ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 210 ควบคุมหัวใจตนเองไม่ได้
ตอนที่ 210 ควบคุมหัวใจตนเองไม่ได้
ลั่วเซิงยิ้ม เดินไปข้างหน้าพลางพูดอย่างสบายๆ ว่า “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ คนที่อยากเป็นเพื่อนกับท่านอ๋องนั้นมีมากถมไป”
เว่ยหานมองนางแล้วพูดว่า “แต่คนที่ข้าอยากเป็นเพื่อนด้วยมีไม่มาก”
ลั่วเซิงสบตากับเขา
ชายหนุ่มถือหมูป่าและกระต่ายยิ้มน้อยๆ “คนที่ข้าอยากเป็นเพื่อนด้วยมากที่สุดคือคุณหนูลั่ว”
ลั่วเซิงมองชายหนุ่มที่มีสีหน้าจริงจังแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ
เพื่ออาหารแล้วไคหยางอ๋องยอมทำทุกวิถีทางจริงๆ
“คุณหนูลั่วยินยอมหรือไม่”
ลั่วเซิงเงียบครู่หนึ่ง ยิ้มเล็กน้อย “เป็นเกียรติของข้าที่ได้เป็นเพื่อนกับท่านอ๋อง”
แน่นอนว่าเว่ยหานไม่ถือคำตอบตามมารยาทนี้เป็นเรื่องจริง แต่กลับรู้สึกผ่อนคลายลงมาก
ไม่ว่าอย่างไร คุณหนูลั่วก็เป็นคนพูดเอง
พวกเขาเป็นเพื่อนที่ยอมรับซึ่งกันและกันแล้ว
เป็นเพื่อนก่อน ค่อยเป็นเพื่อนสนิท ค่อยๆ เป็นขั้นเป็นตอน จะใจร้อนไม่ได้
เว่ยหานคิดไปไกลถึงตอนที่ได้เป็นเพื่อนสนิทกับเด็กสาวข้างกาย อยากกินอะไรก็สั่งได้ ไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกปฏิเสธอีก รู้สึกว่าอนาคตสดใสไร้ที่สิ้นสุด
ลั่วเซิงมองชายข้างกายเผยรอยยิ้มทึ่มทื่อออกมาด้วยสายตาเย็นชา อดกลอกตาไม่ได้
ไม่รู้ว่าคนแบบนี้เป็นผู้นำกองทัพนับพันนับหมื่นคนได้อย่างไร แค่ศัตรูยื่นขาหมูให้เขาก็คงถูกล่อไปแล้ว
เว่ยหานจับสังเกตท่ากลอกตาของเด็กสาวได้ เขาชะงักไปเล็กน้อย
เขาไม่เคยเห็นคุณหนูลั่วทำหน้าแบบนี้เลย
คุณหนูลั่วในความทรงจำของเขา นางเป็นคนเฉยเมยและสงบนิ่ง กระทั่งดูเย็นชา
ส่วนเด็กสาวที่เคยเข้าหาและขวางเขาไว้บนถนนในเมืองหลวง อันที่จริงนั้นเลือนรางไปนานแล้ว
คุณหนูลั่วที่แอบกลอกตาเช่นนี้ก็เหมือนจะน่ารักดีเหมือนกัน…
ขณะที่คิดเช่นนี้ จู่ๆ เว่ยหานก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้น อดมองเด็กสาวข้างกายนานขึ้นไม่ได้
เพราะว่าหัวใจเต้นผิดปกติ ใบหน้ากลับยิ่งจริงจังกว่าเดิม
เผยความผิดปกติให้คุณหนูลั่วเห็นคงไม่ดี
“ท่านอ๋องมีอะไรหรือ” ลั่วเซิงรู้สึกว่าเว่ยหานมองนางจึงเอ่ยถามเสียงเรียบ
ชายหนุ่มตกใจ เผลอโพล่งออกมาว่า “คุณหนูลั่วยิ้มบ่อยๆ จะน่ามองกว่าเดิม”
ลั่วเซิงหยุดฝีเท้ากะทันหัน สีหน้าสงบนิ่งของนางปรากฏรอยปริแตก
คนผู้นี้มองนางด้วยสีหน้าจริงจังเพื่อจะพูดเรื่องนี้หรือ
เว่ยหานตกใจกับการตอบสนองของลั่วเซิง “เท้าแพลงหรือ”
ลั่วเซิงปิดปากแน่นไม่พูดอะไร
ยิ้มแล้วน่ามองกว่าเดิมหรือ
เมื่อครู่นี้พูดดีด้วยหน่อย เจ้าคนผู้นี้ก็ได้คืบจะเอาศอก
รู้เช่นนี้แต่แรก…
รู้เช่นนี้แต่แรกแล้วจะทำไม ลั่วเซิงไม่ได้คิดต่อไป เพียงเห็นชายหนุ่มเผยสีหน้าตระหนกตกใจก็บังเกิดความรู้สึกอยากจะถีบเขาสักที
เว่ยหานกลับเข้าใจว่าความเงียบของลั่วเซิงคือการยอมรับ
