ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 302 รอวันตายแล้วกัน
หลินหลันอาศัยสถานะหมอหลวงซึ่งถูกเลือกโดยหานกุ้ยเฟยเข้าสู่ตำหนักเจาฮุย พอเป็นเช่นนี้ นางกลับกลายเป็นเสมือนนักเกลี้ยกล่อมขององค์รัชทายาท
ครั้งก่อนที่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้นั้นผ่านมากว่าครึ่งปีแล้วเห็นจะได้ ฮ่องเต้ดูเหมือนชราภาพลงสิบปีในชั่วพริบตา ตำหนักเจาเฮอที่กว้างใหญ่เต็มไปด้วยความเวิ้งว้าง แสงสว่างสาดสองรำไร ฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์สลักลวดลายมังกรสีทองงดงามเพียงลำพังท่ามกลางความเงียบสงัด บัลลังก์ยังคงเป็นเหมือนเก่า ฮ่องเต้ยังคงเป็นฮ่องเต้เช่นเดิม ทว่าพระองค์ไม่ใช่ราชันผู้ปกครองบ้านเมืองตัวจริงอีกต่อไป พระองค์ในยามนี้ไม่ต่างจากนักโทษที่ถูกคุมขังในคุก เพียงแต่คุกนี้สง่างามโอ่อ่ากว่าของผู้อื่นก็เท่านั้น
หลินหลันก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าแล้วคารวะ “หม่อมฉันหมอหลวงหลินหลันถวายพระพรฮ่องเต้เพคะ ขอพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงยิ่งยืนนาน”
ฮ่องเต้มีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างล่าช้า เนิ่นนานพอตัวถึงเอ่ยปาก น้ำเสียงแหบพร่า สีหน้าซีดเผือดไร้เรี่ยวแรง “เจ้ามาได้อย่างไรหรือ”
หลินหลันชายตาขึ้นอย่างเนิบช้า จ้องมองนัยน์ตาขุ่นหมองของฮ่องเต้ นางยังคงจดจำได้ว่าดวงตาคู่นั้นเคยมีแววตาใสกระจ่าง เพียงแค่สอดส่ายสายตามาก็ทำให้ผู้คนรู้สึกยำเกรงหวาดกลัวจนต้องก้มศีรษะนอบน้อมให้ บัดนี้ ดวงนี้ตาคู่นั้นไม่ต่างจากแววตาที่ไร้จิตวิญญาณ เผยให้เห็นสภาพจิตใจของเขาได้อย่างประจักษ์แจ้ง มันคือความสิ้นหวังอับจนหนทาง หลินหลันรู้สึกหวั่นใจและเกิดความรู้สึกท้อแท้ใจอย่างไร้ที่สิ้นสุด แม้ฮ่องเต้พระองค์นี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นราชันผู้เหนือกว่าใครในประวัติศาสตร์ ทว่าเขาก็ทำเพื่อบ้านเมืองอย่างสุดความสามารถ จิตใจเปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม เรียกได้ว่าเป็นราชันที่มีมนุษยธรรมอันดีงามพระองค์หนึ่งก็ว่าได้ แต่กลับพ่ายแพ้อย่างไม่คาดคิดให้กับบุตรชายที่ตนเองรัก ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจทำอะไรได้ ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์สู่ขุมนรกในชั่วข้ามคืน ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดพระองค์ถึงได้หดหู่และดูโทรมลงได้เพียงนี้
“หม่อมฉันได้ยินว่าพระวรกายของพระองค์ไม่แข็งแรง จึงร้องขอกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเป็นการเฉพาะเพื่อมาตรวจรักษาฮ่องเต้เพคะ” หลินหลันบอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ฮ่องเต้หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “ยามนี้คงมีเพียงเจ้าที่กล้ามาเยี่ยมเรา”
“ผู้คนที่อยากมาเข้าเฝ้าพระองค์มีจำนวนมากมายเพคะ เพียงแต่พวกเขาไม่มีความสามารถเฉกเช่นหม่อมฉัน จึงมามิได้เพคะ” หลินหลันกล่าวติดตลก และเพื่อบอกฮ่องเต้ทางอ้อมว่า สถานการณ์ของเขาในยามนี้เกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตของผู้คนจำนวนไม่น้อย
