ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 129 หาที่พึ่งพิง
ตอนที่ 129 หาที่พึ่งพิง
ภายในร้าน เหลือลูกค้าอยู่เพียงสองโต๊ะ
โต๊ะหนึ่งคือเว่ยหานผู้มาที่นี่ติดต่อกันเป็นเวลาสามวันแล้ว และอีกโต๊ะหนึ่งก็คือชายฉกรรจ์ผู้มาที่นี่ติดต่อกันสามวันแล้วเช่นกัน
ชายฉกรรจ์ยังคงดูดกระดูกไก่
เว่ยหานเช็ดมุมปากท่าทางสง่างามแล้วสั่งให้สือเยี่ยนหักเงินค่าอาหารจากเงินเมื่อวาน
“กลับดีๆ นะขอรับ” สือเยี่ยนส่งนายของตนที่ประตูเช่นเดิม
ไร้หนทาง แม้ปากจะเรียกเขาว่าลูกค้า หากแต่ต้องไม่ลืมว่านี่คือนายท่านจริงๆ ไม่อย่างนั้นได้กลับไปขัดถังส้วมอีกรอบแน่
นึกถึงมื้อเย็นที่ได้ทานเมื่อสองวันที่ผ่านมา เขาจำเป็นต้องทำหน้าที่ดูแลต้าไป๋ต่อไปให้ได้!
แต่เว่ยหานกลับไม่ได้เดินออกไปข้างนอก ฝีเท้าค่อยๆ ขยับเข้าไปทางลั่วเซิง
สือเยี่ยนเหลือบมอง จากนั้นก็หลุบนัยน์ตาลงแล้วยืนอยู่ที่เดิมไม่เข้าไปรบกวน
เอ่ยวาจากับคุณหนูลั่วบ้างก็นับว่าดียิ่ง น้ำเซาะลงหินทุกวันหินยังกร่อน เหล็กยังฝนให้เป็นเข็มได้ มิแน่ว่าหัวใจแข็งดั่งเหล็กของคุณหนูลั่วจะหวั่นไหวเขาสักวัน
แต่อย่างไรเสีย จะสั่งอาหารเพิ่มอีกไม่ได้แล้ว!
คิดถึงเรื่องนี้ สือเยี่ยนก็ไออย่างหนักราวกับเป็นการเตือน
เว่ยหานหยุดอยู่ตรงหน้าลั่วเซิง
ลั่วเซิงกายแนบอยู่กับตู้คิดเงินท่าทางเกียจคร้าน เงยหน้าขึ้นมองเขา “ท่านอ๋องมีเรื่องอันใดหรือ”
เว่ยหานพยักหน้าให้เล็กน้อย
“เกรงว่าคืนพรุ่งนี้ข้าจะไม่สามารถมาได้”
น้ำเสียงของเขาสงบราบเรียบ หากใครที่ไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองได้ยินเข้า เก้าในสิบส่วนก็อาจจะเข้าใจผิดได้ว่านี่คือคู่สามีภรรยาวัยชราที่ปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพ
ดวงตาของสือเยี่ยนสว่างวาบ
นายท่านมีอนาคตแล้ว
หากแต่ท่าทางของลั่วเซิงนั้นสุขุมยิ่ง แม้แต่เสียงตอบรับสักคำยังไม่มี เพียงจ้องมองอีกฝ่ายเงียบๆ
นี่คือหอสุรา พรุ่งนี้จะมาหรือไม่นั้นไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้กระมัง
“พรุ่งนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่หากจะให้สือเยี่ยนส่งอาหารไปที่จวนอ๋อง” เว่ยหานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยความต้องการในท้ายที่สุด
ภาพตรงหน้าของสือเยี่ยนพลันมืดมัว แทบจะคุกเข่าลงต่อหน้านายท่านของตน
นายท่านหนอนายท่าน ท่านเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าคุณหนูลั่วอย่างจริงจังเช่นนี้ หากจะชมนางสักประโยคว่าวันนี้อาภรณ์ที่สวมใส่สวยงามตาก็นับว่าไม่เลวแล้ว
แต่สุดท้ายกลับถามนางว่าห่อหารส่งไปที่จวนได้หรือไม่!
