ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 310-1 ความขัดแย้งครั้งแรก
เห็นท่าทีของหลันเอ๋อร์ที่น้อยอกน้อยใจเช่นนั้น หลี่หมิงอวินไม่รู้ว่าควรปลอบประโลมเช่นไรถึงจะดี สภาพจิตใจของหลันเอ๋อร์ เขาเข้าใจได้ แต่งงานกันมาก็สามปีแล้ว แต่ยังไม่มีบุตรเสียที จึงยากหลีกหนีเสียงซุบซิบนินทาของผู้คน ยิ่งบรรดาสหายร่วมงานของเขายิ่งแล้วใหญ่ มักมาสนอกสนใจถามไถ่เรื่องทายาทผู้สืบทอดของเขาอยู่เสมอๆ ส่วนบรรดาพวกหัวแหลมคิดจะตีสนิทกับเขา ก็คอยพูดอ้อมค้อม ขอเพียงเขาหลุดปากเมื่อใด เขาเชื่อว่าจะมีคนอัญเชิญอนุภรรยามาให้ถึงหน้าประตูทันที เพื่อจะได้ช่วยให้กำเนิดทายาทผู้สืบทอดแก่เขา ช่างเป็นอะไรที่ตนเองยังไม่ทันเดือดเนื้อร้อนใจ แต่คนอื่นดันมาเดือดเนื้อร้อนใจแทนเสียนี่ ความกดดันของหลันเอ๋อร์ แค่คิดก็พอรับรู้ได้ ทว่า…เขารู้สึกกลัวยิ่งนัก ใครๆ ต่างกล่าวว่าการคลอดบุตรของสตรี เท่ากับการก้าวเดินอยู่หน้าประตูวิญญาณ ปลอดภัยก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ปลอดภัยก็คงไม่อาจหวนกลับมาได้อีก เมื่อก่อนเคยได้ยินคนอื่นเขาพูดกัน โดยไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจแต่อย่างใด ทว่าครั้งที่พี่สะใภ้ใหญ่คลอดเซวียนเอ๋อร์ด้วยความทรมานและอันตรายนั้น เขาได้เห็นมันกับตา ก็เลยกลัวว่าหลันเอ๋อร์จะโชคร้าย กลัวที่จะสูญเสียหลันเอ๋อร์ไป
“หลันเอ๋อร์ เจ้าฟังข้าพูดก่อน ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นจริงๆ ไม่ใช่ข้าไม่อยากมีลูก แต่เจ้ายังอายุน้อยอยู่จริงๆ ถึงอย่างไรพี่ใหญ่ก็มีเฉิงเซวียนแล้ว พวกเราตระกูลหลี่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องให้ข้าเร่งมีทายาทไว้สืบสกุล ไว้เจ้าเติบใหญ่อีกหน่อย อีกสักสองปี รอเจ้าอายุยี่สิบแล้ว เราค่อยมีลูกกันก็ได้ ตกลงหรือไม่ คนอื่นอยากพูดอันใดก็ปล่อยให้พวกเขาพูดไปเถอะ ปากอยู่บนใบหน้าคนอื่นเขา เราจะไปควบคุมก็คงไม่ได้เช่นกัน ชีวิตเป็นของพวกเราเอง อย่าไปสนใจเลยว่าคนอื่นจะมองอย่างไร…” หลี่หมิงอวินพยายามเกลี้ยกล่อม
หลินหลันรู้สึกโกรธเคือง ลุกขึ้นมานั่งกะทันหัน แล้วตะคอกใส่เขา “หลี่หมิงอวิน ปัญหาในตอนนี้คือข้าอยากมีลูก เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ แต่ว่าหลันเอ๋อร์ คลอดลูกมันเสี่ยงอย่างยิ่ง เจ้าเป็นหมอ ทักษะการแพทย์ล้ำเลิศ คนอื่นคลอดลูกทีต้องเผชิญหน้ากับความอันตรายมากเพียงใด เจ้ายังสามารถเปลี่ยนความอันตรายนั้นให้เป็นความปลอดภัยได้ แต่ว่าเมื่อตัวเจ้าเองต้องคลอดลูก ใครจะมาช่วยเจ้าหรือ หมอตำแยเหล่านั้น ข้าไม่เชื่อมั่นเลยสักนิด” หลี่หมิงอวินกล่าว พลางคว้าเสื้อผ้ามาช่วยสวมใส่ให้นาง แล้วกล่าวด้วยความห่วงใย “รีบใส่คลุมไว้ บนภูเขานี่หนาวเย็นยิ่งกว่าด้านล่างเขา เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้…”
