฉาน “ท่านโยนโถอุจจาระมาใส่ข้า ข้ายอมรับไม่ได้ เพราะว่าท่านไม่ได้โยนมาให้ข้าแค่คนเดียว แต่โยนมาให้ครอบครัวข้าด้วย ข้าไม่มีความสามารถอะไร เผชิญหน้าต่อการถอนหมั้นที่หมั้นหมายมาหลายปีกะทันหัน ข้าทำได้เพียงยอมรับเงียบๆ แต่ข้าคือคุณหนูใหญ่จวนลั่ว ท่านพ่อข้าคือแม่ทัพใหญ่ฝ่ายซ้ายขั้นหนึ่ง มหาองครักษ์ของรัชทายาท ลูกสาวของเขาตายได้ แต่เป็นอนุให้ผู้อื่นไม่ได้เด็ดขาด!”
จู่ๆ ฝูงชนก็เงียบงันเมื่อได้ยินคำพูดหนักแน่นและเด็ดขาดของหญิงสาวที่มีใบหน้าซีดขาว
เถาฮูหยินยื่นมือไปรับจดหมายฉบับนั้นท่ามกลางความเงียบงัน
ภายใต้ท่าทีที่พยายามสงบนิ่งคือความโมโหและความอับอาย
ในความทรงจำของนาง คุณหนูใหญ่จวนลั่วท่านนี้ถือว่าเป็นคนซื่อๆ คิดไม่ถึงว่าจะพูดคำพูดเหล่านี้ออกมาภายใต้สายตาทุกคนได้
ที่น่าโมโหที่สุดคือ นางพกจดหมายฉบับนี้ติดตัวมาด้วย!
มือข้างหนึ่งหยิบจดหมายฉบับนั้นไปเร็วกว่าเถาฮูหยิน
นั่นคือมือที่งดงามอย่างยิ่ง
เรียวยาวและขาวเนียน ทั้งยังมีเรี่ยวแรง
เถาฮูหยินมองไปที่เจ้าของของมือข้างนั้นอย่างตะลึง
ลั่วเซิงถือจดหมายไว้แล้วยิ้ม “แม้เถาฮูหยินจะรู้หนังสือ แต่หากอ่านจบแล้วกินจดหมายลงไปจะทำอย่างไรเล่า”
“เจ้า…”
“อย่าเสียใจไปเลย ขนาดลูกชายท่านยังกล้ามาขอให้พี่ใหญ่ข้าเป็นอนุอย่างหน้าด้านๆ ก็อย่าหาว่าคนอื่นจะคิดไม่ดีกับพวกท่าน” ลั่วเซิงขัดขวางเถาฮูหยินอย่างไม่เกรงใจ นางชูจดหมายขึ้นถามฝูงชนว่า “มีคนรู้หนังสือหรือไม่ รบกวนช่วยอ่านจดหมายฉบับนี้หน่อย”
นางไม่ต้องดูจดหมายฉบับนี้ก็รู้ว่าในจดหมายไม่มีเนื้อหาเกินเลยอะไร
คนอย่างคุณชายใหญ่เถาที่อ้างตัวเป็นสุภาพบุรุษถ่อมตน แท้จริงแล้วเป็นคนหน้าซื่อใจคดและไร้ความสามารถที่สุด
“มี!” เสียงตะโกนดังมาทีละคนอย่างกระตือรือร้น
โอ้ สวรรค์ มามุงดูแล้วยังมีส่วนร่วมด้วย นะ… นี่มันเป็นโอกาสที่หาได้ยากอย่างยิ่ง!
“ข้าช่วยคุณหนูลั่วอ่านเอง”
“ข้าเอง!”
ลั่วเซิงยื่นจดหมายให้ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเป็นบัณฑิตท่านหนึ่งพลางส่งยิ้มปลอบประโลมให้ผู้คนที่มีใบหน้ากระตือรือร้นเหล่านั้น “ไม่ต้องรีบ ยังมีโอกาส”
ทุกคนรู้สึกว่าคำพูดนี้แปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมากและพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่จดหมายฉบับนั้น
บัณฑิตอ่านจดหมายฉบับนั้นออกมา
เป็นไปตามที่ลั่วเซิงคิด ในจดหมายมีเพียงไม่กี่ประโยค นอกจากความเสียใจที่มีต่อเรื่องการถอนหมั้นแล้ว ก็คือการนัดพบลั่วอิงที่โรงน้ำชา บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย
ลั่วเซิงมองไปที่เถาฮูหยิน “เถาฮูหยินได้ยินแล้วหรือไม่ สรุปว่าใครหาใครกันแน่ ตอนนี้ชัดเจนแล้ว?”
