ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 314-1 ร้ายลึก
ภายในเรือนเวยอวี่ ติงหลั้วเหยียนเล่นเป็นเพื่อนเฉิงเซวียนอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ส่วนทางด้านหลี่หมิงเจ๋อกำลังอ่านสาส์นอยู่ข้างๆ
“อีกไม่กี่วันพวกน้องรองก็จะย้ายออกไปแล้ว เรื่องงานแต่งของหมิงจูก็กำหนดไว้แล้วเช่นกัน แต่ละคนล้วนพากันย้ายออกไป พอข้านึกขึ้นมา ก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ และยังรู้สึกเสียใจด้วย” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่
“หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อต้องกลับมา พวกเขาก็คงไม่ย้ายออกไป” ติงหลั้วเหยียนบ่นอุบอิบขึ้นมาอีกประโยคในตอนท้าย
หมิงเจ๋อพับสาส์นราชการ แล้วเดินเข้ามาอุ้มเฉิงเซวียน จากนั้นกล่าวขึ้นขณะหยอกเย้าบุตรชาย “พวกเขาไปได้ แต่ข้าในฐานะพี่ใหญ่จึงไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ถึงอย่างไรจะปล่อยให้ผู้คนพากันพูดว่าบุตรชายของตระกูลหลี่ทอดทิ้งบิดาของตนเองมิได้เชียว ต่อให้ท่านพ่อกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องไว้มากมายเพียงใด เขาก็ยังเป็นพ่อ คำว่ากตัญญูนี้มันยิ่งใหญ่ประดุจภูเขาน่ะสิ!”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความสองจิตสองใจ “ไม่ว่าอย่างไรท่านพ่อก็ต้องกลับมาใช่หรือไม่ หรือว่าเจ้าจัดการให้ท่านพ่อกลับไปบ้านเกิดดีล่ะ”
ลึกๆ แล้วในใจติงหลั้วเหยียนไม่ยินดีที่พ่อตาจะกลับมา แม้ว่าเป็นการอภัยโทษให้พ่อตาโดยฮ่องเต้ก็ตาม แต่มันไม่อาจลบล้างเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นได้ การมีบิดาเช่นนี้อยู่ในบ้าน คงไม่ดีต่อเส้นทางในหน้าที่การงานของหมิงอวินเท่าใดนัก
หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม “นี่คงต้องดูเจตจำนงของท่านพ่อ หากท่านไม่อยากกลับไป พวกเรายังจะบังคับเขาให้กลับไปได้หรือ” ด้วยความเข้าใจในตัวบิดา บิดาคงไม่ยินยอมที่จะกลับบ้านเกิดเป็นแน่ บิดากลัวอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง หากจะให้กลับบ้านเกิด คงต้องเป็นร่างไร้วิญญาณสถานเดียว บีบบังคับให้ตายเขาคงไม่มีทางกลับไป
“เช่นนั้น…จัดการที่อยู่อาศัยสักแห่งในเมืองเทียนจินหรือสถานที่อื่นให้ท่านพ่อได้หรือไม่ พวกเราแค่จ้างบรรดาข้ารับใช้มากหน่อยให้ช่วยดูแลเขา และพวกเราค่อยกำหนดวันเวลาไปเยี่ยมเยียนเขา” ติงหลั้วเหยียนเสนอความคิดเห็น ด้วยความไม่ยอมตายใจ
หมิงเจ๋อครุ่นคิดชั่วขณะ ก่อนกล่าวขึ้น “เอาเป็นว่ารอท่านพ่อกลับมาก่อน ค่อยว่ากันอีกทีเถอะ!”
