ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 157 บาดแผลในใจ
ตอนที่ 157 บาดแผลในใจ
ไม่รู้ว่าหลินเถิงเดินถนนเส้นนี้ซ้ำไปมากี่ครั้งตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้จนถึงตอนนี้
เขาไม่ได้สนใจต้นไม้เก่าแก่ที่อยู่ที่นี่มาไม่รู้กี่ปี เดินผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่เมื่อครู่นี้เขาบังเอิญเห็นบางอย่างสีดำๆ โดยไม่ตั้งใจจึงหยุดฝีเท้าลง เมื่อมองใกล้ๆ ก็เห็นโพรงต้นไม้ที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางกิ่งก้าน
โพรงต้นไม้มีขนาดไม่ใหญ่นัก มันเกิดขึ้นในตำแหน่งที่บังเอิญ หากไม่ใช่บังเอิญเห็นก็คงพบได้ยาก
ถึงแม้จะพบแต่ก็เป็นเพียงโพรงต้นไม้เท่านั้น
แต่เมื่อหลินเถิงมองโพรงต้นไม้ การคาดเดาบางอย่างก็ผุดขึ้นมา
ที่จริงก็ไม่ใช่การคาดเดา
เมื่อผ่านการสืบสวนคดีมามากก็มักจะมีสัญชาติญาณบางอย่างที่มิอาจอธิบายได้ อาจเรียกได้ว่าประสบการณ์
ผู้ร้ายซ่อนตัวบนต้นไม้ลอบสังหารผิงหนานอ๋อง หากตอนที่หนีมือถือธนูไปด้วย เมื่อถูกผู้คนพบเห็นก็จะถูกจับได้ง่าย แม้จะจับตัวไม่ได้ การที่ผู้ร้ายนำธนูกลับที่พักอาศัยก็เป็นอันตรายอยู่ดี
หากตอนที่หนีวิ่งผ่านต้นไม้อายุยืนต้นนี้แล้วทิ้งธนูไว้ในโพรงต้นไม้นี้เล่า
แม้โพรงต้นไม้จะลึกลับมาก แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ผู้ร้ายอาจจะเหลือบเห็นโดยบังเอิญ หรือผู้ร้ายอาจจะรู้แต่แรกว่ามีโพรงต้นไม้นี้อยู่
เขาเคยตรวจสอบต้นไม้ที่คนร้ายซ่อนตัวอย่างละเอียดแล้ว มีร่องรอยบางอย่างที่พิสูจน์ได้ว่าคนร้ายวางแผนมานานแล้ว เขาเคยเหยียบที่นี่หลายครา
คนร้ายน่าจะคุ้นเคยกับที่นี่มาก
“ใต้เท้า?” ลูกน้องคนหนึ่งเห็นหลินเถิงนิ่งไม่ขยับเป็นเวลานานจึงเรียกด้วยความสงสัย
หลินเถิงไม่ได้ตอบลูกน้อง แต่เดินเข้าใกล้ต้นไม้อายุยืนและยื่นมือเข้าไปในโพรงต้นไม้
เย็นและลื่น
สัมผัสแปลกประหลาด ชวนให้ขนลุก
หลินเถิงจับบางอย่างที่คลำเจอในโพรงต้นไม้และดึงออกมา
งูเขียวตัวหนึ่งชูหัวขึ้น แลบลิ้นใส่คนที่รบกวนมันอย่างดุร้าย
ลูกน้องสองคนที่แม้จะเป็นบุรุษทำคดีฆาตรกรรมอยู่เสมอก็อดร้องอุทานขึ้นไม่ได้ในบัดนี้
หลินเถิงขว้างงูทิ้ง
งูเขียวกระแทกกิ่งไม้ ใบไม้ร่วงเพราะแรงกระแทก
หางของมันพันรอบกิ่งไม้ไว้อย่างคล่องแคล่วและเลื้อยหายไปอย่างรวดเร็ว
หลินเถิงสะบัดมือ สีหน้าไม่สู้ดีนัก
มือคู่นี้เคยสัมผัสศพมาหลากหลายประเภท จะน่าอนาถอย่างไรเขาก็ไม่เคยรู้สึกขยะแขยง
สำหรับเขาแล้ว เขารู้สึกเพียงเห็นใจผู้ถูกฆาตรกรรมโดยที่ไม่สามารถปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองได้
สิ่งที่เขาต้องทำก็คือการช่วยพวกเขาหาฆาตรกรให้เจอ สือบความจริงให้กระจ่าง
แต่ว่าการที่งูตัวหนึ่งขดตัวอยู่ในโพรงต้นไม้ ความรู้สึกเช่นนี้น่าขยะแขยงจริงๆ
ต่อไปเขาคงมีบาดแผลในใจกับโพรงต้นไม้แน่ๆ
เมื่อสงบอารมณ์ลงแล้ว หลินเถิงก็เดินสาวเท้าไปข้างหน้า
“ใต้เท้า ท่านจะไปไหนขอรับ” ลูกน้องสองคนไล่ตามไป
“ไปมีหอสุรา” หลินเถิงตอบและเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
เขาต้องล้างมือก่อนถึงจะสืบสวนต่อไปได้
“คุณชายใหญ่หลินมาอีกแล้วหรือ หอสุราของเรายังไม่เปิดเจ้าค่ะ”
หงโต้วกำลังสั่งให้ชายมีหนวดขัดล้างพื้นหินสีเขียวหน้าหอสุราซ้ำไปซ้ำมา เมื่อเห็นหลินเถิงมาก็ถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ไหนว่าคืนนี้คงไม่มีแขกมา เหตุใดเจ้าคนสกุลหลินนี่ถึงมาเร็วนักเล่า
ไม่รู้ประสาเลยจริงๆ!