เถาฮูหยินสีหน้าขาวซีด อับอายอย่างหาที่สุดมิได้ แต่ก็ยังไม่ยอมให้อีกฝ่ายเหยียบติดพื้นแบบนี้ นางยิ้มหยันพูดว่า “ลูกชายข้าเป็นคนมีน้ำใจ กลัวว่าคุณหนูใหญ่ลั่วจะฆ่าตัวตายก็เลยอยากจะปลอบประโลมต่อหน้า แต่คุณหนูใหญ่ที่เป็นหญิงสาวนางหนึ่ง ทันทีที่ฝ่ายชายที่ถอนหมั้นไปแล้วนัดเจอก็ออกมาทันที เกรงว่าคงไม่เหมาะสมกับฐานะสตรีสูงศักดิ์”
ลั่วอิงหน้าซีดกว่าเดิม
ลั่วเซิงกลับยิ้มอย่างไม่แยแส “เถาฮูหยินคงไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ข้าก็เป็นคนมีน้ำใจเช่นกัน ลูกชายท่านกังวลว่าไม่คู่ควรกับพี่ใหญ่ข้าก็เลยถอนหมั้น พี่ใหญ่ข้าได้รับจดหมายของเขากลัวว่าเขาจะเสียใจจนนอนซม ก็เลยออกไปเจอเขาด้วยเจตนาที่ดี”
ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น ฝูงชนที่มุงดูก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายผิดปกติ
ที่ตระกูลเถาและตระกูลลั่วถอนหมั้นยังมีสาเหตุอย่างอื่นหรือ
ลั่วเซิงเมินสีหน้าตกใจของเถาฮูหยิน นางยิ้มและหยิบหลักฐานลายลักษณ์อักษรที่เถาฮูหยินเขียนเองกับมือออกมา ชูมือขึ้นถามฝูงชนว่า “ยังมีใครช่วยอ่านได้หรือไม่”
ฝูงชนต่างตื่นเต้น
ยังมีจดหมายอีกฉบับหรือนี่!
ที่แท้ที่เมื่อครู่นี้คุณหนูลั่วบอกว่ายังมีโอกาสคือเรื่องนี้นี่เอง!
สุดท้ายมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งได้รับโอกาสในการอ่านหลักฐานลายลักษณ์อักษร
เพื่อไม่ทำให้ความโชคดีแบบนี้เสียเปล่า ชายวัยกลางคนจึงอ่านเสียงดังฟังชัด
เมื่ออ่านจบ สายตาที่ทุกคนมองสองสามีภรรยารองเจ้ากรมเถาก็แปรเปลี่ยนไม่หยุด
เถาฮูหยินอับอายอย่างยิ่ง นางตะคอกอย่างโมโหว่า “แม่นางลั่ว เจ้าอย่ารังแกคนมากไปหน่อยเลย…”
“คนที่รังแกคนมากเกินไปคือจวนเถา! ฝ่ายที่ถอนหมั้นคือจวนท่าน ฝ่ายที่กุลีกุจอเข้าหาพี่ใหญ่ข้าก็คือจวนท่านเช่นกัน ไม่มีคำขอโทษจนถึงตอนนี้ด้วยซ้ำ ยังทำเป็นพูดจามีเหตุมีผล ยกตนข่มท่าน นี่คงไม่ใช่วิถีธรรมเนียมของจวนท่านหรอกนะ”
รองเจ้ากรมเถากดตัวเถาฮูหยินไว้ กำหมัดประสานมือให้ลั่วเซิง “ถอนหมั้นแล้วยังไปรบกวนท่านพี่เจ้าคือความผิดของลูกชายข้าจริงๆ ข้าต้องขอโทษจวนเจ้าด้วย”
ลั่วเซิงขมวดคิ้ว “รองเจ้ากรมเถาขอโทษด้วยการพูดด้วยปากแค่นี้หรือ ข้าไม่รู้สึกถึงความจริงใจเท่าไหร่เลย”
“คุณหนูลั่วคิดจะทำอย่างไร”
ลั่วเซิงยิ้มๆ “รองเจ้ากรมเถาย้อนถามข้า เช่นนั้นข้าก็ยิ่งไม่รู้สึกถึงความจริงใจ”
