ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 312-2 หนีเอาชีวิตรอด
หลี่หมิงอวินหายไปตลอดทั้งวันจนกระทั่งมืดค่ำถึงกลับมา กล่าวว่า จับตัวคนได้แล้ว ทั้งหมดสองคน เป็นกากเดนแห่งตระกูลฉิน ซึ่งคอยจับตามองดูพวกเขาตั้งแต่ออกเดินทางจากเมืองหลวงแล้วนั่นเอง พวกเขาอยู่บนเขามาโดยตลอดเพื่อรอเวลาค่ำถึงลงมือ โชคดีที่ผู้ดูแลมีไหวพริบ ทันทีที่บนเขาเกิดเพลิงไหม้ เขาก็ส่งคนไปจับตามองเส้นทางตีนเขาทันที จึงจับตัวการได้อย่างรวดเร็ว
หลินหลันเอ่ยถามด้วยความกังวลใจ “ครั้งนี้จับตัวได้แล้วก็จริง แต่หากยังมีพวกกากเดนของตระกูลฉินอยู่อีกล่ะ”
หลี่หมิงอวินกล่าวปลอบขวัญ “จากคำให้การของสองคนนี้ พวกเขาทั้งหมดยังมีสหายอีกสิบสามคนที่กบดานอยู่ในเมืองหลวง เตรียมลอบสังหารขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักหลายราย เรื่องนี้เจ้าเมืองประจำเมืองหลวงได้กราบทูลฮ่องเต้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางราชสำนักจะต้องเพิ่มการเฝ้าระวังมากขึ้นเป็นแน่ ในยามที่ยังกวาดล้างกลุ่มคนเหล่านั้นไม่ได้ พวกเราต้องระมัดระวังตนเองไว้หน่อยก็เป็นพอ พวกมันคงไม่กล้ากระทำการอาจหาญเช่นนี้อีกแล้ว”
“ข้าอยู่แต่ในบ้างนี่ จึงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวไป แต่เจ้าน่ะสิ ทางที่ดีที่สุดยามออกจากบ้าน พาคนติดตามไปด้วยให้มากหน่อย คนเหล่านั้นล้วนหวังเล่นงานให้ถึงแก่ชีวิต” หลินหลันกล่าวด้วยความกังวล “หรือไม่ บอกกล่าวหนิงซิ่งสักหน่อย ให้เขาโยกย้ายจ้าวจัวอี้มาเป็นองค์รักษ์เจ้าสักระยะหนึ่ง?”
หลี่หมิงอวินครุ่นคิด หากไม่ทำตามที่หลันเอ๋อร์บอกกล่าว เกรงกว่านางคงต้องเป็นกังวลใจตลอดทั้งวัน จึงกล่าวอย่างคล้อยตามที่นางว่า “ข้าจะให้ตงจึไปหาหนิงซิ่งเดี๋ยวนี้เลยแล้วกัน”
การพักผ่อนดีๆครั้งหนึ่ง ดันถูกเพลิงไหม้ทำลายเสียแล้ว หลินหลันไม่มีเวลาหดหู่ใจ นางได้แต่ขอให้คนชั่วร้ายเหล่านั้นถูกจับกุมไปให้หมดโดยเร็ว
ฮ่องเต้เห็นความสำคัญต่อเรื่องนี้อย่างยิ่ง หน่วยราชการประจำเมืองหลวงและสำนักตรวจลาดตระเวนพร้อมใจกันเร่งมือค้นหาพวกคนชั่วเพื่อจับกุมตัว เพียงชั่วพริบตาดูเหมือนจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ช่วงก่อนปีใหม่อีกครั้ง ชวนให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างไม่สงบสุข ดีที่ผ่านไปไม่นานนัก พวกคนชั่วร้ายทั้งสิบสามคนก็ถูกรวบตัวได้ทีละคน เรื่องราวนี้จึงเป็นอันสิ้นสุดลง
เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างก็มาถึง เหวินซานที่จากเมืองหลวงไปนานกว่าหนึ่งปีก็กลับมาแล้วเช่นกัน