“นี่พวกเจ้า…”
“ขจัดความโชคร้ายอย่างไรเจ้าคะ เมื่อคืนเกิดเรื่องน่ากลัวเช่นนั้น” หงโต้วตอบอย่างสมเหตุสมผล
หลินเถิงกระตุกมุมปาก
เขาไม่เห็นความหวาดกลัวบนใบหน้าของหงโต้วแม้แต่น้อย
“คุณชายใหญ่หลินยังไม่ได้บอกเลยว่ามาทำอะไร”
“เอ่อ ข้ามาขอยืมน้ำกระบวยหนึ่ง…” หลินเถิงกำลังพูดก็เห็นลั่วเซิงเดินออกมาจากโถงใหญ่ เขาจึงชะงักลงทันที
ลั่วเซิงเดินออกมา น้ำเสียงราบเรียบ “คุณชายใหญ่หลินกระหายน้ำอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
หลินเถิงหูแดงทันที
ทันทีที่ได้ยินคุณหนูลั่วพูดเช่นนี้ เหมือนกับว่าเขามีจุดประสงค์อย่างอื่นแล้วหาข้ออ้างว่าหิวน้ำเพื่อใกล้ชิดนางอย่างนั้น
ไม่ได้ ต้องอธิบายอะไรเสียหน่อยแล้ว
“เมื่อครู่นี้จับโดนงูตัวหนึ่ง อยากขอน้ำกระบวยหนึ่งล้างมือน่ะ”
“คุณชายใหญ่หลินสืบสวนคดีอยู่มิใช่หรือ เหตุใดจับงูเล่นเจ้าคะ”
หลินเถิงชะงัก
หากจะพูดถึงสาเหตุ เขารู้สึกอับอายอย่างไรไม่รู้
ลูกน้องคนหนึ่งอธิบายแทนผู้บัญชาการของตนอย่างใส่ใจว่า “ใต้เท้าเห็นโพรงต้นไม้จึงยื่นมือเข้าไปคลำ…”
ลั่วเซิงตกใจ มองหลินเถิงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
นางไม่กลัวว่าธนูที่นางทิ้งเข้าไปในโพรงต้นไม้จะถูกค้นพบ นางแค่ตกตะลึงกับความเฉียบไวและความละเอียดอ่อนของคนๆ นี้
มิน่าเสนาบดีจ้าวจึงโปรดปรานเช่นนั้นและยังมักจะพาหลินเถิงมาดื่มสุรา เห็นทีคงจะเป็นลูกน้องมากความสามารถ ทำให้เขาหมดห่วงจริงๆ
แต่ให้ลูกน้องมากความสามารถเช่นนี้มาสืบสวนคดีลอบสังหารผิงหนานอ๋อง นางไม่ชอบหรอกนะ
หงโต้วหัวเราะ “เหตุใดคุณชายหลินยังขุดโพรงต้นไม้เล่นเหมือนเด็กน้อยเลย…”
หลินเถิงหน้าดำหน้าแดง อยากจะพูดแก้ว่า เด็กไม่ขุดโพรงต้นไม้เล่น เด็กขุดรังนกต่างหาก
“คุณชายใหญ่หลินจับงูตัวหนึ่งออกมาจากโพรงต้นไม้?” ลั่วเซิงเลิกคิ้ว น้ำเสียงตะลึงงัน
ในความเป็นจริงแล้วความตะลึงในใจนางไม่เพียงเท่านี้
ธนูที่เตรียมไว้สำหรับผิงหนานอ๋อง นางไม่เคยไปเอากลับมา
แต่ทั้งๆ ที่เป็นธนูฆ่าคน เหตุใดจึงกลายเป็นงูได้เล่า
หรือว่าธนูคันนั้นไม่ใช่ธนู แต่แปลงกายมาจากปีศาจงูนะ
ครานี้เอง แม้แต่ลั่วเซิงก็อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้
หลินเถิงหน้านิ่งกระแอมเบาๆ “สะดวกให้ข้าล้างมือหรือไม่”
