ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 200 มีทั้งคนสุขและคนทุกข์
ตอนที่ 200 มีทั้งคนสุขและคนทุกข์
วันที่สองหลังจากตั้งป้าย แขกประจำของมีหอสุราก็ทราบข่าวเรื่องหอสุราจะปิดร้านชั่วคราวแล้ว
มีทั้งคนสุขและคนทุกข์
ผู้ที่สุขเกินหน้าเกินตาผู้อื่นย่อมเป็นแม่ทัพใหญ่ลั่ว
เซิงเอ๋อร์จะพาแม่ครัวของมีหอสุราไปงานล่าสัตว์ด้วย!
นี่หมายถึงอะไรน่ะหรือ
หมายถึงแม่ครัวจะทำอาหารให้เซิงเอ๋อร์ทานอย่างไรเล่า
ทำอาหารให้เซิงเอ๋อร์แล้วเขาผู้เป็นพ่อมีหรือจะไม่ได้กินด้วย
แม่ทัพใหญ่ลั่วมีความสุขจนฮัมเพลงออกมาหลายวัน ทำให้องค์รักษ์จิ่นหลินงงงัน แอบสงสัยว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วโดนของสกปรกเข้าหรือไม่
ผู้ที่เป็นทุกข์ย่อมเป็นเสนาบดีจ้าวและคนอื่นๆ
โดยปกติแล้วฮ่องเต้เสด็จออกจากวังไม่พาขุนนางบุ๋นไปด้วย จะให้พวกเขาอยู่ในวังคอยจัดการเรื่องบ้านเมืองไป
ถึงอย่างไรหากไปเที่ยวกันหมดแล้วใครจะทำงานเล่า
อีกอย่าง พวกเขาอายุปูนนี้แล้ว เดินทางไกลเพื่อไปล่าสัตว์ในป่า พวกเขาทนไม่ได้หรอก
ไปไม่ได้ หอสุราแห่งหนึ่งก็ปิด เศร้า!
เมื่อประชุมยามเช้า จักรพรรดิหย่งอันสังเกตเห็นขุนนางอาวุโสบางคนมีอารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย แม้แต่เรื่องที่อยากปรึกษาหารือสองสามเรื่องก็ถูกเลื่อนออกไปเงียบๆ
รอล่าสัตว์กลับมาแล้วค่อยว่ากันดีกว่า
ก่อนหอสุราจะปิดหนึ่งวัน
วันนี้ปิดร้านเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ไฟในห้องโถงสว่างไสว กลิ่นหอมเย้ายวน
เมื่อเห็นทุกคนทานใกล้จะเสร็จแล้ว ลั่วเซิงก็เอ่ยว่า “พรุ่งนี้หอสุราก็จะปิดแล้ว ข้าขอแบ่งหน้าที่หน่อย”
ทุกคนวางตะเกียบลง มองลั่วเซิงอย่างว่านอนสอนง่าย
หากทำตัวไม่ดีแล้วถูกสั่งให้อยู่ที่นี่ต้องแย่แน่
“หงโต้ว ท่านอาซิ่วและเสี่ยวชีไปงานล่าสัตว์พร้อมข้า คนอื่นอยู่ที่หอสุรารอข้ากลับมา”
สำหรับเสี่ยวชีนั้น ลั่วเซิงไตร่ตรองอยู่นาน
พาเสี่ยวชีไปงานล่าสัตว์ แน่นอนว่าไม่ได้ปลอดภัยกว่าการให้เขาอยู่ในเมืองหลวง
แต่เสี่ยวชีเป็นน้องชายของนาง ท่านอ๋องน้อยของจวนเจิ้นหนานอ๋อง แม้นางเป็นห่วงความปลอดภัยของเสี่ยวชีก็ไม่ควรขังเขาไว้ในกรงเหมือนนกคีรีบูน
น้องชายของนางควรออกไปเปิดโลกกว้าง ทำความรู้จักผู้คนที่โดดเด่นกว่านี้
ส่วนตู้เฟยเปียวแล้วลู่หู่ ถึงอย่างไรทั้งสองก็เคยเป็นโจรป่า ตราบใดที่ไม่ก่อเรื่อง ก็ถือเป็นหลานชายคนโตของซิ่วเย่ว์คอยตัดฟืนจุดไฟในหอสุราดีกว่า
พาไปงานล่าสัตว์ด้วย แน่นอนว่าไม่มีความจำเป็น
ทันทีที่ชายมีหนวดได้ยินก็ร้อนรนจนหน้าแดง “เถ้าแก่ เสี่ยวชีโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยแยกจากข้าไปไหนเลยขอรับ!”
