ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 198 หอสุราจะปิดชั่วคราว
ตอนที่ 198 หอสุราจะปิดชั่วคราว
หอสุราย่อมต้องเปิดต่อไปเรื่อยๆ แน่นอน
หอสุราแห่งนี้ เพียงแค่ลั่วเซิงต้องการ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางบุ๋นหรือบู๊ ตระกูลสูงศักดิ์ กระทั่งญาติฝ่ายหญิงของแต่ละจวน นางก็สามารถทำความรู้จักได้หมด
สำหรับลั่วเซิงแล้ว นี่ไม่ใช่หอสุรา แต่คือแหขนาดใหญ่ที่ช่วยนางจับคนบางคนได้
เมื่อวันล่าสัตว์ใกล้เข้ามา มีป้ายวางไว้ในห้องโถงหอสุราซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจน ทำให้แขกที่เข้ามาเห็นได้ในทันที
บนป้ายเขียนไว้เพียงไม่กี่ตัว ‘หอสุราปิดช่วงงานล่าสัตว์’
วันที่ป้ายถูกตั้ง ผู้ที่มาหอสุราคนแรกคือเสนาบดีจ้าว
ทันทีที่เสนาบดีจ้าวเห็นก็ชะงักไป จากนั้นก็ถามหงโต้ว เสี่ยวเอ้อร์ที่มาต้อนรับเขา “ปิดหอสุราช่วงงานล่าสัตว์ หมายความว่าอย่างไรหรือ”
หงโต้วเหลือบมองป้ายไม้ ประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านไม่เข้าใจหรือ เมื่อถึงวันงานล่าสัตว์ หอสุราของเราจะปิดอย่างไรเล่าเจ้าคะ!”
เสนาบดีจ้าวเกือบโมโห เคราสั่นเอ่ยว่า “ข้าหมายถึงว่าเหตุใดต้องปิดร้านช่วงงานล่าสัตว์ด้วย!”
เสนาบดีเฉียนเดินเข้ามาพอดี เมื่อได้ยินคำพูดของเสนาบดีจ้าวก็งงงัน “ปิดร้าน? เมื่อไหร่หรือ”
เสนาบดีจ้าวหันไป ชี้ไปยังป้ายที่ถูกเขาบังไว้ “เจ้าดูสิ”
เสนาบดีเฉียนหันไปดูก็ตกใจใหญ่ “นะ นี่หมายความว่าอย่างไรกัน”
เสนาบดีจ้าวกลอกตาเงียบๆ
นี่อย่างไร ใครเห็นแล้วก็ต้องถามเช่นนี้ทั้งนั้น
ผู้ดูแลหญิงเดินเข้ามาเบียดหงโต้วออกไป อธิบายว่า “แขกทั้งสองท่าน เรื่องเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ อีกไม่กี่วันเถ้าแก่ของเราจะไปงานล่าสัตว์ ไปกลับอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือน หอสุราของเราจึงต้องปิดชั่วคราวเจ้าค่ะ”
“ช้าก่อน” เสนาบดีจ้าวรู้สึกไม่ชอบมาพากล “คุณหนูลั่วจะไปงานล่าสัตว์แล้วเหตุใดต้องปิดหอสุราด้วยเล่า”
สองอย่างนี้เกี่ยวข้องกันด้วยหรือ
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเสนาบดีกรมยุติธรรม แม้จะไม่ถนัดเรื่องไขคดี แต่เขาก็ยังสามารถชี้ให้เห็นถึงปัญหาได้อย่างเฉียบแหลม
ผู้ดูแลหญิงกำลังคิดหาคำพูดก็ได้ยินหงโต้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณหนูของเราจะพาแม่ครัวใหญ่ไปด้วยเจ้าค่ะ หอสุราไม่ปิดแล้วใครจะเป็นคนทำอาหารเล่า”
“พาแม่ครัวใหญ่ไปด้วย?” เสนาบดีจ้าวและเสนาบดีเฉียนถามขึ้นพร้อมกัน สีหน้าเคร่งขรึม
จะไม่ได้กินอาหารของหอสุราอีกเป็นเดือนเลยหรือ
แล้วจะให้พวกเขาอยู่อย่างไร!