“เข้ามาเถอะ” ลั่วเซิงมองเขา หันหลังเดินเข้าไป
หลินเถิงเดินตามไปเงียบๆ
ลั่วเซิงพาหลินเถิงเข้ามาในสวน ชี้ไปที่บ่อน้ำใกล้ผนัง “คุณชายใหญ่หลินเชิญตามสบายเจ้าค่ะ”
หลินเถิงเดินไปตักน้ำกระบวยหนึ่งขึ้นมา ล้างมืออย่างมีความสุข
ลั่วเซิงแอบนับเงียบๆ เขาล้างไปอย่างน้อยเจ็ดครั้ง เห็นทีคงจะขยะแขยงมากจริงๆ
นางแอบสะใจเล็กน้อย ถามขึ้นอย่างสบายๆ ว่า “งูที่จับออกมามีลักษณะเป็นอย่างไรหรือ”
หลินเถิงตักน้ำขึ้นมาหนึ่งกำมือ เมื่อได้ยินดังนั้นก็มองเด็กสาวที่ถามคำถามนี้ขึ้นมาอย่างตกใจ
เหตุใดสิ่งที่คุณหนูลั่วใส่ใจจึงแปลกเช่นนี้เสมอเลยนะ
แม้จะแปลกใจ แต่ก็ต้องตอบคำถาม ถึงอย่างไรเขาก็มาใช้น้ำของคนอื่น
หลินเถิงยืดตัวตั้งตรง พูดอย่างเก้อเขินว่า “ตัวสีเขียว”
“อืม” ลั่วเซิงพยักหน้า เตือนด้วยความหวังดีว่า “ต่อไปคุณชายหลินระวังหน่อยก็ดี หากเป็นงูพิษ โดนกัดเข้าจะทำอย่างไร”
หลินเถิงหน้าเปลี่ยนสี
เขาคิดแต่ว่าเรื่องขยะแขยง กลับลืมไปว่าหากเป็นงูพิษจะเป็นอันตรายต่อชีวิตเขา
มองเด็กสาวที่ยิ้มให้ เขาอดกระตุกมุมปากไม่ได้
ขอบคุณคุณหนูลั่วที่เตือนจริงๆ
“คุณชายใหญ่หลินจะสืบสวนต่อหรือไม่เจ้าคะ” เด็กสาวถือโอกาสถาม
ข้างหลังนางมีเถาองุ่น พวงองุ่นห้อยลงมาในเวลานี้ แวววาวราวหินโมราสีเขียวสลับแดง
กลิ่นเนื้อตุ๋นที่โชยมานอกห้องครัวเหมือนกับว่าจะเข้มข้นขึ้นแล้ว
หลินเถิงหมดความเพียรในการสืบสวนคดีต่อไป
สืบสวนอะไรอีกเล่า กินข้าวดีๆ สักมื้อสิถึงจะถูกต้อง
“ดึกแล้ว พรุ่งนี้ค่อยสืบสวนต่อ”
ลั่วเซิงเด็ดองุ่นที่มีสีแดงจนม่วงโยนเข้าปาก ก้าวเท้าเดินเข้าไปทางห้องโถง “ลำบากคุณชายหลินแล้ว ข้าส่งคุณชายออกไปเอง”
หลินเถิงกลับมายังห้องโถง หยุดฝีเท้าลง “ถึงเวลาเปิดหอสุราแล้วใช่หรือไม่”
เขาไม่ไป เขาจะกินข้าวที่นี่
ลั่วเซิงยิ้มเบาๆ “คุณชายหลินจะกินข้าวกับลูกน้องที่นี่หรือ”
ลูกน้องทั้งสองตาลุกวาว
เลี้ยงข้าว?
ดีจังเลย ได้ยินมานานแล้วว่าอาหารของหอสุราแห่งนี้อร่อยมาก แต่ก็แพงมากด้วย
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ที่ที่ข้าราชการตัวน้อยๆ เช่นพวกเขากินได้
จู่ๆ หลินเถิงก็นึกถึงลูกน้องอีกสองคน เขาหันไปมองชายร่างสูงและบึกบึนสองคนอย่างแข็งเกร็ง ค่อยๆ พูดขึ้นว่า “ไม่แล้ว ข้าแค่ถามดู วันนี้วันหนึ่งค่ำ ครอบครัวยังรอข้ากลับไปทานข้าวอยู่”