ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 283 เต็มไปด้วยคำโกหกหลอกลวง
หลินต้าฟางตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งก่อนฉีกยิ้มขึ้นมา “ข้ามิได้กล่าวว่าเป็นเหล่าอู่มิใช่หรือ น้องสะใภ้ เป็นเจ้าที่ฟังผิดเองแล้วกระมัง! ข้าพูดว่าเป็นผู้เฒ่าซุนโถวต่างหาก ไม่ผิดแน่ เป็นผู้เฒ่าซุนโถว เรื่องสำคัญแบบนี้ข้าจะจำผิดได้ที่ไหนกันเล่า”
นางเฝิงสัมผัสถึงความหนังหน้าหนาของป้าใหญ่มาแต่แรกแล้ว จึงไม่แปลกใจต่อพฤติกรรมสับปลับของป้าใหญ่ นางเลือกที่จะทำเพียงแสยะยิ้มเย็นชาอย่างเหยียดหยาม ถูกหรือผิด สามีของตนเองน่าจะตัดสินได้
สีหน้าของหลินจื้อย่วนเย็นชายิ่งขึ้น “เช่นนั้นหรือ ท่านพี่มั่นใจว่าจำไม่ผิดแน่หรือ”
หลินต้าฟางกล่าวอย่างเป็นตุเป็นตะ “เรื่องสำคัญเพียงนี้ ข้าจะจำผิดได้หรือ ผู้เฒ่าซุนโถวเอ่ยอย่างเป็นจริงเป็นจัง ข้ายังร้องห่มร้องไห้อยู่ตั้งหลายวันเชียว หลายปีมานี้ ตัวข้าพอนึกถึงน้องสะใภ้ที่โชคร้ายของข้าผู้นั้น แล้วยังมีหลานชายและหลานสาวที่โชคร้ายของข้านั่นอีก ก็เป็นอันต้องรู้สึกแย่เสียยิ่งอะไรดี...” หลินต้าฟางเอื้อนเอ่ยพลางใช้แขนเสื้อซับหางตาที่ไม่ได้ปรากฏหยาดน้ำตา เพียงแต่แสดงเป็นโศกเศร้าก็เท่านั้น
ความโกรธเกรี้ยวของหลินจื้อย่วนที่คุกรุ่นไม่อาจยับยั้งไว้ภายในได้อีกเช่นกัน ประดุจภูเขาไฟระเบิดพวยพุ่ง เขาตบมือลงไปบนโต๊ะน้ำชาหนึ่งทีเสียงดังปึงแล้วลุกขึ้นยืนกะทันหัน ฝาถ้วยน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะน้ำชาถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆ
“หลินต้าฟาง” หลินจื้อย่วนระเบิดเสียงดังลั่น หลินต้าฟางตระหนกตกใจจนเกือบเข่าอ่อน นางมองดูน้องชายที่กำลังเกรี้ยวกราดด้วยความหวาดกลัว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดน้องชายถึงโมโหถึงเพียงนี้
“เจ้ากล้าดีนักนะ หลินต้าฟาง เหตุใดท่านแม่ของพวกเราถึงได้ให้กำเนิดสตรีอสรพิษอย่างเจ้าผู้นี้ออกมาเสียได้ เจ้า…ล้วนเป็นเพราะเจ้า ทำให้พวกเราสามีภรรยาต้องพลัดพรากจากกัน ทำให้เฟิงเอ๋อร์และหลันเอ๋อร์ได้รับความทุกข์ยากลำบาก ทำให้พวกเราพ่อลูกต้องเป็นคนไม่รู้จักกันถึงทุกวันนี้ เจ้า…เจ้ายังกล้าพูดปดไร้สาระอยู่ ณ ที่นี่อีก แต่ละคำพูดล้วนเต็มไปด้วยการหลอกลวง เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นพี่สาวข้า แล้วข้าจะไม่กล้าถือสาเอาความอันใดเจ้าหรือ หลินต้าฟาง ข้าจะบอกเจ้าให้ นับแต่นี้ไป ข้าไม่มีพี่สาวอย่างเจ้า เจ้ารีบไสหัวออกไปเสีย” หลินจื้อย่วนเดือดดาลจนเกินบรรยาย
หลินต้าฟางถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไรหรือ น้องชายอยู่ชายแดนตลอดที่ผ่านมาไม่ใช่หรือไร แล้วเหตุใดเขาถึงไปพบเจอเฟิงเอ๋อร์ได้ล่ะ
