ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 305 ปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่เขาปฏิบัติต่อเรา
สำนักหอดูดาวหลวงเลือกวันฤกษ์งามยามดีอย่างรวดเร็ว วันแปดค่ำเดือนหนึ่งฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ถือเป็นรัชศกหย่งเจีย หานกุ้ยเฟยถูกแต่งตั้งเป็นไท่โฮ่ว ร่วมอยู่อาศัยกับไท่ซ่างหวง ณ ตำหนักเจาเฮอ เมื่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ จึงมีการพระราชทานอภัยโทษ ทว่าอย่างไรก็ตาม บุคคลซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของพรรคพวกองค์รัชทายาทพระองค์ก่อน ถูกจัดการสิ้นเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนปีใหม่แล้ว พวกปลาซิวปลาสร้อยที่เหลืออยู่ ลดโทษจากประหารชีวิตเป็นจำคุก ส่วนจะจำคุกนานเพียงใด นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพอารมณ์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ดังนั้นส่วนใหญ่ที่ได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ คือพรรคพวกองค์รัชทายาทพระองค์ก่อนที่ไม่ได้ตักตวงผลประโยชน์อันใด และกลับกลายเป็นว่าผู้ร้ายตัวจริงเหล่านั้นต่างหากที่ได้ตักตวงผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่
ที่ทำให้หลินหลันหงุดหงิดมากที่สุดคือ พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายก็เป็นหนึ่งในผู้ได้รับการอภัยโทษด้วยเช่นกัน อีกทั้งดูเหมือนฮ่องเต้พระองค์ใหม่จะมีพระประสงค์สร้างบุญคุณต่อหมิงอวิน แล้วยังกล่าวอีกว่า บิดาพวกเขามีมิตรภาพต่อกันอย่างลึกซึ้ง จึงลบล้างความผิดของพ่อผู้ไร้ยางอาย อนุญาตให้พ่อผู้ไร้ยางอายกลับเมืองหลวงได้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะขับไล่พ่อผู้ไล่ยางอายไปได้! นี่ยังต้องรับกลับบ้านมาเป็นบรรพบุรุษให้เชิดชูอีกหรือ อย่าว่าแต่หลินหลันหงุดหงิดใจเลย บรรดาบุตรชายบุตรสาวของตระกูลหลี่ต่างก็ดูเหมือนหงุดหงิดใจอย่างยิ่งไม่แพ้กัน หลี่หมิงจูยิ่งแล้วใหญ่ หากพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายกลับมา นางก็จะขอออกจากบ้านไปเป็นแม่ชี ไม่ขออยู่ร่วมชายคาเดียวกับบิดาที่ไร้ความเป็นมนุษย์เป็นอันขาด เกี่ยวกับประเด็นนี้ ท่าทีของหลี่หมิงอวินดูสงบนิ่งกว่าใคร โดยกล่าวว่าต่อให้หลี่จิ้งเสียนกลับมา ด้วยสถานที่ค่อนข้างไกล ขาไปขากลับรวมๆ กันแล้วก็เป็นเรื่องราวในอีกครึ่งปีเห็นจะได้ จึงไม่จำเป็นต้องกลัดกลุ้มด้วยเรื่องในครึ่งปีหลังแต่อย่างใด
ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในครั้งนั้น ทั้งหกกรมเผชิญความเสียหายอย่างหนัก สำหรับขุนนางที่เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ทางราชสำนักได้มอบเงินบำนาญจำนวนมากให้แก่ครอบครัวของพวกเขาเพื่อเป็นขวัญปลอบใจ ที่สิ้นชีวาไปก็ถือว่าโชคร้าย ที่มีชีวิตอยู่ส่วนมากเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทิน ไม่เคยเข้าร่วมกับบรรดาขุนนางกบฏพรรคพวกอดีตองค์รัชทายาท แต่ละคนล้วนได้รับการเลื่อนขั้น โดยเฉพาะผู้ที่มากพรสวรรค์ความสามารถเฉกเช่นหลี่หมิงอวินยิ่งเป็นคนแรกๆ ที่ได้รับตำแหน่ง หลี่หมิงอวินเลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นราชเลขากรมคลัง กลายเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขั้นสองที่เยาว์วัยที่สุดในราชวงศ์ เป็นที่เชิดหน้าชูตาของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ หลี่หมิงอวินได้รับแต่งตั้งเป็นราชเลขากรมคลัง ส่วนตำแหน่งที่เหลือว่างอยู่ ก็ให้เลือกจากบัณฑิตที่สอบผ่านจิ้นซื่อหรือซู่จี๋ซื่อซึ่งกำลังรอคอยตำแหน่งว่างเพื่อเข้ามารับตำแหน่ง ด้วยเหตุนี้จึงนำมาซึ่งความดีอกดีใจและกระตือรือร้นของคนกลุ่มใหญ่ที่กำลังกลัดกลุ้มเพราะไร้เส้นสาย หลี่หมิงอวินซักถามความคิดเห็นของหมิงเจ๋อ เดิมทีหลี่หมิงอวินอยากให้งานสบายๆ สักตำแหน่งแก่หมิงเจ๋อ ทว่าเขาในยามนี้ตำแหน่งสูงศักดิ์ ผู้คนที่เอาแต่คิดจะประจบสอพลอเขา คงไม่ปล่อยโอกาสดีๆ เช่นนี้ให้หลุดลอยไปแน่ ดังนั้น ที่รายงานขึ้นไปคือผู้ดูแลจัดการเรื่องราวแห่งกองคัดเลือกหรือปลดขุนนาง ถือเป็นขุนนางขั้นหก รอเบื้องบนอนุมัติสาส์นลงมาก็ค่อยเปลี่ยนเป็นขุนนางที่ปรึกษากองดูแลการอพิจารณาและลงโทษเจ้าหน้าที่พลเรือนตามคำสั่งราชสำนัก ถือเป็นขุนนางขั้นห้า ซึ่งนับว่าเป็นหน้าที่หนึ่งที่ไม่เลวเลยทีเดียว เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ตามจริงหลี่หมิงอวินรับรู้ดีว่าหมิงเจ๋อยังคงใส่ใจเส้นทางหน้าที่การงานอยู่ คำพูดเหล่านั้นจากปากติงฮูหยินยังคงทิ่มแทงเขาค่อนข้างมาก เพียงแต่พี่ใหญ่ไม่พูดก็เท่านั้นเอง
หลังจิ้งปั๋วโหว์กลับจวนมาไม่นานก็ป่าวประกาศออกไปว่าโรคปวดข้อกำเริบ เดินเหินไม่ได้ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนถึงจวนครั้งหนึ่ง และเรียกหมอหลวงไปช่วยตรวจอาการป่วยให้โหว์เหยียอีกด้วย ปรากฏว่าอาการปวดข้อของโหว์เหยียรุนแรงอย่างยิ่ง เกรงว่าจะทำให้งานการด้านทหารล่าช้า จึงแสดงความประสงค์ลาออกจากตำแหน่งราชเลขาทางการทหาร เพื่อพักรักษาตัวอยู่บ้านอย่างสงบ
ระหว่างนั้นหลินหลันได้ไปเยี่ยมเยียนครั้งหนึ่ง โหว์เหยียกำลังอุ้มหรงเอ๋อร์เดินชมนกชมปลาในสวนดอกไม้หลังบ้าน ซึ่งโหว์เหยียนเดินเหินได้อย่างสบายๆ ไม่เหมือนผู้ป่วยโรคปวดข้ออะไรพวกนี้เลยสักนิด เฉียวอวิ๋นซีมองดูพ่อลูกที่กำลังเพลิดเพลินสุขสันต์ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเบิกบาน สัมผัสได้ถึงความสงบและความสุข หลินหลันถึงเป็นอันสบายใจ ตามจริงในใจของนางก็รู้สึกอิจฉาเฉียวอวิ๋นซีอยู่เล็กน้อย การได้ใช้ชีวิตที่สงบและเรียบง่ายเช่นนี้ต่างหาก ถึงจะเป็นความปรารถนาสูงสุดของสตรีคนหนึ่ง
