ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 288 สตรีบ้าคลั่ง
“เช่นนั้นท่านตั้งใจจะทำอย่างไรต่อไปหรือ” หลี่หมิงอวินรินสุราให้หลินเฟิงเต็มจอก
คิ้วเข้มของหลินเฟิงขมวดเล็กน้อย “ยังจะทำอะไรได้อีกหรือ ในสายตาเหยาจินฮวามีแต่เงินๆ ทองๆ จิตใจนางคิดแต่จะเป็นนายหญิงสะใภ้ใหญ่ เช่นนั้นก็ปล่อยนางไปเถอะ ทว่าจะให้ฮานเอ๋อร์ติดตามนางไม่ได้เป็นอันขาด”
หลี่หมิงอวินส่งเสียงกระแอม จากนั้นกล่าวขณะครุ่นคิดอย่างหนัก “ท่านยังต้องกลับไปค่ายซีซาน จะพาเด็กตามไปด้วยคงมิได้ หรือไม่ก็ให้ฮานเอ๋อร์อยู่ที่นี่ หลันเอ๋อร์จะได้ช่วยดูแลเขาให้”
หลินเฟิงกล่าวด้วยความกังวลใจ “ข้าเกรงว่าเหยาจินฮวาจะมาก่อกวนถึงที่น่ะสิ”
หลี่หมิงอวินอมยิ้มขณะตบบ่าของหลินเฟิง “เจ้าวางใจเถอะ! หลันเอ๋อร์รับมือได้อยู่แล้ว” เหยาจินฮวาเป็นคนเช่นไร เต็มที่ก็แค่สตรีชาวบ้านที่ไร้ความรู้ไร้ปัญญาคนหนึ่ง หลันเอ๋อร์หรือจะพ่ายแพ้นาง ขนาดคนอย่างแม่มดชราที่ไม่ง่ายต่อการจัดการ พอตกมาอยู่ในเงื้อมมือหลันเอ๋อร์แล้วยังไม่อาจเอาชนะได้เลย
มุมฝีปากหลินเฟิงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มขมขื่น “นั่นก็จริงอยู่ จินฮวากับน้องข้าไม่ถูกชะตากันมาโดยตลอด จึงมักคิดหาเรื่องน้องข้าอยู่เรื่อย น้องข้าเพียงแค่ไม่อยากทำให้ข้าผู้เป็นพี่ชายลำบากใจ ถึงได้อดทนครั้งแล้วครั้ง เฮ้อ! เป็นข้าเองที่เป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย จึงทำให้น้องสาวได้รับความไม่ยุติธรรม เอ้ เจ้าว่าเหตุใดเมื่อก่อนข้าถึงต้องเกรงกลัวนางด้วยล่ะ ช่างเป็นอะไรที่โง่เขลาจริงๆ”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “การเป็นบุรุษที่ให้ความยำเกรงภรรยามิใช่เรื่องที่น่าอายแต่อย่างใด เพียงแต่จำเป็นต้องอยู่ในความพอดี เช่นเรื่องในวันนี้ พี่ใหญ่ ข้ารู้สึกอย่างแท้จริงว่าท่านทำถูกต้อง และมีความกล้าหาญอย่างมาก”
“นั่นเป็นเพราะนางทำให้ข้ารู้สึกเดือดดาลเหลือเกิน หากนางไม่ปรับปรุงข้อบกพร่องของเรื่องเห็นแก่เงินเป็นสำคัญ ข้าจะหย่าร้างกับนางแน่นอน ตระกูลหลินข้าจะได้ไม่ปรากฏคนเสมือนป้าใหญ่ผู้นั้น” หลินเฟิงยืดตัวอกผายไหล่ผึ่งขึ้นอย่างไม่รู้ตัวขณะกล่าว วันนี้ได้แสดงออกอย่างปีกกล้าขาแข็งต่อหน้าเหยาจินฮวาขึ้นมาครั้งหนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนเองเสมือนบุรุษผู้หนึ่งอย่างแท้จริง และมีความรู้สึกอย่างผู้กล้าหาญที่ได้ลืมตาอ้าปากเสียที