เขาวางหมูป่าที่แบกไว้ลง พูดกับลั่วเซิงด้วยน้ำเสียงหารือว่า “คุณหนูลั่ว หากไม่ไหวจริงๆ ให้ข้าแบกเจ้าเถอะ”
ลั่วเซิงกระตุกมุมปาก
นางยังไม่ได้พูดอะไรเลย เขาก็พัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงขั้นจะแบกนางแล้ว
จู่ๆ ตอนนี้นางรู้สึกว่านางไม่ได้เข้าใจผิด
เว่ยหานเข้าใจว่าความเงียบของลั่วเซิงว่าคือการยินยอมอีกครั้ง เขาย่อตัวลงอย่างมั่นคง รอให้เด็กสาวเท้าแพลงขึ้นหลังเขา
รองเท้าหนังกวางคู่หนึ่งปรากฏในสายตา จากนั้นก็เดินไกลออกไป
สิ่งที่ไปพร้อมกันยังมีชายกระโปรงสีเขียว
เว่ยหานชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะรีบตามไป “คุณหนูลั่ว เจ้าไม่เป็นอะไรหรือ”
ลั่วเซิงโมโหจนหัวเราะออกมา “ท่านอ๋องอยากให้ข้าเป็นอะไรมากหรือ จะได้แบกข้ากลับไปสินะ”
“ข้าไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนั้น” เว่ยหานปฏิเสธ หูแดงเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าเมื่อครู่นี้คิดว่าต้องแบกคุณหนูลั่ว เขาจะรู้สึกมีความสุขอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่เขาหวังยิ่งกว่าว่าคุณหนูลั่วจะไม่เป็นอะไร
ปลอดภัยสงบสุข ราบรื่นไร้ความกังวล
ลั่วเซิงเห็นแก้มเยือกเย็นของเขาถูกสีแดงเข้มอาบย้อมจนเป็นสีแดง จู่ๆ ก็พูดไม่ออก
ช่างเถอะ นางจะถือสาคนที่เอาแต่จะคิดขอข้าวกินไปไย
ลั่วเซิงก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
“คุณหนูลั่ว ช้าก่อน เนื้อหมูป่าและเนื้อกระต่ายไม่ได้เอาไปด้วย”
ลั่วเซิง “…”
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปพักหนึ่ง จู่ๆ ลั่วเซิงก็ขมวดคิ้ว
นางเหลือบเห็นลั่วฉิงเดินเข้าไปในป่ากับผิงลี่
ลั่วเซิงไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องคนอื่น แต่การไล่สังหารระหว่างทางกลับเมืองหลวงนั้น ทำให้นางระแวดระวังลูกบุญธรรมของแม่ทัพใหญ่ลั่ว
เมื่อก่อนนางรู้สึกว่าลั่วฉิงปฏิบัติต่อผิงลี่อย่างแตกต่าง บัดนี้ทั้งสองยังเดินเข้าไปในป่าลึกด้วยกัน นี่เป็นเพียงความรักหนุ่มสาวทั่วไป หรือว่าอย่างอื่น
คุณหนูลั่วเป็นบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของแม่ทัพใหญ่ลั่ว อันที่จริงจุดประสงค์ในการไล่ล่าสังหารคุณหนูลั่วนั้นต้องการพุ่งเป้าไปที่แม่ทัพใหญ่ลั่วมากกว่า
หากผิงลี่มีปัญหา ความสนิทสนมของลั่วฉิงและเขาคือเรื่องร้ายมิใช่เรื่องดี
ลั่วเซิงหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน “ท่านอ๋องส่งของไปที่ข้าก่อนเถอะเจ้าค่ะ จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่ามีธุระอย่างอื่นต้องทำ คงไม่กลับพร้อมท่านอ๋องแล้ว”
เมื่อเห็นลั่วเซิงมีสีหน้าจริงจัง เว่ยหานก็พยักหน้าอย่างรู้กาลเทศะ “ได้”
จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่พูดมากความอีก
ลั่วเซิงเห็นเขาทำเช่นนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายลง
ในด้านนี้แล้ว ไคหยางอ๋องถือว่าไม่เลว