รองเจ้ากรมเถาแอบคิดในใจว่าเด็กสาวคนนี้รับมือด้วยยากจริงๆ เขาข่มความเจ็บปวดไว้แล้วพูดว่า “ข้าจะสั่งให้คนไปเตรียมเงินหนึ่งพันตำลึง เพื่อแสดงคำขอโทษ”
“หนึ่งพันตำลึง?” หงโต้วอุทาน “นี่… นี่มันยังไม่พอสำหรับอาหารหนึ่งมื้อในหอสุราของคุณหนูเราเลย”
“หงโต้ว” ลั่วเซิงตำหนิสาวใช้ ยิ้มขอโทษให้รองเจ้ากรมเถา “สาวใช้คนนี้ถูกข้าตามใจจนเสียคน ไม่รู้จักพูด แม้ว่าหนึ่งพันตำลึงจะน้อยไปเล็กน้อย แต่จวนลั่วให้ความสำคัญกับความจริงใจมากกว่า”
รองเจ้ากรมเถาโมโหมาก
การสูญเสียสินสอดมากมายเช่นนั้นสร้างความตึงเครียดให้กับจวนเถาอยู่แล้ว หนึ่งพันตำลึงนี่พูดได้ว่าซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ
แต่ว่ามีผู้คนมากมายมุงดูเช่นนี้ ต้องทำให้จบได้เร็วเท่าไรยิ่งดี
ไม่นานตั๋วเงินที่ใส่ไว้ในหีบสีแดงก็เตรียมเสร็จแล้ว
หงโต้วเบ้ปากรับไว้ “เงินแค่เล็กน้อยเท่านี้ยังต้องใส่ในหีบ จุ๊ๆ…”
รองเจ้ากรมเถาข่มความโมโห พูดหน้าขรึมว่า “คุณหนูลั่ว ข้าขอโทษแทนจวนเถาแล้ว ตอนนี้มาคุยเรื่องที่ทำให้ลูกชายข้าบาดเจ็บได้หรือยัง”
“เรื่องนี้คงไม่มีอะไรต้องคุย” ลั่วเซิงทำหน้าหมดความอดทน
รองเจ้ากรมเถาพูดเสียงเย็นชา “ลูกชายข้าพูดสิ่งที่ไม่เหมาะสมไป คุณหนูลั่วให้เขาขอโทษก็พอแล้ว เหตุใดต้องลงมือด้วย ลูกชายข้าเองก็เป็นคนมีชื่อเสียง คุณหนูลั่วประมาทเลินเล่อเช่นนี้ เห็นกฎหมายในสายตาหรือไม่”
ลั่วอิงแอบมองไปที่ลั่วเซิงด้วยความกังวล ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
หากนางไม่ออกมาเจอหน้าโดยพลการก็คงไม่มีเรื่องเหล่านี้ พูดไปแล้ว หายนะครั้งนี้นางเป็นคนเริ่มเอง
ลั่วเซิงถอนหายใจ “สมแล้วที่รองเจ้ากรมเถาเป็นคนทำงานในวงราชการ รู้จักพูดจากว่าเถาฮูหยินมาก แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งต้องพูดให้ชัดเจน คนจวนลั่วของเราไม่ได้ต่อยลูกชายท่าน”
เถาฮูหยินชี้ไปที่ใบหน้าบวมปูดของคุณชายใหญ่เถา ถามอย่างเกรี้ยวกราดว่า “พวกเจ้าไม่ได้ต่อย แล้วลูกชายข้าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
เสียงๆ หนึ่งดังขึ้น “ข้าเป็นคนต่อยเอง”
ผู้คนมากมายมองไปรอบๆ จนเมื่อสืออี้เดินออกมา พวกเขาจึงค้นพบชายหนุ่มที่กลืนหายไปกับฝูงชนมาโดยตลอด
“เจ้าคือใคร เหตุใดต้องทำร้ายลูกชายข้า”
สืออี้สีหน้าจริงจัง “ข้าคือองครักษ์ของไคหยางอ๋อง นายท่านเคยสั่งสอนพวกเรา ผ่านมาพบความอยุติธรรม ต้องชักดาบออกมาช่วยเหลือ”
ทันใดนั้นคนกลุ่มใหญ่ก็เดินตามไป
โรงน้ำชาห่างจากจวนเถาระยะหนึ่ง
เมื่อคนที่อยู่ตามทางเห็นขบวนกลุ่มนี้ ตามประสบการณ์อาศัยในเมืองหลวงที่สะสมมานาน พวกเขาก็ถามคนที่เดินตามข้างหลังทันที