เดิมทีหลินหลันอยากปฏิเสธความหวังดีของเขา แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองโต้เถียงกับเขาอยู่โดยไม่ทันตั้งตัว เห็นได้ชัดว่ามันน่าตลกสิ้นดี จึงไม่สะบัดชุดคลุมออก เอาเถอะ! นางเชื่อว่าเหตุผลที่เขายังไม่อยากมีลูกในตอนนี้ เพราะว่าเป็นห่วงนาง แต่เหตุผลนี้มันไม่อาจทำให้นางยอมรับได้อยู่ดี
นางสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามอย่างยิ่งเพื่อควบคุมสภาพอารมณ์ของตนเอง แล้วกล่าวอย่างจริงจัง “หมิงอวิน ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงและหวังดีต่อข้า แต่ว่าร่างกายของข้าเองข้าเข้าใจเป็นอย่างดี ข้าไม่ใช่สตรีที่บอบบางเหล่านั้น ซึ่งอ่อนแอราวกับดอกไม้ที่ไม่อาจปะทะสายลมได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าเป็นหมอ จึงรู้ดีว่าควรดูแลร่างกายเช่นไร ข้าไม่เป็นอะไรไปได้หรอก ข้าเชื่อว่าข้าจะคลอดลูกได้อย่างปลอดภัยแน่นอน หมิงอวิน ข้าอยากมีลูกจริงๆ นะ ให้ข้ารออีกสองปี ข้ารอไม่ได้หรอก หากไม่มีลูก ข้าก็ไม่อาจรู้สึกมั่นคงได้”
หลี่หมิงอวินอมยิ้ม แล้วกล่าว “เหตุใดถึงรู้สึกไม่มั่นคงล่ะ กลัวว่าข้าจะไม่รักเจ้าแล้ว เพราะไม่มีลูกน่ะหรือ นั่นคือความต้องการของข้าเองที่อยากมีลูกช้าหน่อย หาใช่เพราะเจ้าไม่ยินยอมไม่ เจ้าทำใจให้สบายเถิด ชั่วชีวิตนี้ ข้าไม่ต้องการใครทั้งนั้น นอกจากเจ้าเพียงผู้เดียว”
หลินหลันรู้สึกโกรธเคืองกว่าครั้งไหนๆ “หลี่หมิงอวิน เหตุใดเจ้าถึงไม่เข้าใจกันเลย ข้าก็แค่อยากมีลูก ความกังวลใจเหล่านั้นของเจ้ามันไม่จำเป็นเลยสักนิด และจะเอามาเป็นเหตุผลไม่ได้ด้วยซ้ำ ขืนเจ้ายังพูดอีกต่อไป ข้าจะคิดว่าเจ้าไม่ได้รักข้าเลยแม้แต่น้อย”
หลี่หมิงอวินจ้องมองนางด้วยความสับสน เผยสีหน้าจนปัญญาอย่างยิ่ง
นี่ทำให้หลินหลันยิ่งโกรธเคือง สตรีคนหนึ่งอยากรีบมีลูกให้เจ้า นี่หมายถึงสตรีผู้นั้นรักเจ้า เพื่อเจ้าจึงยอมทำทุกสิ่งอย่าง ทว่าเขาล่ะ ผัดวันประกันพรุ่งอยู่ได้ นี่มันหมายความว่าอะไรหรือ
“เจ้าไม่อยากมีลูกใช่หรือไม่ เจ้าต้องการรออีกสองปีใช่หรือไม่ ได้ เช่นนั้นจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าอย่าแตะต้องข้าอีก จากนี้เป็นต้นไปเราก็ต่างคนต่างอยู่” หลินหลันกล่าวด้วยความเดือดดาล พลางออกแรงผลักเขา แล้วเตรียมลงจากเตียง
