ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 205 สายตาไม่ดี
ตอนที่ 205 สายตาไม่ดี
จักรพรรดิหย่งอันมองไปตามทิศทางที่เว่ยเชียงชี้ไป
ผู้คนมากมายอยู่ข้างหน้า เขาย่อมหาคนๆ นั้นไม่เจอ
ทว่าเหมือนกับว่าจักรพรรดิหย่งอันแค่ถามไปอย่างไม่ใส่ใจนัก ไม่นานก็เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “ไม่เห็นลั่วฉือเช่นกัน”
ลั่วฉือก็คือชื่อของแม่ทัพใหญ่ลั่ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดขององครักษ์จิ่นหลิน เป็นสมุนภักดีหมายเลขหนึ่งของฮ่องเต้ ยามพักเท้าย่อมต้องติดตามพระองค์ตลอด
เว่ยเชียงเงียบลงครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “อาหารยังไม่ยกมา แม่ทัพใหญ่ลั่วก็เดินไปทางนั้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งอันเห็นว่าเว่ยเชียงยังคงชี้ไปทางเดิม ความสงสัยก็บังเกิด
เดินไปทางนั้นทั้งสองคน ที่นั่นมีอะไรกันนะ
“เชียงเอ๋อร์ไม่ได้ถามพวกเขาว่าไปทำอะไรหรือ”
“ลูกไม่ได้ถามพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยเชียงเว้นจังหวะ “อาจจะไปหาคุณหนูลั่ว”
“คุณหนูลั่ว?” จักรพรรดิหย่งอันครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ลูกสาวของลั่วฉือหรือ”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งอันหรี่พระเนตรลงครุ่นคิด
ในความทรงจำของเขา ลั่วฉือมีลูกสาวคนหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมาก เหมือนกับว่าเคยเกี้ยวพานไคหยางอ๋อง…
ทันทีที่คิดเช่นนี้จักรพรรดิหย่งอันก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเสด็จอาที่สิบเอ็ดของเจ้าไปหาเรื่องคุณหนูลั่ว ลั่วฉือจึงรีบไปห้ามปราม”
“เสด็จอาและแม่ทัพใหญ่ลั่วไปหาคุณหนูลั่วเป็นเพียงแค่การคาดเดาของลูกพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาของจักรพรรดิหย่งอันขรึมลงเล็กน้อย “เหตุใดจึงคาดเดาเช่นนี้”
“เพราะถึงเวลากินข้าวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งอันงุนงงยิ่งกว่าเดิม
เว่ยเชียงอธิบาย “งานล่าสัตว์ครานี้ คุณหนูลั่วพาแม่ครัวที่มีทักษะการทำอาหารโดดเด่นมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งอันชะงักก่อนจะผุดหัวเราะออกมา “ลูกสาวคนนี้ของลั่วฉือช่าง… มีเอกลักษณ์จริงๆ”
เดิมเขาอยากพูดว่าทำตัวไร้สาระ แต่ด้วยฐานะจักรพรรดิท่านหนึ่ง คำพูดบางคำก็ไม่ควรพูดอย่างตรงไปตรงมา เขาจึงเปลี่ยนคำพูด
เว่ยเชียงไม่ได้พูดต่อ เพียงหลุบตารอฟัง
จักรพรรดิหย่งอันไม่ได้เซ้าซี้ต่อไป หันหลังกลับไปในกระโจมทอง
หลังจากเสวยพระกระยาหารเที่ยงเสร็จ จักรพรรดิหย่งอันมักจะงีบกลางวัน
เว่ยเชียงมองส่งจักรพรรดิหย่งอันเข้าไปในกระโจม เขาคิดครู่หนึ่ง เดินไปทางที่ลั่วเซิงอยู่
บรรยากาศระหว่างลั่วเซิงและเว่ยหานกำลังชวนอึดอัดพอดี
พูดให้ถูกต้องคือ ฝ่ายชายรู้สึกอึดอัดฝ่ายเดียว เด็กสาวตรงหน้ายังคงมีสีหน้าสงบ
เว่ยหานกำมือราวกับสามารถรู้สึกถึงความเย็นเมื่อครั้นลูกพลัมอยู่ในมือได้
ที่แท้คุณหนูลั่วไม่ได้เป็นคนโยนลูกพลัมมา
เขานิ่งงันไปนาน สุดท้ายเค้นเสียงพูดออกมาว่า “ลูกพลัมหวานมาก”
ลั่วเซิงยิ้ม “ในรถยังมี หากท่านอ๋องชอบ ข้าจะให้หงโต้วยกมาให้จานหนึ่ง?”