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
“จวนรองเจ้ากรมเถาแห่งศาลต้าหลี่ไปถอนหมั้นกับจวนแม่ทัพใหญ่ลั่ว สุดท้ายคุณชายใหญ่เถานัดคุณหนูใหญ่ลั่วออกมา หลอกล่อให้คุณหนูมาเป็นอนุของเขา ก็เลยถูกคุณหนูลั่วจัดการ…”
“จุ๊ๆ แบบนี้ใจร้ายเกินไปแล้ว”
สถานะอย่างแม่ทัพใหญ่ลั่ว เกิดเรื่องทั้งทีทุกคนในเมืองหลวงล้วนจับตามอง ทันทีที่ได้ยินก็รู้ว่าเป็นเรื่องของจวนไหนแล้ว
“ก็นั่นน่ะสิ ถอนหมั้นก็ถอนหมั้นสิ ทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร ไม่ต่อยไม่ได้จริงๆ”
คนที่ได้ยินพยักหน้าไม่หยุด “ใช่แล้ว สมควรต่อย!”
ฝูงชนที่มามุงดูจำนวนมหาศาลรู้ที่มาที่ไปอย่างรวดเร็ว และล้วนเห็นพ้องต้องกันว่าคุณชายใหญ่เถาสมควรถูกจัดการ
ขบวนกลายเป็นขบวนยาว เร่งมุ่งไปทางจวนเถาอย่างยิ่งใหญ่
บังเอิญเป็นวันหยุดพอดี รองเจ้ากรมเถากำลังดื่มชากับเถาฮูหยิน
“เหตุใดวันนี้นายท่านไม่ออกไปพบปะเพื่อนฝูงเล่า”
รองเจ้ากรมเถาถอนหายใจ “ถอนหมั้นไม่ใช่เรื่องน่ายินดี อยู่บ้านเงียบๆ สักพักดีกว่า”
หากไม่มีเรื่องประจบประแจงแม่ทัพใหญ่ลั่วเพื่อขึ้นเป็นรองเจ้ากรมแห่งศาลต้าหลี่ในครานั้น ครอบครัวที่หมั้นหมายกันแล้วเกิดปัญหา การถอนหมั้นก็คงไม่ต้องกลัวผู้อื่นจะมีความเห็น
แต่เนื่องจากเคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ แม้แม่ทัพใหญ่ลั่วจะไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น แต่ตระกูลเถาถอนหมั้นเวลาแบบนี้ก็ต้องถูกคนอื่นซุบซิบนินทาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ครานั้นไม่ควรหมั้นหมายกับครอบครัวแบบนี้เลย” เถาฮูหยินคิดถึงเรื่องเหล่านี้แล้วก็รู้สึกแย่
รองเจ้ากรมเถาหรี่ตามองนาง พูดเสียงราบเรียบว่า “แล้วเจ้าไม่ใช่ฮูหยินรองเจ้ากรมหรืออย่างไร”
เถาฮูหยินพูดไม่ออก
ทั้งสองดื่มชาเงียบๆ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าชาไร้รสชาติ
ขณะที่กำลังเงียบ คนใช้คนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ “นายท่าน ฮูหยิน แย่แล้วขอรับ!”
“เรื่องอะไรหรือ” รองเจ้ากรมเถาวางจอกชาลง ขมวดคิ้วถาม
“คะ คุณหนูลั่วมาแล้ว…”
เถาฮูหยินหน้าเย็นชา “นางมาทำไม”
สองครอบครัวไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว นังหนูนั่นจะมาอาละวาดอะไรอีก
ถอนหมั้นไปแล้ว หากอาละวาดต่อไปอย่าหาว่าจวนเถาไม่เกรงใจ!
“นาง นางต่อยคุณชายใหญ่ และยังมีฝูงชนตามมาดูมากมาย!”