หลี่หมิงอวินรีบรั้งนางไว้ทันที “หลันเอ๋อร์ เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย เจ้าบอกว่าอยากมี เช่นนั้นเราก็มีเถอะ จะให้ข้าไม่แตะต้องเจ้าสองปี นั่นไม่สู้เอามีดมาฆ่าข้าให้ตายไปเสียจะดีกว่า มิเช่นนั้นข้าคงได้ขาดใจตายเป็นแน่”
หลินหลันจ้องเขม็งใส่เขา “เจ้าเข้าใจคิดดีนี่ คิดเพียงแค่อย่างหาความสุขใส่ตัว แต่ไม่คิดจะรับผิดชอบ หลี่หมิงอวิน เหตุใดข้าถึงไม่ค้นพบว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นคนประเภทนี้นี่เอง”
หลี่หมิงอวินเบิกตาโต นางโกรธเคือง นางตำหนิเขา ทุบตีเขาล้วนไม่เป็นไร แต่ไยถึงกล่าวว่าเขาเป็นคนประเภทนั้นไปได้หรือ เหมือนกับว่าเขาชอบนางก็เพราะอยากมีอะไรกับนางเท่านั้น จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีอารมณ์โกรธเคืองขึ้นมาเล็กน้อย “ข้า…ข้าเป็นคนประเภทนั้นหรือ เหตุใดข้าถึงกลายเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบไปแล้วล่ะ ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร เจ้าไม่รู้อยู่แก่ใจเลยหรือ หลันเอ๋อร์ หากเจ้าคิดเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นก็ถือเสียว่าข้ามอบความปรารถนาดีนี้ผิดที่ผิดทางแล้วละกัน”
หลินหลันเพียงแค่พูดด้วยอารมณ์โกรธไปชั่ววูบ จึงพลั้งปากออกไป เมื่อคำพูดหลุดออกจากปากไปแล้ว นางเองก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเช่นกัน ทว่าคำตำหนิของหลี่หมิงอวินยิ่งทำให้นางโกรธจนหน้ามืดขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะประโยคที่ว่าข้ามอบความปรารถนาดีนี้ผิดที่ผิดทางแล้ว หรือว่าในใจของเขา นางเป็นเพียงคนงี่เง่าไร้เหตุผลเช่นนั้นหรือ ตั้งแต่อยู่ร่วมกันมา อะไรบ้างที่นางไม่ได้ทำเพื่อเขา เมื่อใดกันที่นางไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างทุ่มเทสุดกายใจ แต่เพียงเพราะประโยคเดียวที่เกิดจากความโมโหชั่ววูบ เขาก็กลับล้มล้างความดีของนางที่เคยทำให้อย่างสมบูรณ์ โดยการใช้คำพูดทำร้ายความรู้สึกประเภทนี้มาตำหนินางหรือ นี่หรือที่เรียกว่าความรักของเขา หรือว่าการที่นางอยากมีลูกมันผิดมากนักหรือ หลินหลันยิ่งคิดยิ่งโมโห ยิ่งคิดยิ่งผิดหวัง ทำให้นางตะโกนใส่เขาด้วยความเหลืออด “ใช่ ข้าคิดเช่นนั้นแล้วอย่างไรหรือ เจ้ามันคนไร้ความรับผิดชอบ อะไรที่ว่าหวังดีต่อข้า ล้วนเป็นการพูดเพ้อเจ้อทั้งสิ้น เจ้าไม่อยากมีลูก แล้วเจ้าคิดว่าข้าพิศวาสอยากจะมีลูกกับเจ้ามากนักสินะ หลี่หมิงอวิน เจ้ามันคนโง่เง่า”