กลางเดือนสอง หลินเฟิงและหนิงซิ่งกลับมายังเมืองหลวง เพราะสร้างคุณประโยชน์จากการกำราบกบฏ ทั้งสองได้เลื่อนขั้น โดยเฉพาะหลินเฟิง มีบิดาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของประเทศชาติบ้านเมือง จึงได้รับการประทานรางวัลแต่งตั้งมากกว่าคนอื่นๆ โดยได้เป็นผู้ควบคุมสั่งการกองกำลังทหารประจำเมืองตงเฉิง แม้เป็นขุนนางขั้นหก ทว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญ หากต้องการจะเลื่อนขั้นสูงขึ้นก็ง่ายดายทีเดียว
ซึ่งนั่นทำให้เหยาจินฮวาดีใจแทบคลั่ง ระยะนี้นางถือว่าคิดอะไรได้ขึ้นมาก ไม่ว่าจะยอมรับเป็นบิดาหรือไม่ บิดาที่เป็นเช่นนี้ ถึงเจ้าจะไม่ยอมรับ เขาก็ยังเป็นบิดาเจ้า และคำนึงเพื่อเจ้าอยู่ดี ซึ่งก็ยังคงได้รับผลประโยชน์เช่นเดิม แล้วไยจะไม่เชื่อฟังความนึกคิดของหลินเฟิงเล่า ในยามนี้ จะมัดใจหลินเฟิงอย่างไรให้อยู่หมัดต่างหาก ที่ถือเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน
ในที่สุดเหยาจินฮวากับฮานเอ๋อร์ก็กลับไปอยู่อาศัยในบ้านของตนเอง ฮานเอ๋อร์อาศัยอยู่ในจวนหลี่มาหลายเดือน หลินหลันจึงอาลัยอาวรณ์อย่างมาก ด้วยเป็นห่วงว่าฮานเอ๋อร์จะเรียนรู้นิสัยเสียๆ ของเหยาจินฮวา ด้วยเรื่องนี้จึงกลัดกลุ้มอย่างมาก นางเฝิงกลับช่วยจัดการเรื่องราวนี้ให้เสร็จสรรพ โดยเมื่อเหยาจินฮวาเพิ่งเข้าพักในบ้านหลังใหม่หยกๆ นางเฝิงก็ส่งผู้ดูแลเพื่อการอบรมสั่งสอนที่ออกมาจากพระราชวังสองคนไปอยู่ด้วย คนหนึ่งเพื่อสั่งสอนกฎระเบียบมรรยาทให้เหยาจินฮวา อีกคนสำหรับอบรมบ่มเพาะอุปนิสัยและคุณธรรมของฮานเอ๋อร์ เมื่อผ่านไปครึ่งเดือนผู้ดูแลอบรมสั่งสอนทั้งสองคนก็กลับมารายงานสถานการณ์ต่อนางเฝิงที่จวนแม่ทัพ ซึ่งก็เพื่อจัดการเหยาจินฮวาเจ้าโมโหให้ไม่กล้าหืออือ
ว่ากันตามหลัก เมื่อหลี่หมิงอวินเลื่อนขั้นเป็นราชเลขากรมคลัง ภาระหน้าที่จึงมากมายยิ่งกว่าอดีตที่ผ่านมา ทว่าทุกวันเขาจะกลับบ้านตรงเวลา เมื่อก่อนกลับบ้านมาก็มักจะหอบสาส์นราชการกลับมาจัดการด้วยเป็นกองพะเนิน ทว่าตอนนี้กลับบ้านมา บ้างก็นำของอร่อยติดไม้ติดมือกลับมาให้หลินหลัน บ้างก็นำของเล่นเล็กๆ น้อยๆ มาให้หลานชายอย่างเซวียนเฉิง โดยรวมคือจะไม่เอ่ยถึงราชกิจเมื่อยู่ที่บ้าน
หลินหลันรู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่งต่อประเด็นนี้ หลินหลันนั่งอยู่บนเตียงเตา มองดูบัญชีที่ส่งมาจากทางด้านตงอา หลังหลี่หมิงอวินอาบน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็สวมใส่ชุดเสื้อแขนยาวกระดุมผ่าหน้า คู่กับกางเกงขายาวที่เป็นสีขาวนวลทั้งชุด เดินย่องเบาไปยังด้านหลังนาง “กำลังอ่านอันใดหรือ เป็นจริงเป็นจังเสียเพียงนี้เชียว”