“อะไรนะ” รองเจ้ากรมเถาและเถาฮูหยินลุกพรวด สีหน้าตื่นตระหนก
ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งแล้วรีบเดินออกไปโดยไม่สนใจอย่างอื่น
ด้านนอกประตูมีผู้คนมากมายวิพากวิจารณ์และชี้ไปที่ประตูสีแดง
ลั่วเซิงยืนอยู่ด้านหน้าสุด มองประตูด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ลั่วอิงผู้สวมหมวกผ้าโปร่งยืนอยู่ข้างนาง ข้างหลังคือโค่วเอ๋อร์และหงโต้วที่จับตัวคุณชายใหญ่เถาไว้
ใช่แล้ว ตอนที่ใกล้จะถึงจวนเถา ในที่สุดหงโต้วก็แสดงความแข็งแกร่งของสาวใช้ใหญ่ของนาง แย่งผลงานในมือของสืออี้มา
แม้นางจะไม่ได้เป็นคนจัดการคนๆ นี้ แต่ผลงานอยู่ในมือของนางก็ไม่เลว
ส่วนสืออี้ เขาถูกเบียดไปข้างๆ นานแล้ว จนแทบจะกลืนหายไปกับฝูงชน
เถาฮูหยินเดินออกมาอย่างเร่งรีบ ทันทีที่สายตาหยุดอยู่ที่ลูกชาย นางก็โถมตัววิ่งเข้าไป “ต้าหลัง…”
พวกเขากล้าดีอย่างไร!
“ต้าหลัง ต้าหลังเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ของเถาฮูหยิน คุณชายใหญ่เถาก็ขยับเปลือกตาเบาๆ
เขาไม่ได้สลบ แค่ไม่สามารถดิ้นหนีไปได้ ถูกคนมองมากมายเช่นนี้ เขาทำได้เพียงแกล้งสลบ จะได้ไม่ขายหน้า
หงโต้วไม่อนุญาตให้คุณชายใหญ่เถาหนีปัญหาแบบนี้แน่นอน ทันทีที่เห็นเถาฮูหยินร้องห่มร้องไห้ นางก็รีบพูดว่า “เถาฮูหยินร้องราวกับลูกชายตายแล้วอย่างไรอย่างนั้น ลูกชายท่านแค่บาดเจ็บนิดหน่อยเท่านั้น”
“นิดหน่อย? นิดหน่อยจะเป็นเช่นนี้…”
ยังไม่ทันพูดจบ คุณชายใหญ่เถาก็ถูกหงโต้วหยิกอย่างแรง จนเขาร้องอุทานออกมา
หงโต้วเบ้ปาก “เถาฮูหยินดูสิ ข้าไม่ได้โกหกใช่หรือไม่”
จากประสบการณ์ในการต่อสู้กับนักสู้ไร้เทียมทานทั่วเมืองหลวงของนางยามติดตามคุณหนู แค่ดูก็รู้ว่าคนๆ นี้แกล้งสลบ
สือซื่อหั่วทึ่มเกินไป คุณหนูบอกให้เขาต่อยคนให้กลายเป็นหัวหมู เขาก็ทำตามโดยต่อยแค่ที่หน้า ไม่ได้ทำให้บาดเจ็บภายในเลย
เจ้าหมอนี่ได้เปรียบจริงๆ
“ต้าหลัง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เถาฮูหยินไม่มีจิตใจสนใจเรื่องต่อสู้ นางกังวลเพียงอาการบาดเจ็บของลูกชาย
คุณชายใหญ่เถามองนางอย่างอ่อนแรง
เถาฮูหยินตกใจกับใบหน้าที่บวมปูดของลูกชายจนกรีดร้องออกมา “รีบเชิญหมอมา!”
คนจวนเถาทะลักเข้ามา ทำท่าจะหามคุณชายใหญ่เถาไป
“ช้าก่อน”
เถาฮูหยินมองเด็กสาวที่เอ่ยขึ้น
“เถาฮูหยินหามคนกลับไปแบบนี้ ไม่ต้องอธิบายอะไรให้จวนลั่วฟังหน่อยหรือ”
เถาฮูหยินเดือดดาล “คุณหนูลั่ว เจ้าอย่ารังแกคนเกินไป เรื่องที่ทำให้ลูกชายข้าบาดเจ็บไม่จบแค่นี้แน่ เราเจอกันที่ศาลาว่าการ!”