ติงหลั้วเหยียนจึงนิ่งเงียบอย่างหงุดหงิด และรู้สึกอึดอัดใจกว่าครั้งไหนๆ
“จริงสิ ฤกษ์งามยามดีของน้องหมิงจูกำหนดได้แล้วหรือไม่” หมิงเจ๋อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“กำลังจะกำหนดน่ะ เจ้าช่วยจัดการโยกย้ายซ่งเหยียนมาประจำตำแหน่งงานหนึ่งในสำนักกิจการขนส่งเกลือหลวง ณ ฮวยโจวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานก็ต้องเข้าทำหน้าที่ ตระกูลซ่งจึงอยากจัดงานแต่งให้เรียบร้อยโดยเร็วไวเช่นกัน จะได้ให้หมิงจูไปฮวยโจวพร้อมกันเลย” ติงหลั้วเหยียนกล่าวอย่างใจเย็น
หมิงเจ๋อพยักหน้า “ซ่งเหยียนผู้นั้น ข้ากับน้องรองเคยเจอะเจอแล้ว เป็นบุรุษที่ดูสุภาพอ่อนโยนผู้หนึ่ง น้องหมิงจูอยู่กับเขา คงไม่ได้รับความไม่ยุติธรรมไปได้ จะพูดอย่างไรดีละ ถึงอย่างไรมันก็ดีกว่าการไปเป็นแม่ชี เรื่องใหญ่โตบั้นปลายชีวิตของน้องข้าจะได้มีที่พึ่งพิง ข้าเองก็วางใจด้วยเช่นกัน”
“สินเดิมของน้องหมิงจู ข้าและน้องสะใภ้รองได้ปรึกษาหารือกันบ้างแล้ว ทางเราออกส่วนหนึ่ง น้องรองออกส่วนหนึ่ง แล้วก็เฉลี่ยจากทรัพย์สินที่เหล่าไท่ไททิ้งไว้ให้อีกส่วนหนึ่งแบ่งออกมา อย่างพวกบ้านเรือนและที่ดินอะไรนั่นก็ไม่ต้องคำนึงถึงแล้ว เอาแค่พวกเครื่องประดับ เปลี่ยนเป็นตั๋วเงินแล้วให้นางพกติดไปฮวยโจว เมื่อถึงที่นั่นแล้ว นางอยากซื้อบ้านหรือซื้อที่ดินล้วนสะดวกสบายกว่า” ติงหลั้วเหยียนกล่าว
“เจ้าไตร่ตรองได้ยอดเยี่ยมมาก ซ่งเหยียนไปฮวยโจวครั้งนี้ อยากน้อยๆ ก็ต้องอยู่ที่นั่นสามปีขึ้นไป สามปีจากนั้นค่อยว่ากันอีกที! ข้าและน้องรอง หากยังพอหาตำแหน่งได้สักตำแหน่ง ค่อยคิดวิธีจัดการให้เขาโยกย้ายมารับตำแหน่งในเมืองหลวง เมื่อถึงตอนนั้นทั้งครอบครัวเราจะได้พบปะดูแลกันได้ง่ายดายหน่อย” หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความพึงพอใจ ก่อนก้มลงไปจุมพิตดวงหน้าน้อยๆ ของเฉิงเซวียน แล้วกล่าว “เฉิงเอ๋อร์ เจ้าว่าใช่หรือไม่”
ติงหลั้วเหยียนรู้สึกหดหู่ใจ “หากเป็นเช่นนี้ได้ก็คงดีเยี่ยมที่สุด ครอบครัวอื่นเขาพร้อมหน้าพร้อมตาครึกครื้นเริงร่า อยู่กันอย่างอบอุ่นเบิกบานใจ ก็มีแต่ครอบครัวเรา นับวันยิ่งเงียบสงัด”
หลี่หมิงเจ๋อเข้าใจดีว่าหลั้วเหยียนอาลัยอาวรณ์หลินหลัน จึงกล่าวปลอบประโลมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ถึงเจ้าจะเห็นว่าในครอบครัวคนอื่นเขาครึกครื้นเริงร่า อยู่กันอย่างอบอุ่นเบิกบานใจ นั่นล้วนเป็นภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ครอบครัวใครบ้างจะไร้เรื่องกลัดกลุ้มใจ ลึกๆ แล้ว ไม่อาจรู้ได้เลยว่ามีความกังวลใจเช่นไรบ้าง! ทว่าเจ้ากับน้องสะใภ้ มีความสามัคคีกลมเกลียวกันอย่างแท้จริง แม้พวกเขาต้องย้ายออกไป แต่ย่านเฮ๋อฮวาห่างจากที่นี่ไม่ไกลเลย นั่งรถม้าเพียงชั่วครู่เดียวก็ถึงแล้ว หากเจ้าคิดถึงนางจะไปเยี่ยมเยียนก็ย่อมได้”