“เหวินซาน ครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้ว” หลินหลันกวาดสายตามองเหวินซานด้วยรอยยิ้มระรื่น เขาดูผอมลงไปหน่อย ทว่าสีหน้ากลับดีเยี่ยมอย่างยิ่ง ยังคงมีท่าทางที่สุภาพอ่อนน้อมและถ่อมตน แต่จะมองดูอย่างไร ก็มักรู้สึกว่าเหวินซานแตกต่างไปจากเมื่อก่อนเสียแล้ว หลินหลันพินิจพิจารณา ใช่แล้ว เป็นเพราะอิริยาบถนี่เอง เหวินซายผู้ติดตามหนุ่มน้อย หลังผ่านการหล่อหลอมด้วยประสบการณ์ที่มากกว่าหนึ่งปี แววตาดูสุขุมขึ้นมาก และท่าทีสงบเสงี่ยมดูมีความเป็นหัวหน้าผู้ดูแลขึ้นมาแล้วนี่เอง หลินหลันรู้สึกปลื้มปริ่มเกินบรรยาย
เหวินซานกล่าวด้วยรอยยิ้มประหม่า “เรื่องที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายมอบหมายให้ ข้าน้อยจะกล้าไม่ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการทำมันได้หรือขอรับ มิเช่นนั้นก็คงไม่มีหน้ากลับมาพบเจอเอ้อร์เส้าหน่ายนายเช่นกันขอรับ”
“เจ้าทำได้ดีมาก ดีเกินกว่าที่ข้าคาดไว้ด้วยซ้ำ” หลินหลันชื่นชมจากใจจริง
“ข้าน้อยหรือจะเข้าใจการทำกิจการค้าขายอะไรนั่น ล้วนเป็นผู้ดูแลร้านอู๋ที่คอยชี้แนะทั้งสิ้นขอรับ ข้าน้อยก็แค่วิ่งไปทั่ว ทำเรื่องจิปาถะต่างๆ น่ะขอรับ” เหวินซานกล่าวอย่างถ่อมตน
“เจ้าก็อย่าได้ถ่อมตัวไปเลย ต่อให้ข้าไปด้วยตนเองก็ไม่แน่ว่าจะทำให้กิจการที่ตงอาเป็นผลสำเร็จขนาดนี้ได้ เหวินซาน เห็นทีว่าคงต้องมอบหมายกิจการนี้ให้เจ้าทำจริงๆ แล้วละ จากนี้เจ้าก็เป็นผู้ดูแลเหวินแล้วกัน” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม และเป็นคำพูดจริงจังจริงใจ ต่อให้กิจการรุ่งเรืองเพียงใด ก็ต้องพึ่งพากำลังคนอยู่ดี ความสามารถของเหล่าอู๋ผู้นั้น นางเองก็พอรับรู้อยู่เช่นกัน เรื่องความรู้จักหน้าที่ของตนเองเป็นอะไรที่ไม่ต้องสงสัย ทว่าการเปิดโรงผลิต รับซื้อหนังลา ติดต่อสถานที่ต่างๆ ขยายเขตการค้าซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นน้ำพักน้ำแรงของเหวินซานทั้งสิ้น
“เอ๋?” เหวินซานเผยปฏิกิริยาตอบโต้อย่างตกตะลึง
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตระกูลหลี่มีกิจการมากมายเพียงนี้ กำลังขาดแคลนกำลังคนพอดี ข้างกายข้าที่มีความสามารถและเชื่อถือได้ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หุยชุนถางข้ามอบให้โม่จื่อโหยวไปจัดการ เดิมทีอยากนำกิจการทางด้านซานตงนั่นมอบหมายให้เจ้า ทว่าท่านพ่อเจ้าอายุมากแล้ว สุขภาพร่างกายไม่สู้ดีนัก ดังนั้น ไร่สวนสองแห่งแถวชานเมืองหลวง เจ้ารับช่วงดูแลไว้ก่อนแล้วกัน!”
เหวินซานแอบรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินว่าไม่ต้องไปซานตงแล้ว จึงยกสองมือขึ้นคารวะและกล่าว “ขอบพระคุณเอ้อร์เส้าหน่ายนายที่เห็นใจขอรับ ข้าน้อยจะไม่ทำให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายผิดหวังแน่นอนขอรับ”
“เอาละ ท่านพ่อเจ้ารอคอยการกลับมาของเจ้าอยู่! อีกประเดี๋ยวเจ้าไปหุยชุนถาง แล้วหยิบเอาพวกโสมภูเขาเก่าแก่ชั้นดีจำนวนหนึ่งไปให้ท่านพ่อเจ้าด้วยแล้วกัน! ข้าได้บอกกล่าวหยินหลิ่วไว้คร่าวๆ แล้ว” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เหวินซานคารวะขอบคุณอีกครั้ง แล้วจึงถอยออกไป
หลินหลันมองดูหรูอี้ที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างอย่างมีเลศนัย นางจิบน้ำชา แล้วเอ่ยถามอย่างผ่อนคลายสบายใจ “หรูอี้ เจ้าคิดว่าเหวินซานผู้นี้เป็นเช่นไรหรือ”
หรูอี้ไม่ได้คิดไปในทางอื่น จึงกล่าว “พี่เหวินซาน…เขาดีมากเลยเจ้าค่ะ! ทั้งขยันขันแข็ง ทั้งจงรักภักดี”
“แล้วอันใดอีกหรือ” หลินหลันซักถาม
“แล้วก็…กตัญญู อีกทั้งเขาเป็นคนที่สุภาพ บ่าวก็บอกไม่ถูกเช่นกันเจ้าค่ะ” หรูอี้ยิ้มเจื่อน
หลินหลันมองดูนางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เช่นนั้นเจ้าคิดว่า บุรุษเช่นนี้พึ่งพาได้หรือไม่ ข้าหมายถึง หากเป็นในฐานะสามี”
หรูอี้พอเข้าใจความหมายของนายหญิงสะใภ้รองขึ้นมาบ้างแล้ว ทันใดนั้นจึงบ่นอุบอิบด้วยความเคอะเขิน พร้อมกับดวงหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “นี่ข้าน้อยจะรู้ได้อย่างไรละเจ้าคะ”
หลินหลันยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างเข้าใจได้ “เหวินซานอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เพื่อกิจการที่ทางด้านซานตงนั่น จึงทำให้เขาเสียเวลาไป ท่านพ่อท่านแม่เขาก็ร้อนใจแล้วเช่นกัน ข้าจึงต้องหาคู่ครองดีๆ สักคนให้เขาถึงจะเป็นการดี”
หรูอี้นิ่งเงียบ บางทีตนเองอาจเข้าใจผิดไปแล้ว นายหญิงสะใภ้รองไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำ ตามจริงเมื่อก่อนนางไม่เคยมีความนึกคิดนี้อยู่เลย แต่เมื่อครู่ที่นายหญิงสะใภ้รองถามไถ่เช่นนั้น จึงเกิดประกายความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวสมอง พอเกิดความนึกคิดขึ้นมา ก็เลยรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมาเล็กน้อย ยามนี้ พี่เหวินซานเป็นถึงผู้ดูแลกิจการแล้ว อีกทั้งคุณชายรองและนายหญิงสะใภ้รองก็เห็นความสำคัญของเขา ก็น่าจะช่วยหาคู่ครองที่เหมาะสมกับเขาสักคนอยู่แล้ว! ส่วนตัวนางเป็นใครกันล่ะ
อวิ๋นอิงเข้ามารายงาน กล่าวว่าคุณหนูหมิงจูส่งถุงหอมมาให้จำนวนหนึ่ง
“หยิบเขามาสิ!” หลินหลันกล่าว หมิงจูมอบสิ่งของให้นางทั้งที นี่มันถือเป็นครั้งแรกในรอบปีก็ว่าได้
อวิ๋นอิงถือถาดสลักลวดลายใบบัวเคลือบสีแดงเข้ามา ด้านบนวางถุงหอมสองถุง ถุงหนึ่งเป็นสีกลีบบัว ปักลวดลายดอกไม้และก้านกล้วย อีกอันหนึ่งสีน้ำเงินปักลวดลายนกกางเขนเกาะบนกิ่งไม้ งานปักเย็บประณีตละเอียด เห็นได้ชัดว่าลงแรงไปไม่น้อยเลยทีเดียว
“นางนึกอันใดขึ้นมา ถึงได้ส่งถุงหอมมาให้ข้า” หลินหลันหยิบถุงหอมสีกลีบบัว แล้วจ่อดมบริเวณใต้จมูก ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอ้ายฉ่าว
“ได้ยินเสี่ยวเหอที่อยู่ข้างกายคุณหนูหมิงจูเอ่ยว่า คุณหนูหมิงจูทำถุงหอมให้ทุกคนในบ้านคนละหนึ่งอันเจ้าค่ะ ด้านในบรรจุอ้ายฉ่าว พกติดกายไว้ไล่ยุงและแมลงได้เจ้าค่ะ” อวิ๋นอิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินหลันพยักหน้า “นางช่างมีน้ำใจดีจริงๆ” ขณะสูดดมถุงหอมอีกครั้ง จู่ๆ ความรู้สึกพะอืดพะอมก็เกิดขึ้นฉันพลัน อดไม่ได้ที่จะอาเจียน