ฮ่องเต้กล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เรารู้ดีว่าเจ้ามีความสามารถ ในเมื่อมาแล้ว มีอันใดก็พูดเถอะ! คิดว่าพวกเขาคงไม่ให้เจ้าอยู่นานเกินไป”
หลินหลันลุกขึ้นยืนแล้วก้าวไปเบื้องหน้าสองสามก้าว จากนั้นเตรียมคุกเข่าลงอีกครั้ง ทว่าฮ่องเต้กลับยื่นมือออกไปยับยั้งนาง “พูดทั้งอย่างนี้เถอะ! มิต้องมากพิธีไปหรอก”
“ขอบพระทัยฮ่องเต้เพคะ” หลินหลันก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อมแล้วยืนขึ้น จากนั้นจึงกล่าว “ตามจริงการจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้มิใช่เรื่องง่ายดาย หม่อมฉันก็เสี่ยงศีรษะหลุดจากบ่าเพื่อมาเข้าเฝ้าสักครั้งเช่นกันเพคะ ประการแรก หม่อมฉันห่วงใยพระวรกายของพระองค์ ประการที่สอง…มีเรื่องราวบางอย่างจำเป็นต้องกราบทูล ยามนี้พรรคพวกของอดีตองค์รัชทายาทถูกคุกคาม ผู้คนจำนวนมากเกินกว่าจะจินตนาการได้ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง หม่อมฉันได้ยินว่า ห้องขังที่มีอยู่ในเมืองหลวงล้วนเต็มไปด้วยผู้คน ปากตลาดสดในแต่ละวันยิ่งแล้วใหญ่ เพราะมีผู้คนต้องถูกตัดหัวที่นั่น ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างของราชสำนักเต็มไปด้วยข่าวลือนานาประการ แต่ละคนล้วนกำลังมีภัย ยังมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้นที่มีจิตใจติดตามฮ่องเต้ ตอนนี้พวกเขาก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากเช่นกันเพคะ”
ฮ่องเต้ไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดอยู่เนิ่นนานพอตัว ดวงตาที่เดิมทีเต็มไปด้วยความขุ่นหมองคู่นั้นกลับค่อยๆ คมกริบขึ้นมาเพราะความโกรธเกรี้ยว เขากัดฟันแน่นแล้วกล่าว “ไอ้ลูกทรพี ฉ้อราษฎร์บังหลวง ก่อความหายนะให้แก่ประเทศชาติบ้านเมือง”
“หม่อมฉันมาเข้าเฝ้าครั้งนี้ ด้วยอยากสดับรับฟังความคิดเห็นของฮ่องเต้เพคะ” หลินหลันกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ฮ่องเต้ชายตาขึ้น จ้องมองหลินหลันอย่างเพ่งพินิจ แววตาเผยความลังเลใจขึ้นมาวูบหนึ่ง
หลินหลันโน้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมก้มศีรษะขณะกล่าว “กราบทูลฮ่องเต้ตามตรง ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเพิ่งเข้าพบหลี่หมิงอวินสามีของหม่อมฉันเพคะ หลังเรื่องราวกลับตาลปัตร สามีของหม่อมฉันถูกกักบริเวณอยู่ในพระราชวังมาโดยตลอด รวมถึงจิ้งปั๋วโหว์ก็ไร้วี่แววมาหลายวันแล้วเช่นกันเพคะ องค์รัชทายาทเคยเรียกหม่อมฉันเข้าเฝ้า องค์รัชทายาทต้องการแต่งตั้งหม่อมฉันเป็นต้าอี้ฮูหยิน ซึ่งหม่อมฉันเข้าใจความหมายขององค์รัชทายาทว่า ต้องการให้หม่อมฉันไปพูดเกลี้ยกล่อมสามีของหม่อมฉัน ทว่าหม่อมฉันเข้าใจนิสัยใจคอของสามีดีเสียยิ่งกว่าอะไร ตราบใดที่ฮ่องเต้ยังคงยืนหยัด สามีของหม่อมฉันก็จะไม่ยอมแพ้ และเชื่อว่าคนอื่นๆ ก็มีความนึกคิดเช่นเดียวกันเพคะ”