“นั่นจะเหมือนกันได้อย่างไร แค่ความรู้สึกก็แตกต่างกันแล้ว การอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ต่อให้ไม่ได้พบเจอหน้ากันทุกวัน จะอย่างไรก็อยู่ในพื้นที่เดียวกัน จึงรู้สึกอุ่นใจได้” ติงหลั้วเหยียนกล่าวโต้แย้ง
หลี่หมิงเจ๋อกล่าว “เจ้าก็ไม่ใช่ไม่รู้ ด้วยเรื่องเหล่านั้นที่ท่านพ่อกระทำต่อน้องรอง น้องรองจึงไม่มีทางเลือกอื่น ไม่เห็นหน้าจะได้ไม่ต้องเป็นปัญหาขัดแย้งไปเปล่าๆ”
ถึงหลั้วเหยียนถอนหายใจอย่างเงียบๆ ซึ่งนางเองก็ไร้ข้อโต้เถียงในประเด็นนี้ได้เช่นกัน อย่าว่าแต่หมิงอวินอยากไปเลย นางเองก็อยากไปเช่นกัน แต่จะอย่างทำอย่างไรได้ละ
เฉียวอวิ๋นซีรับรู้ว่าพวกเขากำลังจะย้ายไปทางด้านนั้น จึงดีอกดีใจอย่างยิ่ง ช่วยจัดการให้ทุกอย่างด้วยความกระตือรือร้น ทั้งช่างก่อสร้าง ช่างไม้ และคนสวนล้วนเป็นนางช่วยจัดหามาให้ นางเฝิงในฐานะสำคัญอย่างแม่เลี้ยงและสหายที่ดีของหลินหลัน เป็นธรรมดาที่จะไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่ โดยขยันไปทางด้านเฉียวอวิ๋นซีนั่นทุกวี่ทุกวัน ทั้งสองคนมีการปรึกษาหารือเกี่ยวกับการจัดระเบียบบ้านหลังใหม่ของหลินหลัน เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงช่วยหลี่หมิงอวินได้มากทีเดียว เขาจึงแวะเวียนไปดูชั่วครู่ชั่วคราวสามวันครั้ง
แม่โจวถือสมุดรายชื่อฉบับหนึ่งมาให้นายหญิงสะใภ้รองดู
“ทั้งหมดนี่เป็นคนงานที่จัดเตรียมไว้สำหรับบ้านใหม่ทางด้านนั้นเจ้าค่ะ ต้าเส้าหน่ายนายดึงคนเก่าแก่ในจวนไปให้ด้วยสองสามคน และบ่าวก็ได้ไปพบคนกลางที่ช่วยจัดหาคนงาน ซื้อสาวใช้สิบสองคนและข้ารับใช้เด็กหนุ่มอีกหกคนเจ้าค่ะ ทางด้านจวนท่านแม่ทัพจัดองค์รักษ์ประจำบ้านมาแปดคน ผนวกกับคนของเรือนหลั้วเซี๋ยจายเรา รวมเป็นทั้งหมดสี่สิบสองคนเจ้าค่ะ กำลังคนน่าจะเพียงพอแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้กำหนดผู้ดูแลใหญ่ เอ้อร์เส้าหน่ายนายท่านว่า…ในบรรดาตัวเลือกตอนนี้ ผู้ใดค่อนข้างเหมาะสมที่สุดหรือเจ้าคะ หากทั้งหมดไม่เหมาะสม บ่าวจะได้ไปจ้างจากด้านนอกมาสักคนหนึ่งเจ้าค่ะ”
หลินหลันมองดูสมุดรายชื่อพลางเอ่ยถาม “สาวใช้และข้ารับใช้เด็กหนุ่มที่ซื้อมาใหม่เหล่านี้ ท่านสอดส่องดูทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่”
“สอดส่องดูแล้วเจ้าค่ะ ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทิน ขยันขันแข็งว่องไว และลงนามสัญญารูปแบบตลอดชีวิตเป็นที่เรียบร้อยเจ้าค่ะ ดังนั้นพวกเขาคงไม่กล้าเกียจคร้านแน่นอนเจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าวตอบ
หลินหลันพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เช่นนี้ก็ดีแล้ว ส่วนตัวผู้ที่จะเลือกมาเป็นผู้ดูแลใหญ่ ในใจข้ามีอยู่ผู้หนึ่งที่เหมาะสมเป็นพิเศษ”
แม่โจวคาดเดา “เอ้อร์เส้าหน่ายนายหมายถึง…ฝูอานหรือเจ้าคะ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เห็นทีว่าเจ้าก็รู้สึกว่าคนผู้นี้เหมาะสมเช่นกันสินะ ถูกต้อง ก็ฝูอานนั่นละ เมื่อก่อนข้าเคยให้เขาช่วยดูแลจัดการหุยชุนถาง ก็เพราะเห็นว่าเขาจัดการเรื่องราวได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ระมัดระวังรอบคอบ ทั้งเรื่องภายนอกภายในล้วนจัดการได้ครบถ้วนเหมาะสม เป็นผู้มีความสามารถในการทำเรื่องต่างๆ ได้ดีทีเดียว อีกทั้งเขาก็เป็นบุตรจากครอบครัวที่อยู่ในตระกูลเยี่ย เป็นสามีของอวี้หลง ไม่มีผู้ใดเหมาะสมไปยิ่งกว่าเขาแล้ว ไว้อีกเดี๋ยวเจ้าไปถามไถ่ดู ว่าเขามีความคิดเห็นเช่นไร หากเขาตกลงก็ให้มากันทั้งครอบครัวเลย อวี้หลงจะได้ช่วยจัดการดูแลเรื่องบ้านชั้นในด้วย แม่โจว ท่านอายุอานามไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ว่ากันตามหลักควรพักผ่อนอย่างสบายๆ ตั้งนานแล้ว ทว่าข้างกายข้าก็ไร้ผู้มีความสามารถเฉกเช่นท่าน จึงต้องให้ท่านลำบากมาถึงทุกวันนี้ ข้ารู้สึกขอโทษด้วยจริงๆ แต่ก็คงต้องให้ท่านช่วยชี้นำอวี้หลงสักระยะหนึ่ง ไว้ถึงเวลาอันเหมาะสม ท่านอยากกลับเฟิงอาน หรืออยู่ในเมืองหลวงล้วนตามใจท่าน ท่านช่วยเหลือข้าและเอ้อร์เส้าเหยียมากมายเพียงนี้ ในใจข้าเห็นท่านเป็นญาติของตนเองผู้หนึ่งเช่นกัน ”
แม่โจวกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “ความรู้สึกนึกคิดของเอ้อร์เส้าหน่ายนาย มีหรือบ่าวจะไม่รู้ บ่าวซาบซึ้งใจเกินบรรยาย บ่าวปรนนิบัติเหล่าไท่ไทเยี่ยมาครึ่งชีวิต ว่ากันตามหลักควรกลับไปอยู่เป็นเพื่อนเหล่าไท่ไท ทว่าบ่าวก็ยังไม่อาจวางใจท่านและเอ้อร์เส้าเหยียได้ หากเอ้อร์เส้าเหยียไม่รังเกียจที่บ่าวอายุมากแล้ว ใช้การใช้งานอันใดไม่ได้ บ่าวก็ยังอยากอยู่ปรนนับิตข้างกายเอ้อร์เส้าหน่ายนายอีกสักสามสี่ปี รอให้คุณชายน้อยเติบใหญ่ขึ้นมาหน่อย บ่าวค่อยกลับเฟิงอานเจ้าค่ะ”
กล่าวตามจริง ตลอดที่ผ่านมา หลินหลันเชื่อใจได้มากที่สุดก็คือแม่โจว กุ้ยซ่าว หยินหลิ่วและอวี้หลง โดยเฉพาะแม่โจว การมีนางอยู่ด้วย หลินหลันจึงรู้สึกอุ่นใจ ก็เสมือนกับกระดูกสันหลังหรือเข็มเทพใต้ท้องทะเล หากแม่โจวจากไปจริงๆ นางคงอาลัยอาวรณ์เป็นแน่
“เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เพียงแต่ต้องทำให้ท่านเหนื่อยใจอยู่เรื่อย” หลินหลันกล่าวด้วยความรู้สึกผิด