หลี่หมิงอวินส่งเสียงหัวเราะร่า “พี่ใหญ่ ข้าว่านับวันท่านยิ่งมีความเป็นชายผู้องอาจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะขอรับ มา หมดจอกขอรับ”
สุราสองจอกไหลลงลำคอ กลิ่นสุราคละคลุ้ง ช่วยขจัดความหงุดหงิดภายในใจของหลินเฟิง หลินเฟิงจับบ่าหลี่หมิงอวิน กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “หมิงอวิน น้องเขย เจ้าเป็นตัวอย่างที่ดี การได้ฝากน้องสาวไว้กับเจ้า ทำให้ข้ารู้สึกวางใจเป็นพิเศษ”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “พี่ใหญ่กล่าวชมกันเกินไปแล้วขอรับ”
แม่โจวถือชามก๋วยเตี๋ยวเนื้อไก่ฉีกมาหนึ่งชาม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ เดี๋ยวบ่าวป้อนคุณชายน้อยฮานเอ๋อร์รับประทานอาหารเองเจ้าค่ะ”
หลินหลันก้มลงพูดกับฮานเอ๋อร์อย่างนุ่มนวล “ฮานเอ๋อร์ พวกเรามากินก๋วยเตี๋ยวกันดีหรือไม่”
ยามนี้ฮานเอ๋อร์หิวแล้วเช่นกัน ดวงตามองจับจ้องไปยังก๋วยเตี๋ยวที่หอมฉุยพลางพยักหน้าหงึกหงัก
แม่โจวปรบมือภายใต้สีหน้าเบิกบาน “คุณชายน้อยฮานเอ๋อร์ มาเจ้าค่ะ แม่โจวป้อนท่านนะเจ้าคะ”
หลินหลันส่งฮานเอ๋อร์ให้แม่โจวพลางเอ่ยถาม “พี่ชายข้ายังอยู่หรือไม่”
“ยังอยู่เจ้าค่ะ! กำลังพูดคุยกับเอ้อร์เส้าเหยียอย่างเพลิดเพลินเจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าวตอบ
“พวกเจ้าคอยดูแลฮานเอ๋อร์ไว้ให้ดีๆ ข้าจะออกไปดูหน่อย” หลินหลันจัดชายกระโปรงที่ถูกฮานเอ๋อร์นั่งทับจนยับ จากนั้นโน้มตัวลงและลูบใบหน้ารูปไข่เล็กๆ ของฮานเอ๋อร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฮานเอ๋อร์เด็กดีกินเยอะๆ นะ อีกเดี๋ยวอามาดูฮานเอ๋อร์”
“จะว่าไปแล้วข้าคงต้องขอบคุณพี่สะใภ้ เพราะหากไม่ใช่นางดึงดันต้องการทำให้หลันเอ๋อร์แต่งเป็นอนุภรรยาของตระกูลจางต้าฮู่ให้จงได้ หลันเอ๋อร์ก็คงไม่มาหาข้าเช่นกัน” หลี่หมิงอวินรินสุราให้พี่เขยพลางพูดคุยความในใจไปเรื่อยเปื่อย
หลินเฟิงหัวเราะอย่างหดหู่ ชี้นิ้วไปทางหลี่หมิงอวิน “เห็นทีว่าเจ้าก็มีใจให้หลันเอ๋อร์แต่แรกแล้วสินะ”
หลี่หมิงอวินฉีกยิ้ม ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ภายในใจกลับครุ่นคิดว่า เมื่อไรกันนะที่เขาเริ่มมีใจให้หลันเอ๋อร์ บอกอย่างชัดเจนไม่ได้เช่นกัน เรื่องบางเรื่อง มันก็ค่อยๆ เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวเช่นนี้ พอรู้ตัวอีกที ทั้งหัวใจของเขาก็ถูกนางยึดครองไปทีละนิด ทีละนิดเสียแล้ว และในที่สุดก็ถูกนางครอบครองจนเต็มพื้นที่ ไม่อาจมีผู้ใดเข้ามาแทรกได้อีก
“กำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ” หลินหลันเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
