ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 204 ขอข้าวกิน
ตอนที่ 204 ขอข้าวกิน
ทันทีที่เว่ยหานปริปาก ใบหูมากมายก็ตั้งขึ้น ดวงตามากมายเป็นประกาย
ใช่แล้ว แม่ครัวใหญ่ของมีหอสุราอยู่ที่นี่ พวกเขาซื้อได้นี่!
แพงหรือ แพงหน่อยจะเป็นอะไรไป เสียเงินดีกว่าหิวตาย
แม่ทัพใหญ่ลั่วกำลังสูดบะหมี่ในชามลายครามใบใหญ่พลางส่งสายตาให้ลั่วเซิงไม่หยุด
เปิดร้านอะไรกัน คนของตนเองกินยังไม่พอเลย ไม่เห็นหรือว่าในหม้อเหลือแต่บะหมี่ เนื้อปลาแม้แต่ชิ้นเดียวก็ไม่เหลือแล้ว
ราวกับว่าลั่วเซิงได้ยินเสียงในใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว นางยิ้มให้ตอบว่า “อยู่ข้างนอกย่อมไม่เปิดร้าน”
ดวงตาสุกใสคู่นั้นปรากฎความผิดหวังชัดเจน
น้ำเสียงเด็กสาวกลับแปรเปลี่ยน “แต่ว่าหากท่านอ๋องไม่รังเกียจก็มากินบะหมี่ด้วยกันเถอะเจ้าค่ะ”
“ไม่รังเกียจแน่นอน” ริมฝีปากของชายคนนั้นยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มจางๆ ปรากฏ
ลั่วเซิงหันไป “อาซิ่ว ทำบะหมี่ให้ท่านอ๋องและองครักษ์ของเขาถ้วยหนึ่ง”
ซิ่วเย่ว์ขานรับ จับบะหมี่หนึ่งก้อนขึ้นมาโยนลงไปในน้ำซุปหัวปลาที่กำลังเดือด ใช้ตะเกียบไม้ด้ามยาวคลี่บะหมี่ไม่หยุด
ไม่นานบะหมี่ก็สุก นางตักขึ้นมาและใส่ลงไปในชามลายครามใบใหญ่ที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรก จากนั้นก็ใส่ต้นหอมซอยลงไปเล็กน้อย บะหมี่ปลาน้ำแกงเปรี้ยวที่หอมอร่อยก็แล้วเสร็จ
เว่ยหานมองสืออี้
สืออี้รีบเดินขึ้นไปยกถ้วยและหยิบตะเกียบมาตรงหน้าเขา
เว่ยหานรับถ้วยลายครามใบใหญ่มา กินอย่างรวดเร็วทว่าสง่างาม
ซิ่วเย่ว์ลวกบะหมี่อีกหนึ่งก้อน
ชามนี้เป็นขององครักษ์
สืออี้ยกชามใบใหญ่มา ครั้นกำลังจะขยับตะเกียบก็รู้สึกถึงสายตาของคนบางคนกวาดมองมา
ดูเหมือนสงบนิ่ง แต่แท้จริงแล้วอันตราย
สืออี้รีบยื่นบะหมี่ให้ทันที
เว่ยหานพยักหน้าอย่างพึงพอใจ คิดในใจว่ากลับไปอาจจะพิจารณาสลับหน้าที่ของสือเยี่ยนกับสืออี้
เจ้านายเริ่มกินบะหมี่ชามที่สอง องครักษ์น้อยกลับยืนนิ่ง ดูไปแล้วน่าสงสารอยู่หลายส่วน
หงโต้วที่คอยจับตามองอยู่ตลอดในที่สุดก็ยืนยันได้แล้วว่า คนผู้นี้ไม่ใช่สือซานหั่วแน่นอน
หากบะหมี่ของสือซานหั่วถูกเจ้านายแย่งไป เขาคงร้องไห้ออกมาทันทีแน่นอน จะนิ่งเฉยแบบนี้ได้อย่างไร
เมื่อเห็นซิ่วเย่ว์ลวกบะหมี่อีกหนึ่งก้อน เห็นได้ชัดว่าสำหรับองครักษ์น้อย หงโต้วจึงยกชามเดินไปตรงหน้าสืออี้
สืออี้มองหงโต้วก่อนจะเบือนสายตาหนีอย่างนอบน้อม
บะหมี่ร้อนๆ ถ้วยหนึ่งยื่นไปตรงหน้าเขา สาวใช้น้อยยิ้มถามว่า “เจ้าคือสือซื่อหั่วหรือ”
“อืม”
“เอ้า รับไว้เถอะ” เมื่อเห็นองครักษ์น้อยเป็นน้ำเต้าปากกุดอันหนึ่ง หงโต้วก็ส่ายศีรษะ
น้องชายของสือซานหั่วนี่ใช้ไม่ได้เลย เงียบแบบนี้เป็นเสี่ยวเอ้อร์ไม่ได้หรอก
ไม่ไกลออกไป คนที่ถูกกลิ่นหอมเย้ายวนใจทนไม่ไหวอีกต่อไป
“แม่ทัพใหญ่…” ไม่รู้ว่าใครเรียกขึ้นมา
แม่ทัพใหญ่ลั่วหาคนเรียกไม่เจอจึงเดินเข้าไป
ทันใดนั้นทุกคนก็ล้อมเขาเอาไว้
“แม่ทัพใหญ่ บะหมี่นั่น…อร่อยหรือไม่”
“แค่กๆ ข้าจำได้ว่าครานั้นแม่ทัพใหญ่บอกว่าจะเป็นเจ้ามื้อเลี้ยงอาหาร…”
แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินดังนั้นก็เบ้ปาก
แค่ฟังก็รู้แล้วว่าพูดซี้ซั้ว คนเหล่านี้เพื่ออาหารแล้วหน้าด้านได้เพียงนี้เชียวหรือ
“ทุกท่านหลีกทางหน่อย ข้าจะไปทำธุระเบา”
เมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่ววิ่งแจ้นจากไป ทุกคนก็มองหน้ากัน
สมแล้วที่เป็นผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลิน ช่างไร้หัวใจจริงๆ!