เว่ยหานจะฟังไม่ออกได้อย่างไรว่านี่คือการเย้าแหย่ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กสาว ความรู้สึกอึดอัดพลันมลายกลายเป็นความผิดหวัง
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก ชายคนนี้มักจะชอบประจับหน้าเข้าหา เหมือนกับการต่อสู้ทุกครั้งบนสนามรบ
เขายิ้มตอบ สีหน้าสงบนิ่ง “หากไม่ใช่คุณหนูลั่วเป็นคนให้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องแล้วล่ะ”
ลั่วเซิงชะงัก
คนผู้นี้… หน้าไม่อายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
ทั้งสองสบตากัน
คนหนึ่งใบหน้าสงบนิ่ง คนหนึ่งสีหน้าไร้อารมณ์
หากสือเยี่ยนอยู่ข้างๆ เขาคงชื่นชมนายท่านไปแล้ว
ถือว่าเอาชนะได้ ไม่ได้พ่ายแพ้ให้คุณหนูลั่วทุกครั้ง
แต่เมื่อเป็นสืออี้ เขากลับไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับเรื่องนี้นัก
บัดนี้ความรู้สึกที่ฝังลึกในใจของเขาที่สุดคือบางครั้งคำพูดของพี่สามก็เชื่อถือได้ หากนายท่านแต่งงานกับคุณหนูลั่วได้ ถือว่าเป็นความโชคดีของจวนอ๋องจริงๆ
“แค่กๆ” เสียงไอดังขึ้น
เว่ยหานและลั่วเซิงมองไปพร้อมกัน
เว่ยเชียงเดินเข้ามาทักทาย “ที่แท้เสด็จอาอยู่กับคุณหนูลั่วนี่เอง”
“รัชทายาทมาได้อย่างไร” เว่ยหานถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
สายตาของเว่ยเชียงหยุดลงที่หม้อใบใหญ่ที่มีน้ำแกงเปรี้ยวกำลังเดือด ยิ้มพูดว่า “ตามกลิ่นหอมมาน่ะ”
เว่ยหานขมวดคิ้ว
ขอข้าวกิน?
“รัชทายาทยังไม่ได้เสวยหรือ”
“กินไปไม่กี่คำ” เว่ยเชียงมองลั่วเซิง “ได้กลิ่นหอมมาก ไม่รู้ว่าต้มอะไรในหม้อหรือ”
ลั่วเซิงสบตาเขา ตอบว่า “หัวปลาต้มน้ำแกงเปรี้ยวเพคะ”
เว่ยเชียงเลิกคิ้ว
ฟังดูแล้วน่าอร่อยกว่าเดิม
“ไม่รู้ว่าจะขอกินบะหมี่สักชามได้หรือไม่” หลังจากลังเลครู่หนึ่ง เขาก็ถาม
คิ้วสีดำของเว่ยหานขมวดกันแน่นกว่าเดิม
ขอข้าวกิน?
หลานคนนี้อายุจวนสามสิบแล้ว รู้จักขอบเขตหรือไม่
ลั่วเซิงไม่สนใจความรู้สึกของใครบางคนที่เพิ่งขอข้าวกินไปแม้แต่น้อย นางยิ้มพูดว่า “ฝ่าบาทเกรงใจแล้ว ย่อมได้แน่นอนเพคะ”
นางหันไปสั่งซิ่วเย่ว์ “ลวกบะหมี่อีกหนึ่งชาม”
เสียงของเด็กสาวราวกับน้ำแร่ เย็นชาแต่ไพเราะ เมื่อเว่ยเชียงได้ยินก็รู้สึกปลาบปลื้มใจ
เทียบกับวันนั้นที่เขาไปที่มีหอสุราเพื่อขอความช่วยเหลือจากคุณหนูลั่วแล้ว คุณหนูลั่วในวันนี้รู้จักมารยาทกว่ามาก
ไม่นาน บะหมี่น้ำแกงเปรี้ยวร้อนๆ ชามหนึ่งก็ถูกหงโต้วยกมาข้างหน้าเว่ยเชียง
เว่ยเชียงยื่นมือไปรับ ยิ้มพูดว่า “เหมือนกับว่าจะไม่เห็นหัวปลา”
เว่ยหานพูดด้วยใบหน้าเย็นชา “รัชทายาทมาช้า หัวปลากินหมดไปแล้ว”
หงโต้วอดเบ้ปากไม่ได้
ดูไคหยางอ๋องพูดเข้าสิ อย่างกับว่าตอนที่เขามาได้กินหัวปลาด้วยอย่างนั้นแหละ
“องค์ชายมาช้าไปเล็กน้อยจริงๆ เพคะ” ลั่วเซิงพูดพลางสั่งอีกครั้งว่า “อาซิ่ว หั่นขาหมูรมควันสักเล็กน้อยโรยหน้าให้เถอะ”
ซิ่วเย่ว์หยิบขาหมูรมควันสีแดงออกมาจากตระกร้าที่มีผ้าสีขาวปิดเอาไว้แล้วหั่นเป็นชิ้นเต๋าอย่างคล่องแคล่วและใส่ลงไปในน้ำแกงเปรี้ยวต้มครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเทลงบนบะหมี่
เว่ยหานตะลึงงัน
รัชทายาทมาแล้วนอกจากจะมีบะหมี่กิน ยังมีขาหมูรมควันโรยหน้าด้วย?
