ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 301 คุก
ตอนที่ 301 คุก
หลินเถิงสาวเท้ายาวๆ เดินออกมาจากศาลาว่าการมายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าลั่วเซิง
เขายังคงมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง แต่สายตากลับแฝงความอ่อนโยน “คุณหนูลั่วมาได้อย่างไร?”
“คุณชายใหญ่หลิน ข้าอยากพบใต้เท้าเสนาบดีเจ้าค่ะ”
หลินเถิงกวาดตามองกล่องอาหารในมือของลั่วเซิง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คุณหนูลั่วตามข้าเข้ามาเถอะ”
“ขอบคุณคุณชายใหญ่หลิน” ลั่วเซิงตามไปอย่างเงียบๆ
หลินเถิงเดินไปด้านหน้าโดยไม่เหลือบมองมาสักนิด ความเงียบของเด็กสาวที่อยู่ข้างกายทำให้เขาต้องกวาดตามองอย่างอดไม่ได้
เด็กสาวใบหน้านิ่งสงบ ท่าทางสุขุม ไม่รู้สึกถึงความหวาดกลัวต่อภัยพิบัติที่กำลังมาถึงจากตัวนางเลยแม้แต่น้อย
สิ่งนี้ทำให้หลินเถิงแปลกใจเล็กน้อย
เขาทำงานอยู่ที่กรมยุติธรรม พบเจอคนประเภทต่างๆ มาไม่น้อย แต่คนที่นิ่งเฉยเมื่อเจอปัญหากลับพบเจอไม่มากนัก
โดยเฉพาะคนที่ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง
ความนิ่งสงบต่อปัญหาที่กำลังเข้ามาเช่นนี้ โดยปกติมักเป็นคนที่ผ่านอุปสรรคมากมายมาก่อน ซึ่งคนประเภทนี้มักเป็นผู้ที่มีอายุมากและประสบพบเจอเรื่องต่างๆ มามากมาย
แต่เด็กสาวที่เดินอยู่ข้างกายเขามีอายุเพียงสิบกว่าปีทั้งยังเป็นแก้วตาดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว
หลินเถิงเกิดความสงสัยในใจขึ้นมา มักคิดว่าคุณหนูลั่วไม่ควรเป็นคุณหนูลั่วในรูปแบบนี้
แต่คุณหนูลั่วในรูปแบบนี้กลับทำให้เขารู้สึกเห็นใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หลินเถิงเปิดปากพูด “คุณหนูลั่วมาหาใต้เท้าเพราะเรื่องท่านพ่อของท่านใช่หรือไม่?”
ลั่วเซิงยอมรับอย่างนิ่งเฉย “เจ้าค่ะ”
บรรยากาศระหว่างสองคนจมลงสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
จนกระทั่งเกือบถึงขั้นบันได ชายหนุ่มก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำดังเข้าไปในหูของลั่วเซิง “ใต้เท้าของพวกเราไม่อาจเห็นคนร้องไห้ได้”
หลายครั้ง ใต้เท้าจ้าวมักอ้างว่าเขารู้สึกแย่เมื่อเห็นเจ้าทุกข์ร้องไห้หลั่งน้ำตาอย่างทรมานจึงเอาคดีความทั้งหมดทั้งมวลมอบให้เขารับผิดชอบ
แม้จะบอกว่าใต้เท้าจ้าวดูน่าสงสัยในการโยนงานให้ผู้อื่นรับผิดชอบ แต่หากเห็นเด็กสาวน้ำตาไหลพรากมากน้อยก็ต้องใจอ่อนกระมัง
ลั่วเซิงชะงักฝีเท้าเล็กน้อยแล้วยิ้มให้กับหลินเถิง
หลินเถิงใบหูแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เขาไม่ได้มีความคิดเป็นอย่างอื่น เพียงแต่คิดถึงอาหารเลิศรสที่เคยได้ลิ้มลองที่มีหอสุราขึ้นมาจึงกล่าวเตือนสักประโยคภายในขอบเขตที่ทำได้
เพราะทุกครั้งที่เขาพาญาติผู้น้องไปดื่มสุรา ไม่เพียงแต่คิดครึ่งราคา แต่ยังมอบเครื่องเคียงให้อีกด้วย คุณหนูลั่วเองก็ไม่ได้ทำอะไรน้องชายเช่นกัน
“ใต้เท้า ข้าหลินเถิงขอรับ”
“เข้ามา”
เสนาบดีจ้าวกำลังปวดหัวกับคดีความของแม่ทัพใหญ่ลั่วอยู่พอดี เมื่อได้ยินเสียงของหลินเถิงก็รีบเรียกให้เข้ามาทันที จากนั้นก็พบว่ายังมีเด็กสาวอีกคนตามมาด้วย
“คุณหนูลั่ว?” เสนาบดีจ้าวตกใจเสียจนเคราเกือบหลุด จากนั้นก็จ้องไปที่หลินเถิง
เจ้าเด็กสารเลวนี่พาคุณหนูลั่วเข้ามาได้อย่างไร?