แต่เมื่อแม่ทัพใหญ่ลั่วจากไปแล้ว พวกเขาก็คงไม่สามารถไปขอบะหมี่กับแม่นางน้อยคนหนึ่งได้ นั่นมันน่าขายหน้าเกินไปแล้ว
เหตุใดไคหยางอ๋องจึงทำได้เล่า แค่กๆ ไคหยางอ๋องเคยถูกคุณหนูลั่วเกี้ยวพานนี่ ความสัมพันธ์ของคนเขาไม่เหมือนกันนี่นะ
กินบะหมี่ไม่ได้ ยังต้องนั่งดมกลิ่นหอมแบบนี้ นี่มันไม่ต่างจากการทรมานเลยสักนิด
ทุกคนรีบหอบแป้งหมัวหลบออกไปให้ไกล
ไม่ดมแล้วก็ได้!
ทันใดนั้น รอบๆ ข้างที่มีหม้อต้มหัวปลาน้ำแกงเปรี้ยวใบนั้นตั้งอยู่ก็พลันว่างเปล่า
บะหมี่สองชามลงท้อง กระเพาะของเว่ยหานจึงนับว่าสบายขึ้นบ้าง
จะให้กินอิ่มนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่คุณหนูลั่วเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายกับเขา จะกำเริบเกินไปไม่ได้
อันที่จริงหากไม่มีลูกพลัมลูกนั้น เขาเตรียมจะอดทนไว้ รอให้ถึงเป่ยเหอก่อนค่อยขอกิน
ลูกพลัมลูกนั้นทำให้เขามีกำลังใจขึ้นมา รู้สึกว่าขอกินบะหมี่ชามหนึ่งน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก
“ท่านอ๋องกินอิ่มหรือยังเจ้าคะ เอาอีกชามหรือไม่”
เมื่อต้องเผชิญกับดวงตาสงบนิ่งของเด็กสาว เว่ยหานก็ลังเลไปครู่หนึ่ง ระหว่างความซื่อสัตย์ต่อกระเพาะอาหารและการรักษาภาพลักษณ์ เขาเอ่ยคำเดียวว่า “ได้”
สืออี้ที่ประคองชามเปล่าเอาไว้อดกระตุกมุมปากไม่ได้
บางครั้งยามพี่สามกลับมาจวนอ๋องจะบ่นเรื่องเจ้านายไม่เอาไหนให้เขาฟัง กังวลว่านายท่านเป็นแบบนี้ไม่มีทางแต่งคุณหนูลั่วได้แน่นอน
เขาไม่เห็นด้วย
นายท่านโดดเด่นเช่นนี้ อยากแต่งงานกับบุตรสาวตระกูลมีชื่อเสียงแบบใดก็ย่อมได้ เหตุใดต้องแต่งงานกับคุณหนูลั่วที่เลี้ยงนายบำเรอด้วย
ตอนนี้หลังจากกินบะหมี่น้ำแกงเปรี้ยวหัวปลาชามนี้แล้ว เขาก็อยากพูดเพียงว่า พี่สามพูดถูก นายท่านไม่เอาไหนเลยจริงๆ
เมื่อแม่ทัพใหญ่ลั่วกลับมาก็จ้องชามลายครามใบใหญ่ในมือเว่ยหานพลางครุ่นคิด
หากจำไม่ผิด นี่ชามที่สามแล้ว
ไคหยางอ๋องเจ้าคนกินจุนี่ ขอกินสามชามใหญ่ไม่รู้สึกอายเลยหรือ!