“ต่อให้บ่าวเหนื่อยใจเพียงใด ก็เป็นความสุขอยู่ดีเจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินหลันมองดูชื่อของกุ้ยซ่าวบนสมุดรายชื่อ แล้วกล่าวอย่างครุ่นคิด “แม่โจว ตอนนี้สามีและลูกๆ ของป้ากุ้ยซ่าว อยู่ที่เฟิงอานกันทั้งหมดเลยใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ! สามีกุ้ยซ่าวนางเป็นผู้ดูแลเรื่องภายใต้คำสั่งของเหล่าไท่เหยียในตอนนี้น่ะเจ้าค่ะ ส่วนบุตรชายคนโตและบุตรชายคนรองทำงานอยู่ภายใต้คำสั่งของนายท่านรองเจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าวตอบ
หลินหลันกำลังครุ่นคิดว่า กุ้ยซ่าวห่างจากครอบครัวมาสามปีกว่าแล้ว นางแตกต่างจากแม่โจว เพราะแม่โจวไร้บุตร ตัวคนเดียว ไม่มีพันธะ เดิมทีน่ะ! หากนางและหมิงอวินจะอยู่อาศัยที่เมืองหลวงตลอดไป ก็คงจัดการโยกย้ายครอบครัวของกุ้ยซ่าวมาอยู่ด้วยแล้ว ทว่าหมิงอวินกล่าวว่า เมื่อได้เวลาอันสมควรจะลาออกจากตำแหน่งขุนนาง ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ได้ทำการตัดสินใจตลอดที่ผ่านมา
“แม่โจว ท่านลองหยั่งเชิงความนึกคิดของกุ้ยซ่าวดูแล้วกัน หากนางอยากกลับเฟิงอาน จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว ก็ให้นางกลับไปเถอะ!” หลินหลันกล่าวพึมพำ
“เจ้าค่ะ ไว้เดี๋ยวบ่าวจะลองถามไถ่ความคิดเห็นของนางดูเจ้าค่ะ” แม่โจวขานรับ จากนั้นนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เดือนนี้ จิ้วฮูหยินมายืมเงินทั้งหมดสามครั้ง รวมเป็นห้าร้อยตำลึงเงิน เป็นเงินที่เอ้อร์เส้าเหยียตอบตกลงให้ไปเจ้าค่ะ”
หลินหลันขมวดคิ้ว “นางช่างมีความสามารถในการใช้จ่ายเงินจริงๆ รู้หรือไม่ว่าไปใช้ในส่วนใด”
“บ่าวแอบสืบเสาะดูอย่างลับๆ ระยะนี้ดูเหมือนว่าจิ้วฮูหยินจะหลงระเริงอยู่กับการเล่นไพ่เจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าวกระซิบกระซาบ
หลินหลันสบถฮึด้วยความหงุดหงิดใจ “นางก็คือโคลนที่เหลวเกินกว่าจะยึดเกาะกำแพง[1]”
หลังนางตั้งครรภ์ เหยาจินฮวาแวะเวียนมาเยี่ยมนางรวมๆ แล้วสามครั้ง ซึ่งตามจริงแล้วทุกครั้งล้วนอ้างว่ามาเยี่ยมนาง แต่ความจริงคือมาขอเงินถึงที่
“ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะเจ้าคะ จิ้วฮูหยินนำผ้าไหมที่ได้มากจากร้านผ้าไหมของตระกูลเยี่ยไปขายต่อ เงินที่ได้ทั้งหมดก็นำไปเล่นการพนัน จนถึงปัจจุบันนี้จึงติดเงินกับทางด้านร้านผ้าไหมเป็นเงินทั้งสิ้นเจ็ดร้อยหกสิบแปดตำลึงเงินเจ้าค่ะ”
[1]โคลนที่เหลวเกินกว่าจะยึดเกาะกำแพง (堆扶不上墙的烂泥) สำนวนจีน หมายถึง บุคคลประเภทที่ไร้ความสามารถและปัญญาเกินกว่าจะมองเห็นและเข้าใจอะไรต่อมิอะไรได้