หลินหลันกล่าวด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อย “กิจการที่ทางด้านมณฑลตงอานั้นยอดเยี่ยมอย่างมาก เจ้าลองเดาดูสิ เฉพาะช่วงฤดูหนาวนี้ ยอดขายลำพังแถบเขตเมืองซานตงมีจำนวนเท่าใด”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อน “ข้าหาได้เข้าใจอะไรพวกนี้ไม่ ทว่าดูท่าทางภูมิอกภูมิใจของเจ้าเช่นนี้ คงทำเงินได้ไม่น้อยเป็นแน่”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เออเจียวที่ข้าทำ แม้ไม่กล้ากล่าวว่าเป็นที่หนึ่งในใต้หล้านี้ แต่ก็เป็นของชั้นยอดแน่นอน ยามนี้ลำพังแถวซานตงในช่วงฤดูหนาวเดียวก็ทำยอดขายไปได้กว่าห้าพันกิโลกรัม โดยคิดราคาเป็นเออเจียวครึ่งกิโลยี่สิบตำลึงเงิน รายได้ขั้นต้นมีจำนวนสองแสนตำลึงเงิน หักลบต้นทุนสี่ส่วน ก็จะมีกำไรสุทธิสิบสองตำลึงเงินเชียวละ” หลินหลันดีอกดีใจอย่างออกหน้าออกตา
หลี่หมิงอวินตกใจจนแทบพูดไม่ออก “มากขนาดนี้เชียวหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ รอภายภาคหน้ากิจการใหญ่โตแล้ว จะนำเข้าสู่เครื่องราชบรรณาการด้วยก็มิใช่เป็นไปไม่ได้” หลินหลันมีความมั่นใจอย่างมากในเรื่องนี้
หลี่หมิงอวินกุมหน้าผาก แสดงท่าทีกลัดกลุ้ม
“เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายหรือ” หลินหลันกล่าวด้วยความห่วงใย “ดูเจ้าสิ อากาศยังหนาวอยู่เลย แต่ดันสวมใส่เสื้อผ้าน้อยนิดเพียงนี้ หากไม่รีบขึ้นไปบนเตียง เช่นนั้นก็ไปสวมชุดคลุมอีกชั้นเสีย”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างหดหู่ใจ “ข้ากำลังเป็นกังวลอยู่น่ะสิ เจ้าลองบอกมาสิ พวกเรามีทั้งเหมืองถ่านหิน มีทั้งห้องแถวและแปลงไร่สวนชานเมือง ตอนนี้รวมกับหุยชุนถางของเจ้าและโรงผลิตเออเจียว เงินมากมายขนาดนี้ จะใช้อย่างไรหรือ”
หลินหลันทุบกำปั้นลงไปที่เขาขณะเผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “เจ้าจะเสแสร้งอันใดนักหนา มีใครเขารังเกียจเงินมากมายเสียที่ไหนกัน มีเงินแล้วยังต้องกลัวว่าจะใช้ไม่หมดอีกหรือ พวกเราใช้ไม่หมด ก็นำไปทำบุญทำกุศลด้วยก็ได้มิใช่หรือ เอ้! ข้าขอบอกเจ้าจริงๆ จังๆ เลยแล้วกัน ก่อนหน้านี้ข้าได้เจอเผยฮูหยิน นางกล่าวว่าระยะนี้มีชาวบ้านลี้ภัยเข้ามายังแถบชานเมืองของเมืองหลวง แล้วยังมาเผชิญกับเหตุการณ์วุ่นวายอีก นางจึงมีความตั้งใจจะร่วมมือกับบรรดาภรรยาขุนนาง เปิดร้านข้าวต้มเพื่อบริจาค ทว่าได้รับการตอบรับจากผู้อื่นไม่มาก ท่านผู้อาวุโสเผยก็ไม่เห็นพ้องด้วย ในบ้านก็ไม่มีเงินส่วนเกินอะไรพวกนั้น ข้าจึงอยากรับเรื่องนี้มาดำเนินการต่อ โดยพวกเราร่วมออกเงินมากหน่อย”