“ดังนั้นเจ้าก็เลยมาพูดเกลี้ยกล่อมเรา?” แววตาของฮ่องเต้เย็นชาเล็กน้อย
หลินหลันกล่าวอย่างไม่ตอบรับแต่ก็ไม่โต้แย้ง “หม่อมฉันคิดว่าฮ่องเต้ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญของปัญหา เหตุใดถึงไม่มุ่งเน้นไปที่การเชื่อมโยงใจความหลัก แต่กลับจดจ่ออยู่ที่ประเด็นยิบย่อยล่ะเพคะ การมาของหม่อมฉันในครั้งนี้ มีความเห็นแก่ตัวปะปนอยู่ด้วยจริงๆ เพราะหม่อมฉันรักสามีเสียยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง หากสามีของหม่อมฉันต้องการเป็นผู้ยึดมั่นในคุณธรรมและความซื่อสัตย์จนยอมสละชีวิต หม่อมฉันก็จักตายตามไปแน่นอนเพคะ เพียงแต่ในใจของหม่อมฉันรู้สึกสงสัยเล็กน้อย การสละชีวิตเพื่อความผดุงคุณธรรม และบรรลุผลประโยชน์ของแต่ละบุคคลนั้น ถือได้ว่าเป็นการสละชีวิตที่ไม่เสียหาย ทว่าการเมินเฉยต่อความปลอดภัยของประเทศชาติบ้านเมือง ละทิ้งผู้คนหลายพันคนและเพิกเฉยต่อพวกเขาเพื่อบรรลุผลประโยชน์ส่วนบุคคล เช่นนี้นับว่าเป็นธรรมหรือไม่เพคะ”
ฮ่องเต้เลิกคิ้ว พร้อมกับสีหน้าเคร่งขรึม
หลินหลันกล่าวต่อไป “ตั้งแต่ยุคสมัยเกาจู่ขึ้นครองราชย์ เริ่มสรรค์สร้างรากฐานราชวงศ์เราสามร้อยปี กษัตริย์ในประวัติศาสตร์ปลุกเร้าจิตใจตนเองเพื่อทุ่มกำลังสร้างประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง ถึงได้มียุคสมัยที่เฟื่องฟูเฉกเช่นวันนี้ ในตอนนี้องค์รัชทายาทจึงกำจัดทุกสิ่งอย่างที่ขัดขวางเพื่อกอบกุมอำนาจให้มั่นคง ไม่ลังเลแม้โลหิตจะอาบท้องพระโรง บรรดาขุนนางไม่เสียดายที่จะสละชีวิตเพื่อผดุงไว้ซึ่งความจงรักภักดี บ้างก็อาศัยพระนามของฮ่องเต้ปลุกปั่นประชาชน ฮ่องเต้เพคะ พระองค์คงเคยคิดอยู่บ้างว่า สถานการณ์ในยามนี้ก็เสมือนกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์เราที่แสดงใหม่อีกครั้ง จริงหรือไม่เพคะ”
หลินหลันเคยได้ยินหมิงอวินเล่าให้ฟังว่าเกาจู่มาเยือนโลกมนุษย์ได้อย่างไร ซึ่งก็เพราะการแย่งชิงบัลลังก์โดยองค์ชายแห่งราชวงศ์ก่อนหน้า กษัตริย์ทั้งหมดจากทั่วทุกมุมโลกจึงยกทัพรบกับฉินอ๋อง ฉินอ๋องเป็นเพียงเหตุผลในการก่อกบฏ ตามจริงใครบ้างไม่ปรารถนาบัลลังก์มังกร จึงนำประเทศชาติบ้านเมืองเข้าสู่สงครามโกลาหล ชนกลุ่มภายนอกอาศัยโอกาสนี้เข้ารุกราน ราชวงศ์ก่อนหน้าถูกทำลาย เกาจู่เริ่มจากจุดเชื่อมต่อเล็กๆ และขยายกำลังทหารไปไม่หยุดหย่อน รบราอย่างยากลำบากเป็นเวลากว่าสิบปีถึงรวบรวมใต้หล้าไว้ได้ บทเรียนดังกล่าวนี้มีความลึกล้ำอย่างยิ่ง
หัวใจของฮ่องเต้สั่นสะท้าน บนใบหน้าเผยสีหน้าตื่นตระหนกที่มาพร้อมกับการดิ้นรน
“ตามจริง หากยังพอมีความหวัง หม่อมฉันคงไม่มาเพื่อพูดสิ่งเหล่านี้ คิดว่าในพระหฤทัยฮ่องเต้จักต้องเข้าใจกระจ่างแจ้งยิ่งกว่าผู้ใด อำนาจอันยิ่งใหญ่หลุดลอยไป ทว่าองค์รัชทายาทเดินมาถึงขั้นนี้ก็ไม่มีทางหนีทีไล่เหลืออีกแล้วเช่นกันเพคะ ผลสุดท้ายของการไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้ ก็คือการพ่ายแพ้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย และถึงขั้นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง…” หลินหลันถอนหายใจอย่างจนปัญญา “หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง ไม่มีอุดมการณ์และความแค้นมากมายสักเท่าใด หวังเพียงดูแลคนในครอบครัวให้ใช้ชีวิตอย่างสุขกายสบายใจ นี่ก็เป็นความในใจของปวงประชาทั่วไปเช่นกันเพคะ หม่อมฉันคิดว่า ในพระหฤทัยฮ่องเต้เองก็คงมีผู้ที่พระองค์อยากจะทะนุถนอม และอยากปกป้องเช่นกัน…”