เขาไม่ได้เป็นห่วงเสี่ยวชีจริงๆ หรอก หลายวันมานี้เถ้าแก่และอาซิ่วดูแลเสี่ยวชีเป็นอย่างดี เขาเห็นหมด แต่แค่คิดว่าจะไม่ได้กินอาหารของท่านอาซิ่วแล้วก็เลยยอมรับไม่ได้เท่านั้น
เมื่อเสี่ยวชีเห็นชายมีหนวดเป็นเช่นนี้ก็อดขอร้องไม่ได้ “เถ้าแก่…”
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเถ้าแก่ภายนอกดูเย็นชา แต่เป็นคนจิตใจอ่อนโยน ไม่ใช่นางมารเสียหน่อย
และด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงกล้าขอร้อง
ลั่วเซิงยื่นมือไปขยี้ศีรษะเสี่ยวชี ยิ้มพูดว่า “หากเสี่ยวชีอาลัยพี่ใหญ่ จะอยู่ที่นี่ด้วยก็ได้นะ”
“ข้าไม่อาลัยขอรับ!” เสี่ยวชีโพล่งขึ้น
ชายมีหนวดเปลี่ยนจากหน้าแดงเป็นดำ มองเด็กหนุ่มหน้าดำอย่างเจ็บใจ
เสี่ยวชีเปลี่ยนไปแล้ว…
เสี่ยวชีฉีกยิ้ม เผยให้เห็นฟันสีขาว “พี่ใหญ่ เดี๋ยวพวกเราก็กลับมาแล้ว”
ชายมีหนวดหน้าขรึมไม่สนใจเขา
ชายร่างกำยำสงบนิ่งกว่าชายมีหนวดมาก
เขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
แทนที่จะคิดเรื่องเป็นไปไม่ได้เหล่านี้ สู้ขอให้ท่านอาซิ่วทำอาหารอร่อยๆ ไว้ให้ดีกว่า
“ท่านอา หลานไม่อยากให้ท่านไปเลยขอรับ” ชายร่างกำยำมองซิ่วเย่ว์น้ำตาคลอ ดูจริงใจอย่างมาก
ซิ่วเย่ว์ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางเอ่ยปลอบว่า “วันนี้ข้าตั้งใจทำขาหมูตุ๋นเพิ่มให้หนึ่งหม้อ ให้พวกเจ้าเก็บไว้กินนะ”
ชายร่างกำยำตาเป็นประกาย “ที่แท้ขาหมูตุ๋นหม้อนั้นก็ทำให้พวกเราหรือ”
ซิ่วเย่ว์ยิ้มๆ “ขาหมูสามารถเก็บไว้ได้นานถึงสิบวันในช่วงหน้าร้อน บัดนี้อากาศเย็นลงแล้ว เก็บไว้ได้นานกว่านั้น”
“เก็บได้นานมีประโยชน์อะไรกัน อย่างมากสุดกินสองวันก็หมดแล้ว” ชายมีหนวดพูดอย่างเจ็บใจ
“ทำแป้งนานไว้ให้ด้วย รสเครื่องเทศ”
ชายร่างกำยำและชายมีหนวดได้ยินก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ท่านอา ท่านดีกับหลานมาเลยขอรับ!”
ท่านอาแบบนี้ เหตุใดไม่มีแต่แรกนะ
ซิ่วเย่ว์เงียบ
หลานแบบนี้ นางไม่อยากมีแล้วยังทันหรือไม่นะ
ลั่วเซิงมองสือเยี่ยน
องครักษ์น้อยที่ดูมาตลอดจู่ๆ ก็ขนหัวลุก รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
ไม่ใช่หรอกนะ เขาต้องไปงานล่าสัตว์ด้วยอยู่แล้วมิใช่หรือ
“ครานี้ออกจากเมืองหลวงใช้เวลานาน เจ้าอยู่ในจวนลั่วเถอะ หากหอสุราทางนี้มีอะไรก็ยังมาช่วยจัดการได้”
“เถ้าแก่!” สือเยี่ยนรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะ ทำเอาเขาวิงเวียนไปหมด
“ตามนี้แล้วกัน”
“คุณหนูลั่ว!” องครักษ์น้อยดิ้นรน
ตอนนี้เขานึกขึ้นได้แล้วว่าเขาคือคนของไคหยางอ๋อง!