ช้าก่อน
แม่ทัพใหญ่ลั่วที่กำลังจะเดินเข้าไปหยุดฝีเท้าลง
เซิงเอ๋อร์ยอมดูแลจนอิ่ม นะ นี่มันมีปัญหาชัดๆ
ช่างเถอะ อย่าวุ่นวายกับโอกาสที่ลูกสาวจะได้ออกเรือนเลย
แม่ทัพใหญ่ลั่วเดินไปใต้ต้นไม้เงียบๆ พลางถอนหายใจ
เว่ยหานกินบะหมี่ชามที่สามหมดก็รู้สึกอิ่มเอมใจ
ความสุขบังเกิดขึ้นจากภายใน ใบหน้าที่เยือกเย็นดูอ่อนโยนขึ้นมาก
“ขอบคุณบะหมี่ของคุณหนูลั่ว”
“ท่านอ๋องเกรงใจแล้ว” ลั่วเซิงเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ
ที่นางอนุญาตให้ไคหยางอ๋องกินเพิ่มได้นั้น ย่อมมีแผนการของนาง
นางต้องฉวยทุกๆ โอกาสไว้เพื่อล่อเฉาฮวามา
อยากล่อเฉาฮวามาก็ต้องล่อเว่ยเชียงมาก่อน แม่ครัวใหญ่ที่นางพามาหากทำอาหารให้เพียงคนของตนเองกินแล้วเว่ยเชียงจะมาที่นี่ได้อย่างไร
แต่ในขบวนเดินทางผู้ที่เคยไปหอสุรามีไม่น้อย หากไม่ปฏิเสธคนขอกินข้าวเลยจะเสียเวลาเปล่า
มีไคหยางอ๋องเป็นด่าน เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
เว่ยหานจะรู้ความคิดซับซ้อนเหล่านี้ของเด็กสาวได้อย่างไร เขารู้เพียงว่าผู้คนมากมายเช่นนี้ มีเพียงเขาซึ่งเป็นคนนอกที่ได้กินบะหมี่
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เว่ยหานก็พูดอีกครั้งว่า “ขอบใจลูกพลัมของคุณหนูลั่ว”
ลมพัดโชยมา แก้มของเขาร้อนระอุเล็กน้อย
ทว่าใบหน้าของเด็กสาวตรงหน้ากลับเยือกเย็นกว่าเดิม
เขาฟังนางพูดว่า “อ้อ ท่านอ๋องไม่ต้องขอบใจข้าหรอก ท่านต้องขอบใจหงโต้วต่างหาก”
เว่ยหานเลิกคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของนาง
ลั่วเซิงยิ้ม “หงโต้วเป็นคนโยนลูกพลัมออกไปเจ้าค่ะ”
เว่ยหาน “…”
ในกระโจมหรูหรากระโจมหนึ่ง มีพรมหนาและอ่อนนุ่มอยู่ใต้ฝ่าเท้า บนโต๊ะไม้พะยูงทรงกลมเต็มไปด้วยอาหาร
จักรพรรดิหย่งอันเสวยเสร็จก็ลุกขึ้น ตรัสกับเซียวกุ้ยเฟยว่า “เจ้าค่อยๆ กิน เราจะออกไปเดินเล่นหน่อย”
พอออกจากกระโจมสีทอง จักรพรรดิหย่งอันก็มองไปรอบๆ
การพักเท้าระหว่างทาง นอกจากฮ่องเต้ที่มีกระโจมให้พักผ่อนแล้ว คนอื่นๆ ล้วนไม่ได้พิถีพิถันเช่นนั้น
ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางที่ติดตามขบวนเสด็จล้วนต้องทานข้าวกลางแจ้ง บางคนถึงกับต้องนั่งกับพื้น
ญาติผู้หญิงที่สงวนตัวจะทานอาหารในรถม้า บางคนทนความอึดอัดข้างในไม่ไหวออกมาเดินเล่นข้างนอก
ราชวงศ์ต้าโจวไม่ได้เข้มงวดในเรื่องความสนิทสนมของชายหญิง
“เสด็จพ่อ” ผู้ที่อยู่ใกล้กระโจมทองที่สุดย่อมเป็นรัชทายาท
“ทานแล้วหรือ”
เว่ยเชียงพยักหน้า “ลูกเพิ่งทานเสร็จพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดจึงไม่เห็นเสด็จอาสิบเอ็ดของเจ้า” พอไม่เห็นเว่ยหาน จักรพรรดิหย่งอันจึงตรัสถาม
“อาหารเพิ่งยกมา ลูกก็เห็นเสด็จอาเดินไปทางนั้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”