คุณหนูลั่วทานเพียงอาหารของหอสุรา คนอื่นก็เช่นกัน
เสนาบดีจ้าวเหลือบเห็นร่างในชุดสีพื้นเดินเข้ามาในห้องโถงจากสวนด้านหลัง เขารีบเดินไปหาทันที
ลั่วเซิงมองเขาอย่างสงบ “ท่านเสนาบดีมีธุระอะไรหรือเจ้าคะ”
“คุณหนูลั่ว บทจะปิดหอสุราก็ปิด ปิดทียังปิดเป็นเดือน จะไม่กระทบกิจการหรือ”
“กระทบกิจการ?” ลั่วเซิงกะพริบตา “ไม่นี่เจ้าคะ เมื่อหอสุราเปิดอีกครั้ง ไม่แน่ว่าแขกที่มาหอสุราอาจจะเพิ่มมากขึ้นด้วย”
เสนาบดีจ้าวชะงัก หว่านล้อมอย่างไม่ยอมแพ้อีกว่า “แต่ช่วงที่ปิดร้านนี้ก็จะไม่มีรายได้นะ”
ลูกสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วไม่ใช่คนค้าขายจริงๆ ตามใจตนเองเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
“ไม่มีก็เป็นไรเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรช่วงนี้ก็ได้กำไรมาไม่น้อย ควรให้ลูกน้องที่ยุ่งในหอสุราพักผ่อนดีๆบ้าง”
ยุ่งบ้าอะไร!
หากผู้ที่พูดคำนี้คือลูกน้อง เสนาบดีจ้าวก็แทบอยากจะกระโดดขึ้นมาด่า
หอสุราขนาดเล็กเช่นนี้ คืนหนึ่งรับแขกแค่สิบโต๊ะ ไม่นับผู้ดูแลและแม่ครัว มีเสี่ยวเอ้อร์ถึงสี่คน ยังมีคนทำงานเบ็ดเตล็ดอีกจำนวนหนึ่ง
นี่เรียกว่ายุ่งหรือ
ว่ากันว่าเมื่อปิดร้าน คนเหล่านี้ยังได้กินข้าวด้วย!
เขาคิดไว้แล้ว เมื่อเขาลาออกจากราชการแล้วจะวานแม่ทัพใหญ่ลั่วมาถามว่ามาเป็นผู้ดูแลบัญชีที่หอสุราได้หรือไม่
จะมีเงินหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ขอแค่มีอาหารให้กินก็พอ
เสนาบดีเฉียนตบไหล่เสนาบดีจ้าวทีหนึ่ง ถอนหายใจพูดว่า “สหายจ้าว เราดื่มสุรากันก่อนเถอะ”
เสนาบดีจ้าวทำได้เพียงพยักหน้า
เสนาบดีเฒ่าสองคนเลือกโต๊ะใกล้ๆ และนั่งลงด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง จากนั้นก็มองคนตรงหน้า จู่ๆ หน้าก็พลันเปลี่ยนสี
แย่แล้ว ทำไมนั่งโต๊ะเดียวกับเหล่าเฉียน (เหล่าจ้าว) อีกแล้วเล่า แล้วประเดี๋ยวใครจ่ายเงิน
ทั้งสองเงียบงันจนเมื่อหงโต้วถามว่าจะกินอะไร ทั้งสองก็ยังคงเงียบ
“ทั้งสองท่านค่อยๆ คิดนะเจ้าคะ คิดได้แล้วค่อยเรียกข้า”
ถึงอย่างไรเสนาบดีเฉียนก็หน้าหนากว่า เขากัดฟันพูดว่า “ขอสุราสองกา ไก่แช่น้ำมันหนึ่งที่ เนื้อตุ๋นหนึ่งจาน”
“เกี๊ยวปลาน้ำสองจาน” เสนาบดีจ้าวเอ่ยตาม
“เจ้าค่ะ” หงโต้วยิ้มตอบ ส่งรายการอาหารให้ในครัว
เวลานี้เองก็มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา
เสนาบดีจ้าวและเสนาบดีเฉียนรีบลุกขึ้นคารวะ “องค์ชาย”
ผู้ที่เข้ามาก็คือเว่ยเชียงนั่นเอง
“ใต้เท้าทั้งสองมิต้องมากพิธี” เมื่อทักทายเสนาบดีทั้งสองเสร็จ เว่ยเชียงก็เดินไปนั่งลงบนโต๊ะบริเวณหนึ่ง
นี่เป็นครั้งที่สามที่เขามาดื่มสุราแล้ว
เขาพบว่านอกจากตำหนักของอวี้เหนียงแล้วมีหอสุราได้กลายเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่เขาเลือกจะไปเมื่ออารมณ์ไม่ดี