หลี่หมิงอวินรีบกล่าวทันควัน “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ฮานเอ๋อร์ล่ะ”
“กำลังกินก๋วยเตี๋ยวอยู่น่ะ! ฮานเอ๋อร์เชื่อฟังอย่างยิ่ง ปลอบเขาครู่เดียวก็หยุดร้องไห้แล้ว” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินเฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “น้องพี่นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว บรรดาบุรุษอย่างพวกท่านหรือจะรู้จักปลอบประโลมเด็กๆ พี่ใหญ่ ข้าว่าให้ฮานเอ๋อร์อยู่ที่นี่เถอะ บ้านหลังนั้นที่ดูๆ ไว้ครั้งก่อน หากท่านพึงพอใจ เราก็ซื้อมันไว้เสียเลย แล้วค่อยจัดหาสาวใช้และหญิงวัยกลางคนมาจำนวนหนึ่ง จะได้ลงหลักปักฐานเสียที เมื่อก่อนท่านตัวคนเดียว จะทำอะไรตามใจเรื่อยเปื่อยก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ทว่าตอนนี้ฮานเอ๋อร์มาแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องมีครอบครัวที่เป็นแบบอย่างมิใช่หรือ” หลินหลันคว้าเหยือกสุราไปวางในตำแหน่งที่ไกลออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย สองคนนี้ เพียงชั่วครู่เดียวเหยือกสุราก็เกลี้ยงไปสามเหยือกแล้ว ไม่ยักจะรู้เลยว่าหลังหมิงอวินไปประจำการที่ชายแดนมาครั้งเดียว ความสามารถในการดื่มสุราก็ก้าวหน้าเสียแล้ว! เมื่อก่อนดื่มสามจอกก็หัวราน้ำแล้ว
“น้องพี่ เจ้าว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น พี่เชื่อฟังเจ้าทั้งหมด” หลินเฟิงกล่าวอย่างอารมณ์ดี
หลินหลันบ่นหมิงอวินด้วยเสียงกระซิบ “เหตุใดเจ้าถึงให้ท่านพี่ดื่มเยอะเพียงนี้ล่ะ ดื่มจนเมาจะทำลายสุขภาพไปเปล่าๆ”
หลี่หมิงอวินแบมืออย่างไร้เดียงสา แค่นี้ไม่นับว่ามากมายเสียหน่อย พี่ๆ น้องๆ ในค่ายทหาร ใครบ้างที่ไม่คอแข็ง! อีกอย่าง พี่ชายของภรรยาเขาต้องการดื่มสุรา เขาในฐานะน้องเขยจะขัดขวางได้หรือไร
“น้องพี่ ไม่เป็นไร สุราแค่นี้ ข้ายังไม่เต็มอิ่มเลยด้วยซ้ำ!” หลินเฟิงหัวเราะแห้ง
หลินหลันมองค้อนใส่พี่ชายอย่างไม่เกรงใจ “ท่านพี่ ท่านดื่มให้มันน้อยๆ หน่อย! เย็นนี้ท่านยังต้องกลับไปค่ายทหารอีกนะเจ้าคะ!”
ขณะนี้เองหลินเฟิงถึงนึกขึ้นมาได้จึงยกมือขึ้นตบลงบนศีรษะ “ดูความจำข้าสิ ข้าต้องรีบกลับไปแล้วละ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องต้องจัดการอีกด้วย!” หลินเฟิงลุกขึ้นยืน รู้สึกเสียหลักเล็กน้อยจนร่างกายโอนเอน
หลี่หมิงอวินรีบเข้าไปประคองเขาไว้ “พี่ใหญ่ ข้าให้เหล่าอู๋ควบรถม้าไปส่งท่านกลับแล้วกัน!”