นางไม่ชอบเป็นเพื่อนกับคนที่คิดว่าตนเองถูกต้องแล้วยังสร้างปัญหา
ลั่วเซิงจับลูกธนูที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ เดินเข้าไปในป่าเงียบๆ
ต้นไม้และต้นหญ้าในป่าลึกทำให้ซ่อนตัวได้ง่าย
เสียงสนทนาดังขึ้นผ่านพงหญ้า
“เหตุใดพี่ใหญ่จึงคิดอยากจะถามความสัมพันธ์ของน้องสามและไคหยางอ๋องเจ้าคะ”
เสียงของชายหนุ่มดังขึ้น “ช่วงนี้ข้าเห็นคุณหนูสามใกล้ชิดกับไคหยางอ๋อง รู้สึกสงสัยก็เลยถาม ท่านพ่อบุญธรรมรักคุณหนูสามที่สุด หากคุณหนูสามมีเรื่องอะไรจะได้รายงานท่านพ่อให้รับทราบ”
ลั่วฉิงยิ้ม “พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรายงานท่านพ่อ ความสัมพันธ์ของน้องสามและไคหยางอ๋องเปิดเผยชัดเจน หากมีอะไรจริงๆ ท่านพ่อย่อมมองเห็น”
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วฉิง ผิงลี่ก็ทำตัวไม่ถูก เขาลูบจมูกเบาๆ พูดว่า “ข้าชินกับการคิดมากไปแล้ว ทำให้น้องรองขบขันแล้ว”
เขาอมยิ้มมองคนตรงหน้า ลั่วฉิงอดก้มศีรษะลงเล็กน้อยไม่ได้ นางพูดเสียงเบาลงว่า “ข้าไม่ได้ขบขันพี่ใหญ่…”
มือข้างหนึ่งกุมมือของนางเอาไว้
ลั่วฉิงเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง แก้มแดงเรื่อ
ทั้งสองจับมือกัน โลกทั้งใบราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
จากนั้นมือข้างนั้นก็ปล่อยออก
ผิงลี่ก้มลงไปเด็ดดอกไม้สีชมพูขึ้นมาจากกอหญ้า ปักเข้าไปในผมของลั่วฉิงเบาๆ
“พี่ใหญ่…” ลั่วฉิงหน้าแดง ทำตัวไม่ถูก
ผิงลี่ยิ้มเบาๆ “ข้าคิดว่าดอกไม้ดอกนี้เหมาะกับน้องรองมาก”
“พี่ใหญ่ ข้าออกมานานแล้ว ควรกลับไปแล้ว” ลั่วฉิงหน้าแดงพูดจนจบ ยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยและรีบเดินจากไป
ผิงลี่มองหญิงสาวจากไป ยกมุมปากขึ้นยิ้ม เดินจ้ำอ้าวออกจากป่าทึบ
ลมพัดโชยในป่า ต้นไม้ต้นหญ้าพลิ้วไหว
ลั่วเซิงรอครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ลั่วฉิงและผิงลี่… ชอบพอกันหรือ
อาการของลั่วฉิง เห็นได้ชัดว่าหวั่นไหว
ล้วนพูดกันว่าความรักทำให้มิอาจหักห้ามใจและมิอาจควบคุมหัวใจตนเองได้ แม้นางจะเอ่ยปากห้ามปราม เกรงว่าคงไร้ประโยชน์
หากบอกแม่ทัพใหญ่ลั่ว… ลั่วเซิงล้มเลิกความคิดนี้อย่างรวดเร็ว
ไม่แน่ว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วอาจจะตัดสินใจให้ลั่วฉิงหมั้นหมายกับผิงลี่ทันที
หากผิงลี่คิดไม่ดีกับแม่ทัพใหญ่ลั่ว ลั่วฉิงในครานั้นจะทำอย่างไร
เรื่องนี้คงต้องรอดูไปก่อน คอยสังเกตสถานการณ์ภายหลังอีกครั้ง
มิอาจควบคุมหัวใจตนเองได้?
ลั่วเซิงยกมือขึ้น ทาบลงบนหัวใจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ยิ้มเล็กน้อย เดินออกจากป่าทึบจากอีกฝั่งหนึ่ง
ควบคุมหัวใจตนเองไม่ได้เป็นสิทธิ์ของผู้อื่น ส่วนนางน่ะไม่มีมานานแล้ว
และไม่จำเป็นต้องมีด้วย
ลั่วเซิงที่คิดเช่นนี้ก็เดินอย่างเร่งรีบ กลับไม่รู้ว่าชายหนุ่มในชุดสีแดงเข้มรอจนเห็นว่านางกลับกระโจมทองอย่างปลอดภัยแล้วจึงหันกลับไปเงียบๆ