สั่งสุราส้มไหหนึ่งกับแกล้มสองอย่าง ค่อยๆ ดื่มไปเรื่อยๆ จนร้านปิด เขาถึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง
ราวกับกลับไปในสมัยหนุ่มอีกครั้ง
ครานั้นเขายังไม่รู้แผนการของท่านพ่อท่านแม่
ครานั้นเด็กสาวที่เขารักตั้งแต่แรกพบคือว่าที่ภรรยาของเขา
สุราส้มเข้าปาก รู้สึกเพียงความเปรี้ยวฝาดเต็มปาก
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น “นี่คือกับแกล้มแถมให้ใต้เท้าสองท่านเจ้าค่ะ”
เว่ยเชียงอดมองไปไม่ได้
เสนาบดีจ้าวและเสนาบดีเฉียนเองก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน สีหน้าประหลาดใจปนดีใจ
กับแกล้มถะ…แถมหรือ
พวกเขาไม่ได้ยินผิดไปใช่หรือไม่
ลั่วเซิงวางกับแกล้มสี่จานลง อธิบายว่า “ข้าจำได้ว่าเสนาบดีจ้าวเป็นแขกประจำที่มาตั้งแต่หอสุราของเราเปิดวันแรก อีกทั้งหอสุราใกล้จะปิดร้านเร็วๆ นี้ก็เลยแถมกับแกล้มให้เพื่อแสดงความขอบคุณเจ้าค่ะ”
ทันทีที่เสนาบดีจ้าวได้ยินก็รู้สึกดีใจอย่างยิ่ง เหลือบมองเสนาบดีเฉียนอย่างได้ใจ
นี่คืออาหารแถมที่ถึงมีเงินก็ซื้อไม่ได้เชียวนะ
ดูสิ วันนี้ที่ได้กินเป็นเพราะเขาทั้งนั้น
เดิมเสนาบดีเฉียนตัดสินใจแล้วว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์กับเสนาบดีจ้าว บัดนี้ก็เริ่มเปลี่ยนความคิดเงียบๆ
ช่างเถอะ เห็นแก่อาหารแถมวันนี้ กินดื่มเป็นเพื่อนกันก่อนแล้วกัน
เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ประตู “หอสุราจะปิดหรือ”
ผู้ที่อยากถามคำถามนี้เช่นกันยังมีเว่ยเชียง
เขาเพิ่งพบสถานที่ที่คลายความกลัดกลุ้มได้ แต่สถานที่แห่งนี้กลับกำลังจะปิด
ผู้ที่เดินเข้ามาคือเว่ยหาน
เขาไม่ได้มองไปทางอื่น สายตาของเขาหยุดอยู่ที่เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะเสนาบดีจ้าว
ลั่วเซิงมองมา ชี้ไปที่ป้ายไม้อย่างไม่มีทางเลือก “ป้ายก็ตั้งเสียโดดเด่นขนาดนั้น ท่านอ๋องไม่อ่านหน่อยหรือเจ้าคะ”
เว่ยหานเพิ่งเห็นว่ามีป้ายไม้ตั้งอยู่ด้วย
เมื่ออ่านเสร็จ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ที่แท้จะไปงานล่าสัตว์หรือ คุณหนูลั่วจะพาแม่ครัวใหญ่ไปด้วยหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ พาแม่ครัวไปด้วย” ลั่วเซิงตอบน้ำเสียงราบเรียบ เดินไปทางโต๊ะคิดเงิน
สายตาเว่ยหานมองตามร่างๆ นั้นไป นัยน์ตาลุ่มลึก
ผู้อื่นล้วนคิดว่าอาหารของหอสุราทำโดยแม่ครัวที่ไม่เคยโผล่หน้าให้เห็น แต่เขารู้ว่าฝีมือการทำอาหารของคุณหนูลั่วอยู่เหนือกว่าแม่ครัวคนนั้นเสียอีก
คุณหนูลั่วปิดร้านพาแม่ครัวไปงานล่าสัตว์ เพียงเพราะต้องการให้แม่ครัวทำอาหารให้นางทานงั้นหรือ
เว่ยหานสาวเท้าไปนั่งลงข้างหน้าต่าง ลอบถอนหายใจเบาๆ
เขาไม่สนใจว่าคุณหนูลั่วจะทำเรื่องน่าตกใจอะไร หวังเพียงว่านางจะไม่ประสบปัญหา ทำให้หอสุราไม่สามารถเปิดต่อไปได้ก็พอ
อืม… ประสบปัญหาก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเขาก็ไปงานล่าสัตว์ด้วยเช่นกัน