“เจอกันที่ศาลาว่าการหรือ” ลั่วเซิงยิ้ม “พอดีเลย รู้เช่นนี้แต่แรกว่าเถาฮูหยินเด็ดขาดเช่นนี้ ข้าก็ไม่ควรไว้หน้าจวนท่าน พาคุณชายใหญ่เถาไปศาลาว่าการรอตั้งนานแล้ว”
เห็นลั่วเซิงหันหลังจะเดินไป รองเจ้ากรมเถาก็เรียก “คุณหนูลั่ว มีอะไรคุยกันให้ชัดเจน”
ลั่วเซิงหยุดเดิน หันกลับมามองรองเจ้ากรมเถา ยิ้มพูดว่า “ที่แท้รองเจ้ากรมเถาก็อยู่หรือ ไม่ได้ออกไปพบปะเพื่อนฝูงหรือเจ้าคะ”
รองเจ้ากรมเถาหน้าแดง
คำพูดนี้ฟังแล้วปกติดี แต่พูดในยามนี้แล้วรู้สึกเหมือนกำลังประชดเขา
“เหตุใดคุณหนูลั่วถึงลงมือกับลูกชายข้า”
รองเจ้ากรมเถาถามอย่างเข้มงวด ลั่วเซิงก็ตอบอย่างตั้งใจ “เพราะเขาวอนโดน”
เถาฮูหยินโมโหจนคลั่ง “ต้าหลังของเรานิสัยดี ปกติพูดกับใครไม่เคยขึ้นเสียง ขัดเคืองคุณหนูลั่วอย่างไรกันแน่ ถึงทำให้เจ้าลงมือหนักเช่นนี้”
ลั่วเซิงยิ้มหยัน “จวนท่านลุกลี้ลุกลนมาถอนหมั้นในยามครอบครัวข้าเดือดร้อน ลูกชายท่านนอกจากจะไม่รู้จักอับอายแล้ว ยังมาหลอกให้พี่ใหญ่ข้าไปเป็นอนุในอนาคตของเขา ทุกคนคิดว่าคนสารเลวที่ไร้ยางอายแบบนี้สมควรตีหรือไม่”
“สมควร!” ผู้คนที่มุงดูไม่กลัวเรื่องจะบานปลาย พากันประสานเสียง
“ต้าหลัง เจ้าไปพบคุณหนูใหญ่ลั่วมาหรือ” เถาฮูหยินมองบุตรชายอย่างตะลึง
คำพูดเหล่านั้นของนางแค่ต้องการเกลี้ยกล่อมให้บุตรชายตั้งใจอ่านหนังสือ เป็นแค่แผนการถ่วงเวลา บุตรชายกลับแอบไปเจอนังสารเลวสกุลลั่วนั่น
เถาฮูหยินถลึงตามองลั่วอิง พูดประชดว่า “จวนแม่ทัพใหญ่เป็นครอบครัวใหญ่โตมีชื่อเสียง ลูกชายข้าอยากเจอคุณหนูใหญ่ลั่วก็เจอได้หรือ คุณหนูลั่วบอกว่าลูกชายข้าหลอกพี่สาวเจ้า เหตุใดไม่ถามพี่สาวเจ้าว่าเหตุใดจึงอยู่กับลูกชายข้า คุณหนูลั่วอาจจะเข้าใจผิดไปแล้ว ใครจะไปรู้ว่าพี่สาวเจ้าเป็นคนอยากเจอลูกชายข้ามากกว่าหรือเปล่า”
เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้น เสียงเซ็งแซ่ก็หยุดลงในทันใด ดวงตาหลายคู่หยุดอยู่ที่หญิงสาวที่สวมหมวกผ้าโปร่ง
เถาฮูหยินพูด… มีเหตุผล
ลี่ว์เอ้อร้อนรนจนน้ำตาคลอ
นางว่าแล้วว่าเรื่องแบบนี้คนที่เสียเปรียบคือคุณหนูของพวกนางอยู่ดี คุณหนูสามผลีผลามเกินไปแล้ว
ลั่วอิงยอมทนคำพูดทิ่มแทงของเถาฮูหยินผ่านผ้าโปร่งของหมวก ปล่อยให้สายตามากมายมองอย่างตำหนิ นางมองเพียงชายสภาพทุลักทุเลคนนั้น
แต่คนๆ นั้นไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
จู่ๆ นางก็ยกมือขึ้นถอดหมวกผ้าโปร่งโยนลงพื้น เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามทว่าซีดเซียว
[1] ตงซิว หมายถึง ช่วงว่างของฤดูหนาวที่ไม่ต้องทำนา