ตอนนี้แม่ทัพใหญ่ลั่วยังถูกคุมขังอยู่ที่กรมยุติธรรมโดยที่ยังไม่รู้ว่าโทษฐานคืออะไร ขอบเขตของผู้ที่เกี่ยวข้องคือใคร การที่พาคุณหนูลั่วเข้ามาพบเขาในตอนนี้ถือเป็นการเพิ่มปัญหาชัดๆ!
หลินเถิงประสานมือ “ใต้เท้า ตอนที่ข้าน้อยออกไปบังเอิญพบคุณหนูลั่วที่กำลังมาส่งอาหารให้ท่านพอดี จึงพานางเข้ามาด้วยขอรับ”
ส่งอาหาร?
หากเป็นเช่นนั้น เจ้าเด็กนี่ก็ไม่ได้ซื่อบื้อขนาดนั้น
เสนาบดีจ้าวไม่โมโหอีกต่อไป เขาปรับสีหน้าให้เป็นปกติมองไปที่ลั่วเซิง…และกล่องอาหารในมือ
ถือกล่องอาหารมาจริงๆ ด้วย
“เสนาบดีจ้าว” ลั่วเซิงย่อเข่าทำความเคารพ
เสนาบดีจ้าวมองสาวน้อยที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจนัก
เขาคุ้นชินกับการได้ยินคุณหนูลั่วเรียกเขาว่าท่านลูกค้าด้วยรอยยิ้มสดใสในมีหอสุรา แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปเขาก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณหนูลั่วไม่ต้องมากพิธี เจ้ามาเพื่อ…”
ทันใดนั้น เด็กสาวที่นั่งนิ่งอยู่ตรงหน้าก็น้ำตาไหลราวกับสายฝน “ข้าอยากพบท่านพ่อ…”
แววตาของเสนาบดีจ้าวแข็งทื่อ
ทำ ทำไมจู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมาเล่า?
ไหนบอกว่ามาส่งอาหารให้เขาอย่างไรเล่า?
ถูกต้อง เขารู้แน่นอนว่าสาวน้อยเข้ามาเพื่อขอพบท่านพ่อของตนเอง แต่การร้องไห้ทันทีที่มาถึงนั้นเขาไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อน
เสนาบดีจ้าวรู้สึกปวดสมองในทันทีพลางมองหลินเถิงด้วยความโหดเหี้ยม
หลินเถิงเองก็งุนงงเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายเอ่ยเตือนก่อน แต่คุณหนูลั่วร้องไห้รวดเร็วเกินไปหรือไม่?
“คุณหนูลั่ว เจ้าอย่าร้องไห้เลย ร้องไปก็ไม่มีประโยชน์…” เสนาบดีจ้าวเอ่ยเตือนห้วนๆ
น้ำตาของเด็กสาวไหลหนักขึ้นเรื่อยๆ นางร้องไห้พลางวางกล่องอาหารลงและหยิบอาหารรสเลิศออกมาทีละชั้น
สายตาของเสนาบดีจ้าวจ้องมองอาหารตาไม่กะพริบ
เนื้อตุ๋น ลิ้นเป็ดกระเทียม อาหารเหล่านี้มักกินเป็นประจำและยังได้เห็นเนื้อฝูหรง เป็ดดอกซิ่ง แกงปลาเงินที่ยังไม่เคยกินที่มีหอสุรามาก่อน…รวมทั้งของหวานหลากหลายสีสัน
เสนาบดีจ้าวแอบกลืนน้ำลายอย่างเงียบๆ
อาหารมากมายเช่นนี้ ต้องใช้เงินหลายร้อยตำลึงเลยทีเดียว
“จู่ๆ ท่านพ่อก็ถูกนำตัวไป ในจวนจึงวุ่นวายไปหมด ตอนนั้นข้ายังวุ่นกับงานในหอสุรายังไม่ได้พบหน้ากับท่านพ่อจึงมาที่นี่… ซึ่งถึงเวลาอาหารพอดี ข้าเลยนำเครื่องเคียงหลายอย่างมาให้เสนาบดีจ้าวด้วย เสนาบดีจ้าวโปรดอย่าได้รังเกียจ”
“ไม่รังเกียจ…” เสนาบดีจ้าวพูดโพล่งออกมา จากนั้นก็รู้สึกเสียใจจนอยากจะดึงเคราตนเอง
พูดมั่วซั่วอะไรเนี่ย รับอาหารแกล้มเหล้ามาจากผู้อื่นก็เหมือนกับตกปากรับคำขอร้องจากผู้อื่นแล้วสิ
เด็กสาวน้ำตานอง ขอร้องเสียงนุ่มว่า “เสนาบดีจ้าวให้ข้าพบท่านพ่อสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่เข้าไปด้านในก็ได้ ขอเพียงมองผ่านลูกกรงก็พอเจ้าค่ะ”