ลั่วเซิงกลับไม่แม้แต่จะลังเล ยิ้มตอบ “ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ร้านเล็กๆ แห่งนี้มิอาจส่งได้ และไม่อนุญาตให้ลูกค้าห่อกลับ”
กฎอื่นของร้านอาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ต้องไม่ใช่กฎข้อนี้
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่นางจะสามารถตกปลาตัวใหญ่ตัวนั้นได้
ดวงตาของเว่ยหานมืดลงเล็กน้อย
ไม่หักเศษให้ ไร้ส่วนลด ไม่มีบริการจัดส่ง และไม่มีอาหารเครื่องเคียง
หลังจากยืนยันได้แล้วว่าสถานะของเขานั้นเทียบเท่ากับชายฉกรรจ์ผู้ดูดกระดูกไก่อยู่ เว่ยหานก็เอ่ยเสียงเรียบ “แล้วพบกันใหม่”
“กลับดีๆ เจ้าค่ะท่านอ๋อง” ลั่วเซิงย่อกายให้เล็กน้อย ราวกับต้องกายไล่แขกออกไป
สือเยี่ยนทนมองต่อไม่ได้อีกแล้ว ลูบหน้าผากของตนเบาๆ
ไฉนนายท่านถึงได้อยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้หนอ
เว่ยหานผินกายเดินออกไป
สือเยี่ยนรีบตามติดไปทันที “ข้าน้อยจะไปออกไปส่งขอรับ”
“ไม่ต้อง” เว่ยหานไม่ได้หยุดเดิน สาวเท้าตรงไปข้างหน้า
สือเยี่ยนติดตามไปอย่างใกล้ชิด ยังคงยืนกราน “ให้ข้าน้อยไปส่งเถอะขอรับ”
ภายนอกหอสุรา สายลมยามค่ำคืนพัดพาความร้อนของวันออกไป นำพามาเพียงแต่ความหนาวเย็นสายหนึ่ง
สือเยี่ยนเรียกเว่ยหาน “นายท่าน…”
เว่ยหานมองเขาเงียบๆ
พรุ่งนี้ไม่ได้กินอาหารที่คุณหนูลั่วทำ อารมณ์จึงไม่ค่อยดีนัก เจ้าเด็กคนนี้เงียบปากไว้จะเป็นการดีกว่า
สือเยี่ยนหาได้ต้องการไปสะกิดต่อมให้นายท่านขุ่นเคืองไม่ แต่เขาต้องมองถึงอนาคตในวันหน้า ไม่อาจละทิ้งความเป็นไปได้ของความสำเร็จในระยะยาวเพียงเพื่อผลกำไรเพียงเล็กน้อยในยามนี้ได้
องครักษ์ตัวน้อยพลันเกิดความกล้าหาญขึ้นมา อ้าปากกล่าว “นายท่าน ท่านจะเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้นะขอ…”
กล่าวยังไม่ทันจบ เขาก็อยากจะเอามือตะครุบปากตนเอง “อ๊ะ ปากหนอปาก”
ต่อจากนี้ต้องอยู่ให้ห่างโค่วเอ๋อร์สักหน่อยแล้ว!