หลินเฟิงโบกมือ “ไม่ต้องๆ ข้ากลับเองได้ คือว่า…น้องพี่ ฮานเอ๋อร์ก็รบกวนเจ้าด้วยแล้วกัน ไว้ข้าเสร็จธุระช่วงนี้แล้วจะรีบกลับมารับเขา”
หลินหลันมองดูพี่ชายด้วยความกังวลใจ “ท่านพี่ ฮานเอ๋อร์อยู่กับข้าที่นี่ ท่านวางใจได้เลย ทว่าตอนนี้ท่านขี่ม้าไม่ได้จริงๆ นะเจ้าคะ หมิงอวิน เจ้าช่วยไปเตรียมรถม้าให้ทีสิ”
“แย่แล้ว แย่แล้วเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าหน่ายนาย มีสตรีบ้าคลั่งบุกเข้ามาเจ้าค่ะ กล่าวว่าต้องการให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายส่งตัวคนออกไปเจ้าค่ะ” อวิ๋นอิงวิ่งกระหืดกระหอบมารายงาน
สตรีบ้าคลั่ง นอกจากเหยาจินฮวาแล้วยังจะมีผู้ใดไปได้อีกหรือ
หลินเฟิงตระหนกตกใจชั่ววูบ จากรู้สึกกรึ่มสุราในตอนแรกก็หายเป็นปลิดทิ้ง “เดี๋ยวข้าไปไล่นางเอง” เขากล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา
หลินหลันและหลี่หมิงอวินสบตากันเลิ่กลั่ก จากนั้นก็เดินตามออกไปเช่นกัน
“จินฮวา เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย…”
ทันทีที่ลงจากรถม้า เหยาจินฮวาก็บุกเข้าไปด้านในโดยไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น นางเฝิงใจเต้นระรัวด้วยความตื่นตระหนก เดินตามหลังไปพลางส่งเสียงตะโกน เหยาจินฮวากล่าวว่าต้องการมารับตัวคนไปจากจวนหลี่ ความหมายของนางเฝิงคือไม่ต้องรีบร้อนเพียงนี้ ให้หลินเฟิงได้ใช้เวลาอยู่กับบุตรชายสักพักเพื่อสร้างสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกก็ดีเช่นกัน แล้วค่อยหาโอกาสเหมาะสมมาพาตัวคนเขากลับมา ทว่าเหยาจินฮวาไม่รับฟังเลยสักนิด โวยวายจะทวงคืนบุตรชายกลับมาให้ได้ นางคิดๆ ดูแล้วรู้สึกไม่วางใจถึงได้ตามมา
เหยาจินฮวาในขณะนี้เกือบจะบ้าคลั่งแล้วก็ว่าได้ ประการแรกเพราะเป็นห่วงบุตรชาย หลังฮานเอ๋อร์ถือกำเนิดมาก็ไม่เคยห่างจากตัวนางไปแม้แต่ครึ่งฝีก้าว จู่ๆ ถูกคนเขาอุ้มหนีมา หัวใจนางจึงรู้สึกเสมือนถูกควักออกมา ไม่อาจควบคุมตนเองได้ ประการสอง นางรู้ดีว่าที่พ่อสามีให้ความสำคัญไม่ใช่ตัวนางแต่เป็นฮานเอ๋อร์ ฮานเอ๋อร์จึงเป็นกุญแจสำคัญในการรั้งหลินเฟิงไว้ได้ ดังนั้นนางจึงรีบร้อนจะพาตัวฮานเอ๋อร์กลับไปให้จงได้
“หลินเฟิง เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้นะ เจ้านำฮานเอ๋อร์มาคืนข้าเดี๋ยวนี้…” เหยาจินฮวาผลักหญิงรับใช้วัยกลางคนสองคนที่ขัดขวางนางไว้ ส่งเสียงตะโกนดังลั่นและบุกตรงเข้ามาด้านใน