เสนาบดีจ้าวมองเด็กสาวที่ร้องไห้ และมองเนื้อฝูหรงที่ไม่เคยกินมาก่อน
และเหลือบมองเด็กสาวที่ร้องไห้อีกครั้ง จากนั้นก็เหลือบมองเป็ดดอกซิ่งที่ยังไม่เคยได้ลิ้มรส…
เสนาบดีเฒ่าเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดภายในใจ จากนั้นก็พยักหน้าพูดว่า “หลินเถิง พาคุณหนูลั่วไปพบแม่ทัพใหญ่ลั่ว”
“ขอบคุณเสนาบดีจ้าวมากเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงย่อกายทำความเคารพแล้วตามหลินเถิงออกไป
เสนาบดีจ้าวรู้สึกสงบลงในทันที เมื่อเห็นอาหารที่จัดวางอยู่บนโต๊ะก็ลูบเคราพลางยิ้ม
เมื่ออายุปูนนี้แล้ว เขาก็เข้าใจในเหตุผลที่ว่าไม่ควรเด็ดขาดกับทุกเรื่องจนเกินไป การให้สาวน้อยพบเจอท่านพ่อเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สาวน้อยคนหนึ่งคงไม่อาจทำเรื่องอย่างการปล้นคุกได้แน่
ยิ่งไปกว่านั้น เขาและแม่ทัพใหญ่ลั่วยังมีความสนิทสนมส่วนตัวด้วย
เสนาบดีจ้าวยกตะเกียบคีบเป็ดดอกซิ่งและกินลงไปด้วยสีหน้าที่ทั้งพึงพอใจและเสียใจ
อาหารใหม่ของหอสุราอร่อยเกินความคาดหมายจริงๆ ด้วย น่าเสียดายที่ยังไม่อาจทราบว่ายังจะสามารถเปิดต่อไปได้หรือไม่
การปล่อยตัวบุตรชายเพียงคนเดียวของขุนนางกบฏไป โทษฐานที่เบาที่สุดคือการตัดศีรษะและริบทรัพย์ทั้งตระกูล หากร้ายแรงมากก็ส่งกระทบต่อทั้งตระกูล ผู้ชายถูกตัดศีรษะและเนรเทศส่วนผู้หญิงจะถูกส่งเข้าสำนักการสังคีต
ถึงตอนนั้น เกรงว่าจะไม่มีหอสุราที่คุณหนูลั่วเปิดบนถนนชิงซิ่งอีกแล้ว
เมื่อคิดเช่นนั้น เสนาบดีจ้าวก็ถอนหายใจเบาๆ
ลั่วเซิงเดินมายังด้านนอก สีหน้านางพลันไร้อารมณ์ดังเดิมทันที ทำเอาหลินเถิงต้องเหลือบมองนางหลายครั้งอย่างอดไม่ได้
ลั่วเซิงมองเข้ามา “คุณชายใหญ่หลินมีสิ่งใดจะพูดหรือไม่?”
“เอ่อ ไม่มี” หลินเถิงรีบปฏิเสธ สิ่งที่อยู่ภายใต้รูปลักษณ์ที่เคร่งขรึมจริงจังคือหัวใจที่สับสน
น้ำตาของคุณหนูลั่วมาอย่างว่องไวและหายไปอย่างว่องไวเช่นกัน เด็กสาวเป็นแบบนี้ทั้งหมดเลยงั้นหรือ?
“ใต้เท้า” พัศดีที่เฝ้าประตูคุกใหญ่เห็นหลินเถิงเข้ามาก็รีบทำความเคารพ
หลินเถิงพยักหน้าเล็กน้อยและพาลั่วเซิงเดินเข้าไป
เมื่อเข้าไปด้านในก็มองไม่เห็นแสงสว่างในทันที มีเพียงความชื้นมืดมิดที่ส่งกลิ่นเหม็นอับและมีเสียงดังขึ้นเป็นระยะ
ทันใดนั้น หนูตัวใหญ่ตัวหนึ่งก็ลอดออกมา
บางทีอาจเป็นเพราะสถานที่มืดมิดแห่งนี้ทำให้หนูตัวอ้วนกล้าหาญมากขึ้น มันหยุดลงตรงหน้าพวกเขาสองคนไม่ยอมไปไหน
หลินเถิงชะงักฝีเท้าเล็กน้อย จิตใต้สำนึกก็พลันนึกถึงงูเขียวที่ออกมาจากรูต้นไม้ตัวนั้น
ดูเหมือนว่านับตั้งแต่ตอนนั้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกดีกับสิ่งเล็กๆ พวกนี้อีกเลย
ลั่วเซิงไม่รู้เลยว่าหนูที่วิ่งออกมากะทันหันได้กระตุ้นความเจ็บปวดที่มีอยู่ในใจของคนข้างๆ เข้าเสียแล้ว เมื่อเห็นว่าหนูขวางทางอยู่ นางก็ก้าวเท้าเข้าไปเตะหนูตัวอ้วนจนกระเด็น
หลินเถิง “…”