คิดถึงโค่วเอ๋อร์ ขมับของสือเยี่ยนก็เต้นตุบๆ
ตอนที่เขาเพิ่งจะมาที่นี่ เขาคิดว่าโค่วเอ๋อร์นั้นเป็นสาวใช้ธรรมดาที่หายากยิ่ง แต่เขากลับไร้เดียงสามากจริงๆ
“ข้าทำอะไรไม่ได้รึ” ดวงตาของเว่ยหานเต็มไปด้วยแสงเย็นเยียบ
สือเยี่ยนยิ้มแห้ง “ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้น…”
“เช่นนั้นเจ้าหมายถึงอะไร” เว่ยหานหยุดโดยพลัน มองดูองครักษ์ตัวน้อยอย่างจริงจัง
เขาเองก็อยากรู้ว่าเขาทำอะไรไม่ดีตรงไหน ถึงทำให้แม้แต่เศษเงินคุณหนูลั่วก็ไม่ยอมหักให้ด้วยซ้ำ
สือเยี่ยนใกล้จะร้องไห้แล้ว “นายท่าน ท่านอย่าคิดมากเลย ท่านทำได้ ข้าน้อยหมายความว่าถ้าท่านอยากเอาใจคุณหนูลั่ว จะหาจังหวะเข้าไปพูดคุยอย่างแห้งแล้งเช่นนี้ไม่ได้…”
เว่ยหานขมวดคิ้ว น้ำเสียงกระด้าง “ข้าไม่ได้อยากจะเอาใจคุณหนูลั่ว”
เขาแค่ชอบอาหารที่คุณหนูลั่วทำ มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น
สือเยี่ยนได้ยินก็ลืมความกลัวไปหมดสิ้น เหลือเพียงความเสียใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้ ‘ทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้นะ!’
“นายท่านอยากทานอาหารที่คุณหนูลั่วทำตลอดเลยกระมัง”
เว่ยหานผงกศีรษะ
“ท่านคิดว่าตอนที่ท่านมีธุระแต่ไม่สามารถมาได้ คุณหนูลั่วจะยกเว้นกฏและยอมส่งอาหารให้ใช่หรือไม่”
เว่ยหานผงกศีรษะอีกครา
“ท่านคิดว่าวันหนึ่ง หากท่านอยากกินอะไรก็สามารถให้คุณหนูลั่วทำให้กินได้กระมัง”
เว่ยหานลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
ความคิดนี้มากเกินไปหรือไม่
“เพราะฉะนั้น!” สือเยี่ยนปรบมือทีหนึ่ง “หากท่านเอาใจคุณหนูลั่วหน่อย เรื่องพวกนี้จะไม่เกิดขึ้นจริงหรือ”
เว่ยหานเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ
ค่ำคืนนี้ยังไม่มืดนัก ห่างออกไปนั้นก็ยังมีแสงโคมนับพันดวงส่องสว่าง
ใบหน้างามขาวพิสุทธิ์ของชายหนุ่มถูกย้อมด้วยสีแดงเข้มจากแสงไฟสีส้มทอดยาวมาจากโคมแดงขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่นอกร้านค้าริมถนน
เขากระแอมไอเล็กน้อยและเอ่ยถามสือเยี่ยน “จะสามารถเอาใจคุณหนูลั่วได้อย่างไร”
“แน่นอนว่าต้องทำตามสิ่งที่นางชอบ” สือเยี่ยนเห็นว่านายท่านเริ่มฟังแล้วก็รู้สึกตื่นเต้น
“ทำตามสิ่งที่นางชอบหรือ” เว่ยหานขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นานแล้วเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ “เจ้าจะบอกว่าให้หานายบำเรอส่งให้คุณหนูลั่วรึ”
สือเยี่ยนแทบะจะสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น