หลินหลันออกแรงปัดมือเขาออก สวมใส่เสื้อผ้าลวกๆ แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นปิดประตูอย่างแรง นางพิงอยู่กับบานประตู หยาดน้ำตาไหลรินลงมาไม่ขาดสาย ประดุจธารน้ำที่ไหลหลาก จะทำเช่นไรก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ ทำไมเรื่องราวถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ นางอุตส่าห์บอกกล่าวอย่างชัดเจนเพียงนั้นแล้ว ทำไม่เขาถึงไม่เข้าใจความรู้สึกของนาง ลูกคือการตกผลึกของความรัก คือการยกระดับของความรัก เป็นเรื่องราวที่ต้องบังเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาของมัน เหตุใดเมื่อถึงเวลาแล้วเขากลับไม่อาจเข้าใจได้
หลินหลันร้องไห้อยู่ในนั้นเนิ่นนาน เมื่อไม่เห็นว่าหลี่หมิงอวินจะมาปลอบโยนนาง ก็ยิ่งเกิดความเศร้าเสียใจมากขึ้น หลายปีมานี้ ระหว่างพวกเขาไม่เคยโกรธเกรี้ยวทะเลาะเบาะแว้งกันเพียงนี้มาก่อน อุปสรรคปัญหาน้อยใหญ่เพียงใดล้วนผ่านมันมาด้วยกันได้ นางคิดว่าพวกเขาเป็นคู่ที่แน่นแฟ้นแข็งแกร่ง ใครจะรู้ว่าทะเลาะเบาะแว้งกันครั้งแรก ก็เพื่อเรื่องของการมีลูก…นี่มันน่าขำขันสิ้นดี และเป็นความน่าเศร้าสลดในเวลาเดียวกัน
กระทั่งหลินหลันออกมา ภายในห้องก็ปราศจากหมิงอวินเสียแล้ว หลินหลันหวีผมและจัดแต่งให้เข้าที่เข้าทาง เพียงแต่ดวงตาทั้งสองบวมแดง ไม่อาจหายไปได้ในเวลาอันสั้น นางจึงนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยความรู้สึกย่ำแย่จนผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง
ทางด้านนอก หรูอี้และกุ้ยซ่าวเร่งมือกันอยู่พักใหญ่ ในช่วงมื้ออาหารกลางวัน คุณชายรองและนายหญิงสะใภ้รองยังพูดคุยหัวเราะกันอยู่แท้ๆ เจ้าช่วยคีบกับข้าวให้ข้า ข้าช่วยตักน้ำแกงให้เจ้า รักใคร่กันอย่างดี จนคนรอบข้างต้องอิจฉา ใครจะรู้ว่าเพียงชั่วพริบตาบรรยากาศก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว คุณชายรองเดินหน้าบึ้งตึงออกไปด้านนอก หรูอี้สอบถาม ทว่าคุณชายรองกลับไม่ให้คำตอบใดๆ แล้วก็เดินออกไปทั้งอย่างนั้น ภายในบ้านยิ่งแล้วใหญ่ ไร้ความเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นแล้ว
“พี่หรูอี้ เจ้ารีบเข้าไปดูหน่อยสิ! ดูสิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือ” จิ่นซิ่วกล่าวด้วยความร้อนใจ
“นั่นสิ เจ้าเข้าไปสอดส่องดูทีสิ” กุ้ยซ่าวพยักพเยิดให้หรูอี้ พลางทำปากยื่นปากยาวใส่นาง
หรูอี้กัดฟันสู้ ยกชาและของว่างไปเคาะประตู
หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงและอารมณ์เศร้าสร้อย “มีอันใดหรือ”
หรูอี้กล่าว “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ข้าน้อยนำชาและของว่างมาให้เจ้าค่ะ กุ้ยซ่าวเพิ่งทำขนมแผ่นหิมะ[1]เสร็จหมาดๆ เลยเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่อยากกิน พวกเจ้ากินกันไปเถอะ!”
หรูอี้หันกลับมามองกุ้ยซ่าวและจิ่นซิ่วอย่างลำบากใจ กุ้ยซ่าวจึงแสดงท่าทีให้นางพยายามต่อไป
หรูอี้พยักหน้า แล้วผลักบานประตูเข้าไป จากนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ขนมแผ่นหิมะฝีมือกุ้ยซ่าวน่ารับประทานมากเลยนะเจ้าคะ ทั้งหอมทั้งน่าอร่อย นุ่มนิ่มเนียนละเอียด ท่านชิมสักคำสองคำเถอะนะเจ้าคะ”
หลินหลันรีบหันหลังให้ ด้วยไม่อยากให้หรูอี้มองเห็นดวงตาบวมแดงของนาง
“เอาวางไว้ก่อนเถอะ…” แต่แล้วหลินหลันก็ถามขึ้นอีกครั้ง “เอ้อร์เส้าเหยียล่ะ”
หรูอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าเหยียออกไปข้างนอก ตงจึติดตามไปด้วยเจ้าค่ะ! เห็นเอ่ยว่าจะไปเดินเล่นให้ทั่วสักหน่อยเจ้าค่ะ”
ออกไปเดินเล่น? คงไม่อยากเห็นหน้านางมากกว่ากระมัง! เขายังโกรธเคืองอยู่ เขามีสิทธิ์อะไรมาโกรธเคืองหรือ คนเห็นแก่ตัวผู้นี้คำนึงถึงแต่ตัวเขาเอง เขาคิดว่าเขามีเหตุมีผลนักหรือ ส่วนนางก็คือคนที่งี่เง่าไร้เหตุผลเช่นนั้นหรือ ใช่ จริงอยู่ที่คำพูดของนางอาจจะเกินไปหน่อย แต่ว่าคำพูดของเขาก็ทำร้ายจิตใจคนอื่นเช่นกันมิใช่หรือ แล้วมีสิทธิ์อะไรที่ต้องปล่อยให้นางนั่งรอเขาหายโกรธอยู่ที่นี่ด้วย
หลินหลันลุกขึ้นยืนกะทันหัน “หรูอี้ ข้าจะออกไปเดินเล่นเช่นกัน แต่พวกเจ้าไม่ต้องติดตามไปหรอก”
หรูอี้ตะลึงงันชั่วขณะ “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ”
หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ก็เดินไปเรื่อยๆ” จากนั้นก็ย่างก้าวเดินออกไปด้านนอก
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ เช่นนั้นให้ข้าน้อยไปด้วยเถอะนะเจ้าคะ! จะได้มีสักคนคอยปรนนิบัติเจ้าค่ะ” หรูอี้รีบเดินติดตามไป
กุ้ยซ่าวและจิ่นซิ่วเห็นนายหญิงสะใภ้รองออกไปแล้ว ดวงตาดูแดงระเรื่อ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มา จึงยิ่งรู้สึกถึงความรุนแรงของเรื่องราวมากขึ้น หลายปีมานี้ เคยเห็นคุณชายรองและนายหญิงสะใภ้รองโกรธเคืองกันเมื่อใดเล่า ทั้งสองคนรักกันหวานซึ้งปานน้ำผึ้งมาโดยตลอด แล้วนี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือ
“พวกเจ้าทั้งหมดไม่ต้องติดตามไปหรอก ข้าต้องการอยู่เงียบๆ คนเดียว” หลินหลันเผยท่าทีเด็ดขาด หรูอี้จึงทำได้เพียงชะงักฝีก้าวด้วยสีหน้าเศร้าสลด ทั้งสามคนได้แต่มองดูโดยทำอะไรไม่ได้
“หากแม่โจวอยู่ด้วยก็ดีสิ คงยังพอพูดอะไรได้บ้าง” กุ้ยซ่าวกล่าวด้วยความหนักใจ
จิ่นซิ่วเสนอตัวเป็นผู้กล้าหาญ “ข้าจะแอบตามเอ้อร์เส้าหน่ายนายไปเอง”
กุ้ยซ่าวรีบกล่าวขึ้นมาทันควัน “นั่นสิๆ เจ้ารีบตามไปเร็วเข้า สภาพบนเขานี่พวกเราไม่รู้แน่ชัด เกิดไปเจองูพิษ หรือหมูป่าอะไรเข้า…” กุ้ยซ่าวตบปากของตนเอง แล้วแอบก่นด่าตนเองที่ปากไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย
“มีเรื่องอะไรก็รีบกลับมาบอกกล่าวด้วยล่ะ” กุ้ยซ่าวบอกกล่าว
จิ่นซิ่วพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
[1] ขนมแผ่นหิมะ (雪片糕) ขนมที่บางและขาว เนื้อขนมนุ่มหยุ่น เหมือนเจลลาติน เก็บไว้ได้นาน มีวิธีการผลิตเฉพาะตัว เช่น การผัดแป้งข้าวเหนียวที่เก็บไว้ครึ่งปีเพื่อไล่ความชื้น น้ำตาลที่ใช้ รวมไปถึงความหนาที่ระบุไว้ว่า ขนมหนึ่งชิ้น ยาว 22 cm หั่นได้ 140 ชิ้น มีหลายรสชาติ หลายกลิ่น แบบดั้งเดิมคือ เติมน้ำตาลทรายขาว แบบที่แต่งกลิ่น กลิ่นวนิลา กลิ่นดอกกุ้ย หรือใส่ธัญพืช อย่างถั่วลิงสง ผลไม้แห้ง เป็นต้น