หรูอี้ที่อยู่ด้านข้างช่วยนางลูบแผ่นหลังระบายเลือดลมทันที พลางกล่าวด้วยความห่วงใย “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ”
หลินหลันอาเจียนอยู่พักหนึ่ง มีเพียงน้ำย่อยเท่านั้นที่ออกมา ทว่าบริเวณหน้าอกกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ เสมือนมีบางสิ่งบางอย่างขวางอยู่ ไล่มาจนถึงบริเวณลำคอ ติดค้างอยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกแย่อย่างยิ่ง
อวิ๋นอิงกล่าวเสียงอ่อน “หรือรับประทานอาหารเสียไปแล้วเจ้าคะ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร มื้อเช้าเอ้อร์เส้าหน่ายนายรับประทานไปแค่ข้าวต้มชามเดียวเอง” หรูอี้กล่าว
หลินหลันพยายามสูดลมหายใจเข้าออก บริเวณหน้าอกยังคงรู้สึกอึดอัดแทบแย่ นางยกมือขึ้นโบกอย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่เป็นไร อาจเพราะดมกลิ่นใบอ้ายฉ่าวที่ไม่คุ้นเคย”
หรูอี้กล่าว “อวิ๋นอิง เจ้ารีบเก็บถุงหอมไปก่อนเถอะ”
อวิ๋นอิงรีบเก็บถุงหอมมาไว้แล้วเดินถือออกไป
หรูอี้ไปรินน้ำอุ่นมาให้ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ดื่มน้ำก่อนนะเจ้าคะ! สบายขึ้นบ้างแล้วหรือไม่เจ้าคะ เพราะหลายวันนี้เหน็ดเหนื่อยใช่หรือไม่เจ้าคะ หรือไม่เรียญเชิญหมอสักท่านมาตรวจดูอาการดีเจ้าคะ” หลายวันก่อน คุณชายน้อยเฉิงเซวียนเป็นไข้ นายหญิงสะใภ้รองจึงอยู่เป็นเพื่อนนายหญิงสะใภ้ใหญ่สองวันสองคืนไม่ได้พักผ่อนเต็มอิ่ม
หลินหลันรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยหลังได้ดื่มน้ำ จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “หาหมออะไรกันละ ตัวข้าเองก็เป็นหมอมิใช่หรือ ไม่เป็นไรหรอก พักผ่อนสักหน่อยก็หายดีแล้ว”
หลินหลันไม่รับประทานอาหารกลางวัน เพราะไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย นางนอนห่อเหี่ยวตลอดทั้งวัน จนกระทั่งหมิงอวินเลิกงาน
ได้ยินว่าหลันเอ๋อร์ไม่สบาย หลี่หมิงอวินจึงเดินเข้ามาดูหลันเอ๋อร์ทั้งที่ยังสวมใส่ชุดขุนนาง
เขาลูบหน้าผากของนาง เมื่อพบว่าไม่มีไข้จึงวางใจลงเล็กน้อย เขาเพียงแค่กังวลว่าหลันเอ๋อร์จะติดไข้หวัดมาจากเฉิงเซวียนหลานชายของเขาเสียแล้ว
“หลันเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง ยังรู้สึกไม่ดีอีกหรือไม่” หลี่หมิงอวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียนุ่มนวล
“ไม่เป็นไร ก็แค่เหนื่อยนิดหน่อย นอนพักมาตลอดทั้งวัน ดีขึ้นมากแล้วละ” หลินหลันลุกขึ้นนั่ง หลี่หมิงอวินจึงรีบคว้าหมอนอิงมาให้นางรองนั่ง
“แต่ข้าได้ยินอวิ๋นอิงเอ่ยว่าเจ้าอาเจียนด้วย” หลี่หมิงอวินยังคงไม่วางใจ
“อ้อ นั่นเป็นเพราะสูดดมถุงหอมที่หมิงจูส่งมาให้ ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด ถึงรู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาเสียดื้อๆ” หลินหลันกล่าวอย่างเหนื่อยล้า
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยถามด้วยท่าทีระมัดระวัง “หลันเอ๋อร์ เจ้ามีแล้วใช่หรือไม่”
หลินหลันชะงักนิ่งไปชั่วครู่ นางครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ดูเหมือนหลังกลับมาจากบ้านพักนั่น รอบเดือนของนางก็ยังไม่มาอีกเลย ซึ่งลองนับๆ ดู มันก็เลยกำหนดมาสิบกว่าวันแล้ว