จะส่งนายบำเรอไปทำพระแสงอะไรกัน นอกจากเขายังมีหมิงจู๋ และฟู่เสวี่ย นี่ยังจะมีคนอื่นมาเพิ่มอีกรึ
ประเดี๋ยวก่อน คล้ายกับจะมีบางอย่างผิดปกติ…
แต่อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องนี้ก่อนเลย
“ข้าน้อยคิดว่าตอนนี้คุณหนูลั่วไม่ได้สนใจเรื่องนายบำเรออีกแล้ว อีกอย่างนายบำเรอทั้งสองนั้นก็กำลังเลี้ยงดูห่านอยู่”
ใบหน้าของเว่ยหานเปลี่ยนเป็นเย็นชา “งั้นก็รีบบอกข้ามาว่าต้องทำอย่างไร หยุดยืดเยื้อเสียที”
นี่เขายินดีจะส่งนายบำเรอไปให้คุณหนูลั่วจริงหรือ
“อะแฮ่ม ท่านสามารถสังเกตอย่างรอบคอบได้ ดูว่าคุณหนูลั่วสนใจอะไรมากที่สุด ข้าน้อยคิดว่าหญิงสาวทุกคนชอบไม่เหมือนกันกระมัง”
เว่ยหานเข้าใจกระจ่างแล้ว
แท้จริงแล้วเจ้าเด็กคนนี้ก็แค่คุยโว ไม่ได้รู้ดีไปกว่าเขามากนัก
เว่ยหานหมดความสนใจในการซักถามต่อ โบกมือส่งให้สือเยี่ยนกลับไป
ภายในร้าน ชายฉกรรจ์กำลังซักถามคุณชายสามเซิ่งว่า “โต๊ะนั้นได้สิทธิ์อะไรถึงได้ลดครึ่งราคา ข้าแม้แต่แดงเดียวก็ไม่ลดให้ด้วยซ้ำ”
คุณชายสามเซิ่งอธิบายอย่างอารมณ์ดี “เพราะโต๊ะนั้นมีสหายของเถ้าแก่อยู่อย่างไรเล่าขอรับ”
ชายฉกรรจ์เดิมไม่ได้อยากฟังคำอธิบาย เพียงต้องการเก็บเงินก้อนสุดท้ายไว้ในกระเป๋าเท่านั้น “เช่นนั้นไม่ได้ หากให้พวกเขาครึ่งราคาก็ต้องให้ข้าครึ่งราคาด้วย ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ออกไป!”
หงโต้วผลักคุณชายสามเซิ่งออก เอามือเท้าสะเอวแล้วเอ่ยปากด่า “ถุย แม้แต่ไคหยางอ๋องมากินที่นี่ก็ไม่ได้ลดสักแดงเดียวแล้วเจ้าใหญ่กว่าไคหยางอ๋องตรงไหนหรือ ยังไม่คิดจะจากไปอีก เจ้าคิดว่าพวกข้าจะเสนออาหารที่ไม่คิดเงินให้ด้วยอย่างนั้นรึ”
“อาหารไม่คิดเงินอย่างนั้นหรือ อาหารที่ไม่คิดเงินอะไรกัน” ชายฉกรรจ์พลันจับประเด็นสำคัญได้
ประจวบเหมาะกับที่สือเยี่ยนเดินเข้ามาพอดี ครั้นได้ยินชายฉกรรจ์เอ่ยถึงอาหารที่ไม่คิดเงินเข้า ก็เอื้อมมือออกไปคว้าคอชายฉกรรจ์แล้วโยนออกไป พร้อมตะโกน “ปิดประตู!”
หงโต้วกระแทกประตูปิดดังปังแล้วหันไปส่งยิ้มหวานให้สือเยี่ยน “สือซานหั่ว เจ้าทำได้ดีมาก”
สือเยี่ยนกะพริบตาปริบๆ ในใจคิด ‘ดูสิ นี่มิใช่วิธีทำให้หญิงสาวพอใจหรือไร’
แท้จริงแล้วง่ายดายเช่นนี้นี่เอง
ชายฉกรรจ์ผู้ถูกโยนออกไปนอกร้านขวัญหนีดีฝ่อกลับเรือน ร้องไห้โฮเสียงดังระงม
ฮึกฮึกฮึกฮือ กินหมดตัวขนาดนี้แล้ว ข้าจะทำยังไงดี
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ามีเมฆมากเล็กน้อย
เด็กชายหน้าดำมองขึ้นไปที่ประตูเมือง เอ่ยบ่น “พี่ชาย ดูท่าทางแล้วประตูเมืองหลวงจะสูงยิ่ง”
ชายมีหนวดเผยยิ้ม “อย่ากลัวไป พวกเรามีคนคอยช่วยเหลืออยู่ในเมืองหลวง”