หลินหลันเดินพ้นตำหนักเจาเฮอ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ สิ่งที่ควรพูดล้วนพูดออกไปหมดแล้ว ที่นางพอทำได้ก็มีแค่นี้
“หลี่ฮูหยิน เจ้าช่างหาญกล้ายิ่งนัก” น้ำเสียงตะคอกทุ้มต่ำดุดันล่องลอยมา
หลินหลันตระหนกตกใจจนเหงื่อตกและเย็นวูบไปทั้งตัว เป็นองค์รัชทายาทนั่นเอง
“หม่อมฉันถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ ขอคารวะแด่องค์รัชทายาท” หลินหลันพยายามสงบนิ่ง นางก้าวเดินขึ้นเบื้องหน้าแล้วคุกเข่าลงเพื่อแสดงความเคารพ
องค์รัชทายาทเผยสีหน้าเรียบเฉย แววตาแฝงไว้ด้วยความอาฆาต และกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้ากล้าดีอย่างไรมารบกวนความสงบของฮ่องเต้”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันได้รับพระราชโองการจากกุ้ยเฟยให้มาตรวจดูอาการป่วยฮ่องเต้เพคะ”
องค์รัชทายาทสบถฮึ “พระราชโองการจากกุ้ยเฟย? อย่าคิดว่าเราไม่รู้ว่าเจ้ามีความนึกคิดอันใด แม่ทัพหลินช่างเป็นบิดาที่ดีจริงๆ ถึงขั้นช่วยเจ้าเสนอหน้าไปถึงกุ้ยเฟย”
ได้ยินคำพูดเยี่ยงนี้ขององค์รัชทายาท หลินหลันกลับสงบนิ่งลงมาก เห็นทีว่าองค์รัชทายาทจะรับรู้แต่แรกแล้วว่านางคิดเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แต่กลับไม่ขัดขวางแต่อย่างใด และจะเห็นได้ว่าองค์รัชทายาทนั้นเป็นผู้อนุมัติด้วยซ้ำไป ยามนี้แสร้งทำเป็นข่มขู่ คงอยากทำให้นางเกรงกลัว นางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม “องค์ชายคิดว่าหม่อมฉันมาเพื่ออันใดหรือเพคะ”
องค์รัชทายาทสบถฮึ “ไม่ว่าเจ้ามาเพื่ออันใด ล้วนเป็นการกระทำผิดที่ถึงแก่ชีวิตทั้งสิ้น”
หลินหลันกล่าว “หากองค์รัชทายาทต้องการเอาชีวิตหม่อมฉัน มันง่ายดายเสมือนพลิกฝ่ามือด้วยซ้ำไปเพคะ ทว่าพระองค์เพิ่งแต่งตั้งหม่อมฉันเป็นต้าอี้ฮูหยิน เพียงชั่วพริบตาก็จะปลิดชีพหม่อมฉันเสียแล้ว เช่นนี้ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใด มิสู้รออีกสักระยะ ปลดยศถาบรรดาศักดิ์ที่ทรงประทานให้เสียก่อน แล้วค่อยหาเหตุผลมาเอาชีวิตหม่อมฉันอีกที…องค์รัชทายาทคิดว่าอย่างไรเพคะ”
องค์รัชทายาทเห็นว่าหลินหลันไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย แล้วยังแต่งแต้มรอยยิ้มไว้บนใบหน้า ช่วยเขาเสนอความคิดเห็นอีกด้วย ความหาญกล้านี้ช่างชวนให้ผู้คนเลื่อมใสจริงๆ มิน่าล่ะ นางถึงกล้าเสี่ยงมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้
“ปากคอเราะรายดีนี่ ทว่าข้อเสนอแนะของเจ้าก็ไม่เลวเช่นกัน เช่นนั้นเจ้าก็กลับบ้านไปรอวันตายเสีย!” องค์รัชทายาทสะบัดแขนเสื้อ แล้วสาวฝีก้าวยาวเดินจากไป