หลินเฟิงได้ยินเสียงตะโยนของเหยาจินฮวามาแต่ไกล ความเดือดดาลผสมฤทธิ์สุราปะทุขึ้นภายในใจ นี่เป็นบ้านของน้องสาวเขา เขายอมเสียหน้าได้ ทว่าน้องสาวและน้องเขยเขายังต้องรักษาหน้าไว้! นี่มันจะเกินไปแล้ว หลินเฟิงเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป
“เจ้าตะโกนแหกปากอันใดนักหนา ไม่รู้จักมองดูเสียบ้างว่าที่นี่คือที่ใด มันใช่ที่ให้เจ้าบุกมาสุ่มสี่สุ่มห้าได้หรือ” หลินเฟิงปรากฏตัวออกมาเบื้องหน้าเหยาจินฮวา ส่งเสียงตะโกนดังลั่น
วันนี้เหยาจินฮวาถูกหลินเฟิงตะคอกใส่หลายครั้งแล้ว เมื่อก่อนล้วนเป็นนางที่ตะคอกใส่หลินเฟิง ต่อหน้านางหลินเฟิงไม่กล้าหืออือใดๆ ด้วยซ้ำ ตอนนี้แค่เป็นทหารยศเสี้ยวเว่ยก็ไม่ยอมอ่อนข้อ และเริ่มพูดจาต่อนางอย่างไม่ยำเกรงเสียแล้ว เหยาจินฮวาจึงรู้สึกเศร้าเสียใจถึงขีดสุด นางกระโจนเข้าไปคว้าเสื้อหลินเฟิงและเอ่ยถาม “เจ้านำลูกข้าไปซ่อนไว้ไหนแล้ว เอาลูกคืนมาให้ข้าโดยเร็ว”
หลินเฟิงอยากปัดมือของเหยาจินฮวาออก ทว่านางจับไว้แน่น จะปัดอย่างไรก็ปัดไม่ออก หลินเฟิงจึงกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าโวยวายสร้างปัญหาพอแล้วหรือไม่”
เหยาจินฮวาตะคอกสุดเสียง “ไม่พอ เจ้าไม่นำฮานเอ๋อร์มาคืนข้า ข้าก็ไม่มีทางเลิกราวีเจ้า นั่นเป็นลูกที่ข้าให้กำเนิดมา ข้าเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เจ้ามีสิทธิ์อะไรอุ้มหนีมา? เจ้าเอาฮานเอ๋อร์มาคืนข้าเดี๋ยวนี้ คืนฮานเอ๋อร์มาให้ข้า…”
นางเฝิงเดินตามเข้ามา มองเห็นสถานการณ์เบื้องหน้าถึงกับกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง เหยาจินฮวาผู้นี้ เหตุใดถึงไม่รู้จักกลยุทธ์เลยสักนิด รู้จักแต่ตะเบ็งเสียงใส่ดุดัน หากใช้คำพูดเช่นนี้ หลินเฟิงจะให้พาบุตรกับไปได้อย่างไร การต่อกรบุรุษอย่างหลินเฟิงผู้นี้ไม่ใช่อาศัยตะโกนใส่ ไม่ใช่อาศัยการข่มขู่ แต่เป็นการอ่อนน้อม และใช้น้ำตา ใช้น้ำตาในการแสดงความทุกข์และอ้อนวอนต่างหากล่ะ เฮ้อ! นางเฝิงรู้สึกเสียใจภายหลังที่ตนเองไม่ทันได้สั่งสอนเหยาจินฮวาให้ดีๆ เสียก่อน นางเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าเหยาจินฮวาจะเป็นเช่นนี้
“จินฮวา เจ้าค่อยพูดค่อยจากับเขาเถิด อย่าใจร้อนไปเลย!” นางเฝิงทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมด้วยความกลัดกลุ้มอยู่ด้านข้าง
หลินหลันและหลี่หมิงอวินเดินตามหลังมาอย่างเร่งรีบ หลินหลันเห็นเหยาจินฮวาเสมือนมนุษย์ป้าคนหนึ่ง จึงเตรียมพุ่งตัวเข้าไปด้วยความเดือดดาลที่ปะทุขึ้นมา ทว่าหลี่หมิงอวินรีบห้ามนางไว้ส่ายหน้าให้นางเพื่อจะได้ดูว่าพี่ใหญ่จะจัดการอย่างไร