หลี่หมิงอวินเดินไปหยิบชุดคลุมมาสวมใส่ พลางกล่าว “การบริจาคข้าวต้มก็ถือเป็นการกระทำที่ดีอยู่ ถึงอย่างไรการสะสมคุณงามความดีถือเป็นเรื่องดีงาม ก็ทำตามที่เจ้าว่าแล้วกัน ข้าไม่ขัดข้อง ทว่าทางที่ดีที่สุดชวนคนมากร่วมด้วยมากๆ หน่อย จะได้ออกเงินน้อยหน่อย ทั้งยังได้ชื่อเสียงดีงามอีกด้วย ทุกคนคงไม่บอกปฏิเสธเป็นแน่”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เข้าใจแล้ว ให้จัดการอย่างถ่อมตนเข้าไว้สินะ ข้าได้แนวร่วมอย่างจื่อชิ่ง แล้วยังมีอวิ๋นซี เลยให้พวกนางไปดึงคนจากครอบครัวใหญ่ๆ มาอีก เช่นนี้ก็เป็นอันสิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ”
หลี่หมิงอวินบีบจมูกของนางอย่างเบามือแล้วกล่าวด้วยความเอ็นดู “อืม แบบนี้ดีที่สุด เอาละ เหวินซานจะกลับมาเมื่อใดหรือ ท่านพ่อเขาสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดีเท่าใดนัก”
เมื่อเอ่ยถึงเหวินซาน หลินหลันรู้สึกละอายแก่ใจเล็กน้อย “ศิษย์พี่รองไปตงอาเพื่อสานต่อภารกิจทางด้านนั้นแล้ว เหวินซานก็กลับมาได้แล้วละ เดิมทีข้าอยากให้ศิษย์พี่ห้าไป ศิษย์พี่ห้าเป็นคนมีไหวพริบว่องไว และมีความเจ้าเล่ห์เจ้ากลเยอะพอตัว เขาค่อนข้างเหมาะสมกว่า เพียงแต่…เดือนหน้าต้องจัดงานแต่งให้เขากับหยินหลิ่วแล้ว
หลี่หมิงอวินวางมือหนึ่งลงบนเตียงเตา แล้วเคาะนิ้วเป็นพักๆ ขณะเดียวกันแววตาของเขาก็ฉายความเจ้าเล่ห์ขึ้นมา พลางกล่าวอย่างสบายใจเฉิบ “เช่นนั้นจากนี้มิใช่ว่าจะต้องเรียกหยินหลิ่วว่าพี่สะใภ้แล้วหรือ”
หลินหลันกล่าวสวนทันควัน “ข้าไม่ยอมเสียเปรียบกับอะไรประเภทนี้หรอกน่า! เจ้าสอนวิธีการซึ่งได้จุดจบอันงดงามทั้งสองฝ่ายให้ข้าไว้แล้วมิใช่หรือ คอยดูแล้วกัน อีกไม่นานศิษย์พี่ห้าก็จะกลายเป็นศิษย์น้องเจ็ดแล้วละ”
หลี่หมิงอวินหัวเราะร่า “จริงสิ สินเดิมที่เจ้าจะเตรียมให้หยินหลิ่ว คงต้องเตรียมของขวัญพิเศษไว้ด้วยหนึ่งชุด”
หลินหลันกะพริบตาปริบๆ “ทำไมหรือ สินเดิมของหยินหลิ่วข้าได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว นางเป็นสาวใช้คนแรกของข้า ทั้งยังจงรักภักดี ข้าไม่ทำให้นางต้องขาดทุนหรอกน่า”
หลี่หมิงอวินกวักมือเรียกนาง เป็นสัญญาณให้นางเขยิบหูเข้าไปหา
“ลึกลับขนาดนี้เชียวหรือ” หลินหลันเขยิบตัวเข้าไปด้วยความประหลาดใจ
หลี่หมิงอวินกระซิบข้างใบหูเล็กๆ ของนาง “ก็สิ่งนั้น ที่เจ้าโยนมันทิ้งเมื่อยามอยู่บนเรืออย่างไรล่ะ”
หลินหลันตกตะลึง หน้าแดงก่ำขึ้นมา ลึกๆ ในใจอยากหัวเราะ ท้ายที่สุดก็ไม่อาจหักห้ามได้ จึงหัวเราะออกมาเบาๆ “เจ้านี่นะ เหตุใดถึงร้ายกาจเพียงนี้ ไปเรียนรู้มาจากไหนหรือ”
หลี่หมิงอวิโต้แย้ง “นี่มันเรียกว่าการปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่เขาปฏิบัติต่อเรา จะถือว่าร้ายกาจได้อย่างไรล่ะ”
หลินหลันครุ่นคิด แล้วกล่าว “นั่นสินะ! ถึงอย่างไรข้าก็เปิดร้านขายยา ให้พวกเราสักเจ็ดแปดกล่อง แล้วก็ให้แส้วัว แส้หนังเสือ และเขากว้างให้ไปด้วยเลย…ศิษย์น้องเจ็ดแต่งงานทั้งที ข้าในฐานะศิษย์พี่ผู้นี้ จะตระหนี่ถี่เหนียวได้อย่างไรกันล่ะ” หลินหลันถึงกับหัวเราะจนตัวโยนขณะกล่าว
หยินหลิ่วยกน้ำชาเข้ามา ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของนายหญิงจากด้านใน จึงถามไถ่จิ่นซิ่วที่นั่งอยู่ด้านนอกห้อง “เอ้อร์เส้าหน่ายนายพูดคุยอันใดกับเอ้อร์เส้าเหยียหรือ ถึงได้สุขใจปานนี้”
จิ่นซิ่วชำเลืองมองหยินหลิ่วอย่างมีเลศนัย จากนั้นกล่าวด้วยท่าทีอ้ำอึ้ง “ดูเหมือนเอ้อร์เส้าหน่ายนายกับเอ้อร์เส้าเหยียกำลังพูดคุยเรื่องเตรียมสินเดิมให้เจ้าอะไรทำนองนี้…”
ใบหน้าของหยินหลิ่วถึงกับร้อนผ่าวอย่างไม่รู้ตัว นางเม้มปากเล็กน้อยแล้วกล่าว “เจ้าหูฝาดไปแล้วกระมัง”
จิ่นซิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าเข้าไปถามเองเลย”
หยินหลิ่วยิ้มเจื่อน “น้ำชานี่ เจ้าเอาเข้าไปส่งทีสิ!” ยามนี้นางไม่กล้าเข้าไปเป็นอันขาด มิเช่นนั้นคงได้อับอายขายหน้าแย่
จิ่นซิ่วหยอกเย้า “เอ้อร์เส้าหน่ายนายมอบหมายให้เป็นหน้าที่เจ้า แล้วข้าจะเข้าไปทำไมหรือ! แม่โจวกล่าวไว้แล้วว่า หน้าที่ใครหน้าที่มัน ห้ามแอบขี้เกียจเป็นอันขาด ยามนี้เจ้ายังมิได้กลายเป็นศิษย์พี่สะใภ้ของเอ้อร์เส้าหน่ายนายเลยนะ!”
หยินหลิ่วม้องค้อนใส่นาง แล้วแสร้งตำหนิ “เจ้านี่แกล้งกันชัดๆ คอยดูเถอะ ข้าจะฉีกปากเจ้า”
จิ่นซิ่วแสร้งกล่าวด้วยท่าทีเกรงกลัว “ไอโย…พอกำลังจะเป็นศิษย์พี่สะใภ้ จู่ๆ ก็แตกต่างไปจากเดิมเสียแล้ว ตอนนี้ถึงขั้นจะฉีกปากคนอื่นเขา แล้วจากนี้จะเกิดอันใดขึ้นอีกนะ”
หยินหลิ่วอับอายจนขุ่นเคือง จึงถลึงตาใส่แล้วกล่าวด้วยเสียงกระซิบ “ชู่ว์…เจ้าช่วยเบาเสียงหน่อย ไม่กลัวจะถูกคนเขาได้ยินแล้วหัวเราะเยาะบ้างหรือ รีบๆ นำน้ำชาเข้าไปส่งเร็วเข้า เดี๋ยวจะเย็นชืดหมด แล้วอีกเดี๋ยวกลับมา ข้าจะนำแป้งฝุ่งปี๋อวิ๋นไจ๋ให้เจ้าหนึ่งตลับเป็นอันหายกัน!”
จิ่นซิ่วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แล้วทำการกรรโชกต่อไป “เอาขี้ผึ้งทาปากด้วยอีกหนึ่งตลับ”
หยินหลิ่วส่งเสียงจุ๊ปาก “เจ้านี่ได้คืบแล้วจะเอาศอก เหตุใดปกติแล้วข้าถึงมองไม่ออกว่าเจ้าร้ายกาจไม่เบา แล้วยังละโมบโลภมากปานนี้อีกด้วย! นั่นมันเป็นรางวัลทั้งหมดที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายเพิ่งให้ข้ามานะ เอาเถอะๆ ให้เจ้าหมดเลยก็ได้ เจ้าจะได้เลิกจ้องตาเป็นมันเสียที”
ยามนี้เองจิ่นซิ่วถึงได้วางเข็มและด้ายในมือ แล้วรับถาดน้ำชาไว้ จากนั้นเดินเข้าไปส่งน้ำชาด้วยรอยยิ้มระรื่น