นายท่านไปงานล่าสัตว์ต้องพาเขาไปด้วยแน่นอน จะให้คุณหนูลั่วสั่งให้อยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ลั่วเซิงโค้งริมฝีปากขึ้น “ท่านอ๋องสั่งให้เจ้าเลี้ยงห่านอยู่ที่จวนลั่ว”
สือเยี่ยนชะงักไป
ลืมไปแล้ว เขาคิดว่าเขาเป็นแค่เสี่ยวเอ้อร์และนักสู้ที่เก่งที่สุดของหอสุราเท่านั้น
คุณชายสามเซิ่งตบไหล่สือเยี่ยนแรงๆ “ซานหั่ว ดูแลห่านของน้องลั่วข้าดีๆ รอพวกเรากลับมานะ”
สือเยี่ยนเจ้าหมอนี่ ปกติมักคิดจะแย่งตำแหน่งเสี่ยวเอ้อร์ดีเด่นกับเขา ตอนนี้เห็นหรือยังว่าสถานะไม่เหมือนกัน
แม้น้องลั่วจะไม่พาเขาไป ท่านลุงก็พาเขาไปอยู่ดี
ระหว่างทางกลับจวนคุณชายสามเซิ่งมีความสุขอย่างยิ่ง
สือเยี่ยนกลับกลายเป็นมะเขือยาวที่ถูกทุบตีจนบอบช้ำ เดินตามต้อยๆ ด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้งอยู่ด้านหลัง
“ท่านพี่” ลั่วเฉินเอ่ยปาก
ลั่วเซิงมองเขา
เด็กหนุ่มชี้ไปที่เด็กหนุ่มหน้าดำที่เดินตามข้างกายซิ่วเย่ว์ด้วยสีหน้ารังเกียจ “เหตุใดต้องพาเขาไปงานล่าสัตว์ด้วยขอรับ”
“ให้ไปเป็นเพื่อนเจ้าอย่างไรเล่า”
ลั่วเฉินขมวดคิ้วแน่น พูดอย่างไม่พอใจว่า “ข้าไม่ต้องการเขาเป็นเพื่อน”
ลั่วเซิงยิ้ม “ข้าคิดว่าเจ้าต้องการนะ”
“ข้าไม่ต้องการ” เด็กหนุ่มหน้าขรึม รู้สึกหงุดหงิด
ลั่วเซิงลำเอียง ไปเป็นเพื่อนเขาอะไรกัน ทั้งๆ ที่นางอยากพาเจ้าเด็กผิวดำนั่นไปเที่ยวแท้ๆ
ลั่วเซิงลูบศีรษะของลั่วเฉินเบาๆ ยิ้มพูดว่า “ร่างกายเจ้าอ่อนแอ อันที่จริงควรพักฟื้นในเมืองหลวง เดินทางไกลไปล่าสัตว์ทำให้ข้าเป็นห่วงไม่น้อย”
ลั่วเฉินตัวแข็งทื่อ
ข่มขู่ นี่มันคือการข่มขู่ชัดๆ!
ท่านพ่อเชื่อฟังลั่วเซิงมากที่สุด หากนางกลับไปนางพูดเช่นนี้กับท่านพ่อ เขาจะต้องถูกสั่งให้อยู่ที่นี่แน่ๆ
“ไม่ต้องการเพื่อนจริงๆ หรือ” ใต้แสงจันทร์ รอยยิ้มของเด็กสาวอ่อนโยน แต่ในสายตาของลั่วเฉินกลับเหมือนกับนางมารดีๆ นี่เอง
“ต้องการ” ลั่วเฉินเค้นเสียงพูดออกมา เขาเดินไปตรงหน้าเสี่ยวชี จับมือของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
เสี่ยวชีงงงันก่อนจะฉีกยิ้มให้ “เมื่อก่อนข้าเคยล่าฮวานจื่อ[1]ได้ด้วยนะ เนื้อฮวานจื่ออร่อยมากเลย”
ลั่วเซิงมองเด็กหนุ่มสองคนที่เดินจูงมือกันแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ
ในวังบูรพา บรรยากาศตึงเครียด
หลังจากที่ชายารัชทายาทเสียโฉมนี่เป็นครั้งแรกที่นางมายืนอยู่ต่อหน้าเว่ยเชียง นางกำลังอดกลั้นอารมณ์ขุ่นเคืองถามว่า “ได้ยินมาว่าฝ่าบาทจะพาอวี้เสวี่ยนซื่อไปงานล่าสัตว์หรือเพคะ”
เว่ยเชียงวางหนังสือลง พูดเสียงราบเรียบว่า “พระชายาบาดเจ็บ ต้องพักผ่อนดีๆ ข้าให้นางสนมคนสองคนเดินทางไปรับใช้ด้วย มีปัญหาหรือ”
งานล่าสัตว์ทุกปี เขาพาพระชายาไปด้วยตลอดเพื่อไม่ให้ผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เคยพานางสนมคนใดไปเลย
แต่ปีนี้กลับไม่เหมือนเดิม
พระชายาเสียโฉม คงเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับราชวงศ์หากปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนภายนอก เขาจึงไม่ผิดที่จะพานางสนมอื่นไปแทน
“ฝ่าบาทจะพาใครไปก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่อวี้เสวี่ยนซื่อ”
[1] ฮวานจื่อ คือสัตว์สี่เท้ามีขนสีเทา หัวมีลายเส้นสีขาวตัดกับขนสีเทา มักจะสร้างโพรงในเนินดินหรือใต้ต้นไม้ใหญ่