หลินเฟิงถูกเหยาจินฮวาฉุดกระชากเช่นนี้ บรรดาข้ารับใช้ในจวนหลี่ล้วนมองดูอย่างตื่นตระหนก หลินเฟิงรู้สึกว่าเขาเสียหน้าจนไม่เหลือชิ้นดี ความอับอายที่บังเกิดกลายเป็นความโกรธเกรี้ยว เขาออกแรงสะบัดตัวในชั่วพริบตา ทำให้เหยาจินฮวาถูกสลัดออกไป
เหยาจินฮวาล้มลงไปกับพื้น ก้มกระแทกจนเจ็บปวด นางมองดูหลินเฟิงที่กำลังเดือดดาลด้วยความตกตะลึง บุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ไม่เหมือนบุรุษที่อยู่ในความทรงจำนางอีกแล้ว ความรู้สึกเสียสูญทำให้นางงุนงงสับสนไปชั่วขณะหนึ่ง
นางเฝิงรีบเข้าไปประคองจินฮวาลุกขึ้น “จินฮวา มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน อย่าใจร้อนไปเลย!” จากนั้นชี้นำนางด้วยเสียงกระซิบ “บุรุษล้วนต้องการรักษาภาพลักษณ์ทั้งนั้น เจ้าทำให้เขาขายหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายเพียงนี้ แล้วเขาจะไม่ใจร้อนต่อเจ้าได้หรือ”
ในที่สุดเหยาจินฮวาก็ตระหนักได้ วันคืนในการข่มขวัญที่เคยเป็นของนางมันหมดสิ้นไปเสียแล้ว บุรุษผู้นี้ไม่ตามใจและคล้อยตามยามอยู่ต่อหน้านางอีกแล้ว นางร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาด้วยความเศร้าเสียใจ และกล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้าก็ไม่อยากเป็นเช่นนี้ ทว่าเขาอุ้มลูกข้าหนีมาหน้าตาเฉย แล้วข้าจะไม่ร้อนใจได้หรือ ฮานเอ๋อร์เป็นชีวิตของข้านะเจ้าคะ!” นางตะโกนใส่หลินเฟิงอีกครั้งพลางร้องไห้ “ตอนนี้เจ้าโดดเด่นแล้ว ก็เริ่มรังเกียจข้าแล้วสินะ ยังพูดไม่ทันไรก็ระเบิดอารมณ์ใส่ข้า ข้ามาหาเจ้าด้วยความสุขล้นหัวใจ แต่เจ้าทำกับข้าเช่นนี้น่ะหรือ…ฮือๆๆ พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีอะไรทำไมไม่ปรึกษากันดีๆ เจ้าพูดกับข้าดีๆ ข้ามีหรือจะไม่รับฟังเจ้า เจ้าจงใจทำเช่นนี้ จงใจใช้เหตุผลนี้มาเลิกรากับข้าสินะ…”
หลินเฟิงก็เป็นคนที่ยอมโอนอ่อนตาม หากพูดจากันดีๆ จริงๆ เหยาจินฮวาที่เอะอะอาละวาดยังเป็นการง่ายต่อเขาในการจัดการ พอร้องไห้และแสดงออกอย่างอ่อนแอขึ้นมา เขาถึงกับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเสียแล้ว ความโกรธเกรี้ยวก็ค่อยๆ ผ่อนลงเช่นกัน “เจ้าพูดไร้สาระอันใดของเจ้า ข้าถามเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะมากับข้าหรือไม่ เป็นเจ้าเองที่จะอยู่ต่อให้ได้ ยามนี้กลับมากล่าวโทษข้าเสียได้” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอึดอัดใจ