ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 170 ข้าไปขอร้องเอง
ตอนที่ 170 ข้าไปขอร้องเอง
พระชายาผิงหนานอ๋องฟังออกถึงความผิดปกติ
นางวางตะเกียบลงแล้วถามลูกสาวว่า “เหวินเอ๋อร์ กำไลนั่นมันเรื่องอะไรกัน”
เว่ยเหวินจับข้อมือตามสัญชาติญาณ
พระชายาผิงหนานอ๋องมองตามไปก็เห็นข้อมือที่ว่างเปล่า
“เหวินเอ๋อร์ เจ้าให้กำไลคุณหนูลั่วไปแล้วหรือ”
เว่ยเหวินกัดปาก ดูเสียใจและพูดไม่ออก
พระชายาผิงหนานอ๋องมองเว่ยเฟิง “เฟิงเอ๋อร์ เจ้าพูดสิ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
เว่ยเฟิงคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาจึงเอ่ยว่า “ก็วันนั้นลูกไปเชิญหมอเทวดาแล้วถูกปฏิเสธ เมื่อนึกถึงเรื่องที่คุณหนูลั่วเชิญหมอเทวดาได้จึงไปขอความช่วยเหลือจากนาง ลูกมอบกำไลของน้องให้คุณหนูลั่วเป็นการขอบคุณ…”
พระชายาผิงหนานอ๋องสีหน้าขุ่นเคือง “เหตุใดจึงไม่ได้ยินเจ้าพูดเรื่องนี้เลย”
“แค่เรื่องเล็กน้อย ลูกไม่อยากให้ท่านกังวล…”
“เหลวไหล!” พระชายาผิงหนานอ๋องตบโต๊ะ สีหน้าซีดขาว “ผู้อื่นเหยียบบนหัวน้องสาวเจ้าแล้ว เจ้ายังบอกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยอีก!”
เว่ยเหวินรีบห้ามปราม “เสด็จแม่ ท่านอย่าโมโหเลย เสียสุขภาพเปล่าๆ กำไลเพียงหนึ่งวงไม่มีค่าอะไรหรอก”
พระชายาผิงหนานอ๋องยิ้มหยัน “นี่ใช่เรื่องกำไลหนึ่งวงหรือ วันนี้นางชอบกำไลของเจ้านางก็ขอไปได้ หากพรุ่งนี้นางชอบอะไรอย่างอื่นเข้าเล่า หากให้จนติดเป็นนิสัย ต่อไปนางก็คงกล้าแย่งชิงแม้แต่สามีของเจ้า ข้าได้ยินมาว่าบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วผู้นี้โอหังอวดดี คิดไม่ถึงเลยว่าจะโอหังอวดดีมาถึงหัวของเหวินเอ๋อร์”
เว่ยเฟิงมองท่านแม่และน้องสาว คนหนึ่งดุด่าอีกคนห้ามปราม เขาอดกลั้นอารมณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า “เสด็จแม่ อันที่จริงคุณหนูลั่วไม่ได้แย่งไป นางช่วยไปเชิญหมอเทวดา…”
กำไลวงหนึ่งคงไม่อาจเทียบกับการเชิญหมอเทวดามาได้หรอกกระมัง
พระชายาผิงหนานอ๋องและเว่ยเหวินชะงัก มองไปที่เขาพร้อมกัน
เว่ยเฟิงไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิงจริงๆ เขายิ้มพูดว่า “เสด็จแม่อย่าได้โมโห อันที่จริงเราก็ได้เปรียบนะขอรับ หากเชิญหมอเทวดาได้ ไม่รู้ว่ามีคนเท่าไรยินดีมอบกำไลแบบนั้นของน้องสาวให้สักแปดวงสิบวง”
เว่ยเหวินกัดฟันกรอดเงียบๆ
พี่รองตาทึ่มคนนี้ ช่างน่าโมโหจริงๆ
อย่างที่เสด็จแม่พูด นี่มันใช่เรื่องของกำไลวงหนึ่งหรือ
ลั่วเซิงต้องการค่าตอบแทน หากขอสิ่งใดจากพี่รองไม่ได้ก็ยังมีจวนผิงหนานอ๋อง เหตุใดจึงต้องเป็นกำไลของนางเล่า
ต้องเป็นเพราะว่าลั่วเซิงอิจฉานางมานานแล้ว จงใจหาเรื่องนางน่ะสิ
พระชายาผิงหนานอ๋องเองก็โมโหกับความใสซื่อของบุตรชาย แต่ตอนนี้การเชิญหมอเทวดามาดูอาการท่านอ๋องอีกครั้งนั่นถึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
“ข้าจำได้ว่ากำไลของเหวินเอ๋อร์มีเป็นคู่ อีกวงหนึ่งอยู่ที่อวี้เสวี่ยนซื่อ”
กำไลทองเจ็ดอัญมณีคู่นี้นางเป็นคนเอาออกมาตอนที่นางจัดของในห้องเก็บของ
จนถึงตอนนี้ พระชายาผิงหนานอ๋องลืมกำไลคู่นี้ไปนานแล้ว แต่นางจำเงินทองและหยกเต็มห้องเก็บของได้แม่น
มันคือสินเดิมของท่านหญิงชิงหยาง
แต่ตอนที่เชียงเอ๋อร์ออกจากจวนผิงหนานอ๋องไปเคยบอกว่าไม่อยากเห็นเครื่องประดับเหล่านี้ถูกผู้ใดนำไปใช้
เชียงเอ๋อร์เป็นลูกชายที่นางโปรดปรานมากที่สุด ทั้งยังเป็นรัชทายาท นางไม่ควรขัดใจเขา
ไม่ใช้แล้วอย่างไร จวนเจิ้นหนานอ๋องสิ้นสลายไปนานแล้ว สินเดิมเหล่านั้นกองอยู่ในจวนผิงหนานอ๋องให้ฝุ่นจับ ถึงอย่างไรก็หายไปเองไม่ได้
พระชายาผิงหนานอ๋องเองก็รู้ถึงความโปรดปรานที่เว่ยเชียงมีต่ออวี้เสวี่ยนซื่อ
แต่นางรู้ดียิ่งกว่าว่าสิ่งที่บุตรชายสนใจไม่ใช่อวี้เสวี่ยนซื่อ แต่คือท่านหญิงชิงหยางนังคนอายุสั้นนั่นต่างหาก
สำหรับเว่ยเชียงแล้ว อวี้เสวี่ยนซื่อก็แค่สิ่งของอย่างหนึ่งของท่านหญิงชิงหยาง
เพราะว่าเป็นของท่านหญิงชิงหยาง เขาจึงใส่ใจ
ความรักที่บุตรชายมีให้ท่านหญิงชิงหยางก็เป็นเรื่องที่ทำให้พระชายาผิงหนานอ๋องไม่พอใจเช่นกัน
หากเป็นยามปกติ นางคงไม่เข้าไปยุ่งกับอวี้เสวี่ยนซื่อแน่นอน แต่ตอนนี้เรื่องเกี่ยวข้องถึงความปลอดภัยในชีวิตของท่านอ๋อง นางจำเป็นต้องทำ
พระชายาผิงหนานอ๋องหมดความอยากอาหารรสเลิศบนโต๊ะ นางส่งคนไปส่งข่าวในวัง ขอให้รัชทายาทเสด็จมายังจวนอ๋อง
เว่ยเหวินคีบไชเท้าดองมาชิ้นหนึ่ง
ไชเท้าดองกรอบ รสเปรี้ยวเผ็ดอมหวาน ช่างเรียกน้ำย่อยได้ดีจริงๆ ทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
อวี้เสวี่ยนซื่อสูงส่งมากมิใช่หรือ นางจะรอดูว่าจะยอมสละกำไลให้ลั่วเซิงหรือไม่
ใช่แล้ว เทียบกับลั่วเซิงแล้ว นางเกลียดอวี้เสวี่ยนซื่อมากกว่า
เว่ยเหวินคือท่านหญิงน้อยเพียงหนึ่งเดียวของจวนอ๋อง อยู่ดีกินดีจนเติบใหญ่ นั่นเป็นครั้งแรกที่นางขอสิ่งของจากพี่ใหญ่
แต่ก็เป็นเพราะอวี้เสวี่ยนซื่อเอ่ยปากขอ กำไลที่เดิมควรจะเป็นของนางทั้งคู่จึงถูกแบ่งให้นังสารเลวนั่นอีกวงหนึ่ง
นางไม่เคยหายโกรธ แต่ทำอะไรไม่ได้ พี่ใหญ่กลายเป็นรัชทายาท นังสารเลวนั่นได้เข้าไปอยู่ในวังบูรพาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางอยากเจอก็ยังยาก
ครั้งนี้เสด็จแม่เป็นคนขอกำไลวงนั้นเอง หากนังสารเลวนั่นไม่ยอมให้ นางไม่เชื่อว่านังนั่นยังจะได้อยู่ในดวงใจของพี่ใหญ่
แต่หากว่านางยอมให้ก็คงไม่เต็มใจหรอก
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ไม่เลว
เว่ยเหวินยกมุมปากน้อยๆ คีบไชเท้าดองอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน
“น้องสาว เจ้าชอบกินไชเท้าดองหรือ”
เว่ยเหวินวางตะเกียบลง พูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “เสด็จพ่อนอนอยู่บนเตียง ข้ากินปลากินเนื้อไม่ลงเจ้าค่ะ”
“นั่นสินะ” เว่ยเฟิงถอนหายใจและยังอดพูดความจริงไม่ได้ว่า “อันที่จริงไชเท้าดองนี่ก็อร่อยดี…”
ไอสังหารสองสายสาดมาที่เขาทันที เว่ยเฟิงไม่กล้าพูดอะไรอีก
เว่ยเชียงมาถึงจวนผิงหนานอ๋องในยามบ่าย
“อาสะใภ้หาข้ามีธุระอะไรหรือ”
เว่ยเชียงน้ำเสียงอ่อนโยน แต่พระชายาผิงหนานอ๋องได้ยินแล้วกลับทุกข์ใจ
ถึงอย่างไรท่านอ๋องก็เป็นพ่อแท้ๆ ของเชียงเอ๋อร์ บัดนี้ยังนอนอยู่บนเตียง หากเชียงเอ๋อร์ใส่ใจก็คงมาหาบ่อยๆ แต่ตั้งแต่ครานั้นที่มาเพราะได้รับกระแสรับสั่งจากฮ่องเต้แล้วก็ไม่เคยมาอีกเลย
หรือว่าต้องรอให้เป็นอะไรไปก่อนจริงๆ ถึงจะมาได้
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้นางทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ
เชียงเอ๋อร์คือรัชทายาท ถึงอย่างไรสถานะก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน
พระชายาผิงหนานอ๋องเอ่ยปาก “ที่ท่านอาของพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ล้วนเป็นเพราะหมอเทวดาช่วยเหลือ เขาดึงธนูออกและรักษาบาดแผลให้ เพียงแต่ว่าอาการของเขาไม่มีแนวโน้วว่าจะดีขึ้นเลย หม่อมฉันเป็นกังวลมาก อยากเชิญหมอเทวดามาดูอีกครั้ง”
“หมอเทวดาเชิญยากหรือ” เว่ยเชียงได้ยินดังนั้นก็เข้าใจความหมายของพระชายาผิงหนานอ๋องทันที
พระชายาผิงหนานอ๋องยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่ใช่แค่เชิญยาก แต่เชิญไม่ได้เลยต่างหาก ครั้งที่แล้วที่หมอเทวดามาเป็นเพราะคุณหนูลั่วเป็นคนไปเชิญ”
เว่ยเชียงชะงัก “คุณหนูลั่วที่เปิดหอสุราหรือ”
พระชายาผิงหนานอ๋องกระตุกมุมปาก
ควรนึกถึงคุณหนูลั่วผู้เป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วมิใช่หรือ
“อืม น้องรองของพระองค์เอากำไลทองของเหวินเอ๋อร์ไปให้คุณหนูลั่วเป็นของขวัญขอบคุณ จึงขอให้คุณหนูลั่วช่วยเหลือได้”
เว่ยเชียงหรี่ตาเล็กน้อย ฟังความนัยบางอย่างออก
“รัชทายาท หม่อมฉันจำได้ว่ายังมีกำไลอีกวงหนึ่งอยู่ที่อวี้เสวี่ยนซื่อ พระองค์ขอให้นางสละของรักเพื่อช่วยท่านอาของพระองค์ได้หรือไม่” พระชายาผิงหนานอ๋องมองเว่ยเชียง ดวงตาเต็มไปด้วยคำวิงวอน
เว่ยเชียงใจอ่อนลงและกลับมาแข็งกระด้างดังเดิมอย่างรวดเร็ว
ครานั้นที่เขายอมตกลงเอาหลักฐานการก่อกบฏปลอมไปวางไว้ในจวนเจิ้นหนานอ๋อง เขาคิดอยากจะเลื่อนตำแหน่งตนให้สูงขึ้นจริงๆ บิดาแท้ๆ รับปากเขาว่าจะไม่ทำร้ายลั่วเอ๋อร์ แต่สุดท้าย บิดาผู้ให้กำเนิดก็สั่งคนไปสังหารลั่วเอ๋อร์ ลั่วเอ๋อร์ถูกธนูยิงตายต่อหน้าเขา
ครานั้นที่เขาแตกหักกับบิดา มารดาผู้ให้กำเนิดก็วิงวอนเช่นนี้กับเขา
แต่เหตุใดทำให้เขาเสียใจแล้ว เขาต้องอภัยให้เพียงเพราะคำขอร้องวิงวอนเล็กน้อยเหล่านี้
เว่ยเชียงส่ายศีรษะปฎิเสธ “กำไลทองคือเครื่องประดับประจำกายของสนมข้า หากต้องมอบมันให้กับคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนคงจะไม่เหมาะสม”
“แต่ร่างกายของท่านอา…”
เว่ยเชียงพูดเสียงราบเรียบว่า “คงไม่จำเป็นต้องใช้กำไลวงหนึ่งถึงจะขอร้องให้คุณหนูลั่วช่วยเหลือได้ ข้าจะไปขอร้องนางเอง”