เขามองลั่วเซิงเงียบๆ
ส่วนลั่วเซิงกำลังมองเว่ยเชียง
สายตาของเว่ยหานเยือกเย็นลงในทันใด
คุณหนูลั่วดีทุกอย่าง มีเพียงสายตาที่ย่ำแย่ไปเสียหน่อย
“บะหมี่อร่อยมาก” เว่ยเชียงกินหมดหนึ่งชามก็กล่าวมชมจากใจ
“ฝ่าบาทเอาอีกหนึ่งชามหรือไม่เพคะ”
เว่ยเชียงลังเลในใจ ฝืนพูดว่า “ไม่แล้ว อิ่มแล้วล่ะ”
ผู้คนมากมายกำลังมองมาเช่นนี้ เขามาขอข้าวกินชามใหญ่หลายชามคงดูไม่ดี
“องค์ชายจะกลับหรือยัง” เสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งแทรกขึ้น
เว่ยเชียงพยักหน้าให้เว่ยหาน “จะกลับแล้ว”
ลั่วเซิงกวาดตามองเว่ยหาน อมยิ้มถามเว่ยเชียงว่า “ฝ่าบาทจะนำบะหมี่สักชามกลับไปให้พระชายาหรือไม่เพคะ”
เว่ยเชียงชะงัก “คุณหนูลั่วไม่รู้หรือ”
ลั่วเซิงย้อนถามอย่างสงบนิ่ง “รู้อะไรหรือเพคะ”
“พระชายาไม่สบาย ไม่ได้มางานล่าสัตว์ครานี้ด้วย”
“เช่นนั้นหรือเพคะ หม่อมฉันไม่ได้สังเกตเลย”
เห็นลั่วเซิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ เว่ยเชียงก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใด
คุณหนูลั่วโอหังกำเริบเสิบสาน จะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ก็ไม่แปลก
“อาซิ่ว ไม่ต้องทำแล้วล่ะ”
เว่ยเชียงดมกลิ่นหอมเข้มข้นใจหวั่นไหว เปลี่ยนคำพูดว่า “คุณหนูลั่วมีน้ำใจ เช่นนั้นข้าจะนำกลับไปสักชามแล้วกัน”
อวี้เหนียงแสดงให้เห็นว่าอยากจะไปที่มีหอสุราหลายครา น่าเสียดายด้วยสถานะของนางจึงไม่มีโอกาสได้ไป นำบะหมี่น้ำชามหนึ่งที่แม่ครัวของหอสุราเป็นคนทำไปให้ก็ถือเป็นการปลอบประโลมที่ดี
ลั่วเซิงยิ้มสั่งซิ่วเย่ว์ “อาซิ่ว ลวกบะหมี่อีกหนึ่งชามให้องค์ชายนำกลับไป อย่าลืมใส่ขาหมูรมควันเยอะๆ ล่ะ”
ไม่นานบะหมี่น้ำแกงเปรี้ยวที่มีขาหมูรมควันหั่นเต๋าก็ถูกใส่ลงในกล่องอาหาร
เว่ยเชียงหิ้วกล่องเดินไปข้างหน้าสองก้าว เห็นเว่ยหานนิ่งไม่ขยับก็ถามว่า “เสด็จอาไม่กลับไปพร้อมกันหรือ”
“ไม่ล่ะ ข้าแค่ถามดูว่าองค์ชายจะกลับหรือไม่”
เว่ยเชียง “…”