เจ้าเชวียนรู้ดีแก่ใจว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก อุปนิสัยและอารมณ์ของน้องภรรยาผู้นี้เขาเคยสัมผัสมาแล้ว ตอนนั้นเพราะเขาพูดหยอกล้อนางเฉินไม่กี่ประโยค น้องชายภรรยาเกือบจะคว้ามีดมาฟันเขาด้วยซ้ำ ยามนี้ดูท่าจะเป็นฝ่ายตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว เจ้าเชวียนจึงรีบเดินเข้าไปฉุดรั้งหลินต้าฟาง
หลินต้าฟางตื่นตกใจยิ่ง คาดไม่ถึงว่าคำหลอกลวงที่ตนเองพลั้งปากพูดไปเรื่อยเปื่อยในตอนนั้นจะถูกน้องชายจับได้ ใช่แล้ว นางเคยพบเจอเฟิงเอ๋อร์ ทว่านางเกลียดนางเฉินแม่ลูกเหล่านั้น นางเฉินไม่เพียงแต่หลอกล่อทำให้น้องชายเพิกเฉยนางผู้เป็นพี่สาว แล้วยังยั่วยวนสามีของนางอีก นางเกลียดนางเฉินมาแต่ไหนแต่ไร และอยากให้น้องชายหย่าร้างกับนางเฉินเสียยิ่งอะไรดี นางคาดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่ความจริงถูกเปิดเผย เห็นน้องชายโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ นางเศร้าสลดและหวาดเกรง จ้องมองน้องชายอย่างร้อนรน ทำอะไรไม่ถูก
นางเฝิงเกลียดครอบครัวป้าใหญ่ถึงขีดสุด เพียงแต่สามีนางจะไล่คนเขาออกไปด้วยความเดือดดาล มันไม่สมเหตุสมผลไปหน่อย นางจึงฝืนใจลองกล่าวเกลี้ยกล่อม “ท่านพี่เจ้าคะ ท่านใจเย็นๆ ก่อน จะจัดการปัญหาก็ต้องให้ตัวปัญหาไปแก้ไข ผู้ใดสร้างคำลวงหลอกขึ้นมา ผู้นั้นก็ต้องไปอธิบายด้วยตนเอง จะอย่างไรท่านก็ควรมีคำชี้แจ้งให้หลินหลันพวกเขาสองพี่น้องนะเจ้าคะ”
หลินจื้อย่วนถูกความโกรธเกรี้ยวโจมตีจนขาดสติไปชั่ววูบ พอนางเฝิงกล่าวเช่นนี้ เขาถึงดึงสติกลับคืนมาได้ นั่นสิ! ยามนี้การได้รับการให้อภัยจากเฟิงเอ๋อร์และหลันเอ๋อร์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อถึงเวลาค่อยลงโทษคนชั่วร้ายก็ยังไม่สาย เขาสะบัดชายแขนเสื้อ ตะโกนเสียงเย็นชา “ใครก็ได้เข้ามานี่ นำตัวครอบครัวพวกเขาทั้งสี่คนไปขังไว้”
หลินต้าฟางตื่นตกใจจนหน้าถอดสี กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “น้องสาม ต่อให้พี่ทำอันใดเลอะเลือนไปชั่ววูบ เจ้าจะกระทำอย่างไร้เยื่อใยเยี่ยงนี้มิได้เช่นกันกระมัง ข้าเป็นพี่สาวแท้ๆ ผู้เดียวของเจ้าเชียวนะ! เจ้าถึงกับจะตัดพี่ตัดน้องเพียงคนเดียวของตนเองเพื่อนางเฉินเชียวหรือ ใต้หล้านี้ไม่มีใครเขาทำกันเช่นนี้หรอก! อีกอย่าง หากมิใช่เพราะข้าทำเรื่องเลอะเลือนไปชั่ววูบ เจ้าจะได้แต่งภรรยาที่ทั้งเยาว์วัยทั้งรูปงามเพียงนี้หรอกหรือ เจ้าจะมีครอบครัวแบบนี้ได้หรือ นางเฉิน นังสตรีหน้าไม่อายผู้นั้นไม่คู่ควรกับเจ้าเลยสักนิด” หลินต้าฟางยิ่งพูดยิ่งเอาดีใส่ตน
หลินจื้อย่วนโกรธเกรี้ยวจนเนื้อตัวสั่นเทิ้ม เขาชี้นิ้วไปที่นาง กล่าวด้วยความโมโหสุดขีด “เจ้ายังรู้ตัวอีกหรือว่าเจ้าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของข้า ทว่าทั้งหมดที่เจ้ากระทำ มันเหมือนอย่างผู้เป็นพี่สาวแท้ๆ เขาทำกันเสียที่ไหนเล่า เจ้าทำลายครอบครัวของข้า ใต้หล้านี้มีพี่สาวแท้ๆ กระทำเช่นเจ้าด้วยหรือ เจ้ามันรู้จักทำแต่เรื่องเลวทรามไม่มีที่สิ้นสุด แล้วยังกล้าพูดจาโกหกหลอกลวง เจ้าเชื่อหรือไม่ ข้าจะจัดการเจ้าให้สาสมเดี๋ยวนี้เลย”
หลินต้าฟางตื่นตกใจจนร่นถอยไปหนึ่งฝีก้าว เกือบเสียหลักเซถลา เจ้าเชวียนเข้าไปประคองนาง แล้วจ้องมองน้องชายภรรยาที่กำลังระเบิดอารมณ์ประหนึ่งพายุหิมะพลางกล่าวด้วยเสียงบางเบา “เจ้าช่วยพูดให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ! หากทำให้น้องชายเจ้าโกรธเข้าไปใหญ่ ไม่ว่าอะไรเขาก็ทำมันได้ลงคอทั้งนั้นจริงๆ”
นางเฝิงมองดูสามีที่เดือดดาลจนเกินกู่กลับ จึงรีบส่งเสียงตะโกนเรียกข้ารับใช้ “พวกเจ้าหูหนวกหมดแล้วหรือ ไม่ได้ยินคำพูดของนายท่านหรือ”
เหล่าอวี๋เร่งรีบกวักมือทันที จากนั้นข้ารับใช้เด็กหนุ่มจำนวนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจับตัวทั้งสี่คนพาออกไป
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด นางเฝิงมองดูสามีที่กำลังหายใจไม่เป็นจังหวะด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย แม้นางพยายามพร่ำบอกตนเองไม่รู้กี่ครั้งว่าเรื่องราวนี้ไม่อาจกล่าวโทษผู้เป็นสามีได้ ทว่าในใจก็ยังคงรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าใดนัก
หลินจื้อย่วนสงบความโกรธเกรี้ยวลงได้ในที่สุด เขาชำเลืองตามองและเห็นว่านางเฝิงกำลังก้มหน้าก้มตา เห็นสีหน้าอารมณ์เพียงประปรายเท่านั้น ในใจเขาอดรู้สึกละอายแก่ใจและนึกตำหนิตนเองขึ้นมาไม่ได้ จึงถอนหายใจและกล่าวออกไป “หมิ่นหมิ่น เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง เป็นข้าเองที่ไม่ควรหลงเชื่อคำพูดของพี่สาว ทำให้นางเฉินทุกข์ระทม ทำให้ลูกๆ ทั้งสองคนต้องทุกข์ยากลำบาก แล้วยังทำให้เจ้าได้รับความไม่ยุติธรรมไปด้วย…”
นางเฝิงฝืนยิ้นขมขื่นพลางส่ายหน้า “ท่านพี่คำนึงถึงเรื่องที่ว่าจะทำให้บุตรทั้งสองคนให้อภัยได้อย่างไรก่อนเถอะเจ้าค่ะ!”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางยังจะทำอะไรได้อีกหรือ จะให้ทะเลาะเบาะแว้งกับสามีเพื่อเรื่องนี้? แล้วพาซานเอ๋อร์ออกไปจากบ้าน? ไม่ นั่นเป็นการกระทำที่มุทะลุเกินไป ในเมื่อนางเฉินเสียชีวิตไปแล้ว ไม่สู้วางตนให้เป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักใช้เหตุใช้ผลยังจะดีเสียกว่า ทำให้สามีซาบซึ้งใจในตัวนาง นั่นต่างหากถึงเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด
หลินจื้อย่วนนึกถึงสายตาที่โกรธเคืองของหลันเอ๋อร์คู่นั้น และสีหน้าที่เย็นชานั่นของเฟิงเอ๋อร์ เขาถึงกับเอนกายพิงพนักเก้าอี้ และกุมหน้าผากด้วยความกลัดกลุ้ม
ครอบครัวหลินต้าฟางถูกพากลับไปยังบ้านหลังด้านข้าง จากนั้นเหล่าอวี๋ก็ปิดประตูลงกลอนไว้เสร็จสรรพ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่มันเกิดอันใดขึ้นหรือ เหตุใดท่านน้าเขาถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพียงนั้นหรือ” ขณะนี้เองเจ้าคังผิงถึงเอ่ยปากพูดจา เมื่อครู่เขาตื่นตระหนกจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างก็ว่าได้
“นั่นสิท่านแม่ เมื่อครู่นี้ท่านน้าดุดันชะมัด ราวกับต้องการฆ่าคนให้ได้” ดวงใจน้อยๆ ของเจ้าคังหนิงเต้นระรัวไม่เป็นสุข กล่าวด้วยความหวาดเกรง
เจ้าเชวียนจ้องใส่หลินต้าฟางเขม็ง และกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็เพราะท่านแม่เจ้าน่ะสิ จะโกหกทั้งทีก็ไม่รู้จักพูดให้มันดีๆ สักหน่อย ดันไปกล่าวว่าคนในครอบครัวเขาตายหมดแล้ว คราวนี้เป็นอย่างไรล่ะ น้องชายเจ้าคงพบเจอเฟิงเอ๋อร์กับหลันเอ๋อร์แล้วเป็นแน่ ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
หลินต้าฟางกล่าวด้วยความกลัดกลุ้มและหงุดหงิด “จะให้จัดการอันใดหรือ ต่อให้ข้าโกหกเขาแล้วจะทำไม ข้าเป็นพี่สาวแท้ๆ เพียงผู้เดียวของเขา เขาจะถือโทษเอาความอันใดกับข้าได้ลงคอหรือ”
เจ้าเชวียนสบถฮึ “เจ้าช่วยมั่นใจให้มั่นน้อยๆ หน่อยเถอะ! เจ้าไม่ได้ยินที่น้องชายเจ้าพูดเมื่อครู่หรือว่าเขาไม่มีพี่สาวเยี่ยงเจ้า เมื่อใดที่นิสัยโหดเหี้ยมของเขาผุดขึ้นมา เชื่อหรือไม่ว่าเขาจะคว้ามีดมาสับเจ้าได้”
หลินต้าฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงวางมาดบาตรใหญ่ “เขากล้าหรือ”
“กล้าหรือไม่เจ้าคอยดูแล้วกัน แต่ข้ารับประกันได้ว่าขืนเจ้าพูดจาไร้สาระเรื่อยเปื่อยอีก เขาได้ตัดญาติขาดมิตรอย่างไร้เยื่อใยจริงๆ แน่นอน” เจ้าเชวียนม้วนแขนเสื้อพลางขึ้นไปนั่งบริเวณหัวเตียง จากนั้นบ่นพึมพำอยู่กับตนเอง “มาครั้งนี้ยังคิดว่าจะได้ตักตวงผลประโยชน์อะไรบ้าง ดันกลายเป็นว่าคนเขาเชิญพวกเรามาเพื่อสอบปากคำนี่เอง”
“ท่านพ่อ ท่านน้าคงไม่ตัดขาดพวกเราจริงๆ หรอกกระมัง?” เจ้าคังผิงกล่าวด้วยความกังวล อนาคตหน้าที่การงานในภายภาคหน้าของเขาฝากความหวังไว้ที่ผู้เป็นน้าชาย แม้ไม่กล้าคิดถึงขั้นจะเป็นขุนนางอะไรนั่น แต่อย่างน้อยๆ ก็คงได้รับบ้านหลังโตๆ สักหลัง และสตรีงามมาเป็นภรรยาสักคนมิใช่หรือ
เจ้าเชวียนกรอกตามองบน “เรื่องนี้เจ้าก็ถามไถ่แม่เจ้าเองสิ ข้าไม่รู้หรอก”
หลินต้าฟางกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ไม่ต้องมาถามข้า ข้ากำลังหงุดหงิดอยู่!”
เจ้าคังผิงและเจ้าคังหนิงสองพี่น้องต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก และพร้อมใจกันชักสีหน้าหงิกงอ เสมือนกำลังมองเห็นความฝันที่งดงามของตนพังทลายลงไปเสียแล้ว
หลี่หมิงอวินกลับมาจากไปว่าราชการ หลังถอดเปลี่ยนชุดขุนนางออก ก็มุ่งไปห้องน้ำเพื่ออาบน้ำอาบท่าแล้วจึงโผล่หน้าออกมา หลินหลันเห็นใบหน้าเขาดูอ่อนล้า จึงยื่นถ้วยน้ำชาอุ่นๆ ให้ พลางเอ่ยถามด้วยความห่วงใย “ไปปฏิบัติหน้าที่ในฝ่ายครัวเรือนวันแรก พอจะคุ้นเคยหรือไม่”
หลี่หมิงอวินรับถ้วยน้ำชาไว้ เป่าใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำแล้วดื่มมันลงไปสองอึก จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “วันนี้ยุ่งจนไม่มีเวลาแม้แต่จะจิบน้ำชาด้วยซ้ำ ต้องทำความคุ้นเคยกับทั้งเบื้องบนและผู้ใต้บัญชาเบื้องล่าง ต้องสานต่อภาระงานต่างๆ และพยายามทำความเข้าใจในงานฝ่ายครัวเรือนให้รวดเร็วที่สุด เฮ้อ! ยามนี้ข้าเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดฮ่องเต้ต้องการให้ข้าไปประจำอยู่ฝ่ายครัวเรือน เพราะตอนนี้ฝ่ายนี้เละไม่เป็นท่า คลังทรัพย์สินของประเทศชาติบ้านเมืองแทบจะว่างเปล่าแล้ว ช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ในพื้นที่เจียงหนานเก็บภาษีได้เพียงสี่ส่วน ในพื้นที่อื่นๆ ก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกันเท่าใดนัก แต่ละพื้นที่หากมิใช่กล่าวว่าเกิดปัญหาน้ำท่วม ก็เป็นการกล่าวกว่าเกิดปัญหาภัยแล้ง ส่งผลให้รายรับไม่สู้ปีก่อนๆ มาก…”
“เบื้องบนยังมีท่านราชเลขากรมคลังมิใช่หรือ เรื่องเหล่านี้ควรเป็นเขาต้องเดือดเนื้อร้อนใจมิใช่หรือ” หลินหลันกล่าวด้วยความข้องใจ
หลี่หมิงอวินยิ้มขมขื่นก่อนกล่าวขึ้นมา “ท่านราชเลขากรมคลังต่างก็อายุอานามมากจนใกล้บอกลาแล้ว ทุกวันนี้ก็แค่ดำรงตำแหน่งไปเท่านั้นเอง เขาขอเพียงไม่เกิดปัญหาใดๆ เป็นพอ มีหรือจะสิ้นเปลืองสภาพอารมณ์และจิตใจไปจัดการปัญหาวุ่นวายเหล่านี้ หากต้องจัดการขึ้นมาจริงๆ คงได้สร้างความขุ่นเคืองต่อคนจำนวนมากด้วยเช่นกัน ฮ่องเต้จึงอยากให้ข้าขุดความเละไม่เป็นท่าสภาพนี้ขึ้นมา ให้ข้ามารับบทคนโหดเหี้ยมนี้อย่างไรล่ะ”
“เรื่องดีๆ ละไม่รู้จักตกมาถึงเจ้าบ้าง มอบหมายแต่ภาระหน้าที่ยากลำบากเหล่านี้ให้ทั้งนั้น ฮ่องเต้ก็ช่างเห็นความสามารถในตัวเจ้าเกินไปแล้วกระมัง แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรหรือ ต้องทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองอย่างเต็มที่และดันตายตอนจบหรือไรกัน” หลินหลันบ่นโอดครวญ
หลี่หมิงอวินลูบศีรษะที่แทบจะบวมเป่งและถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แล้วยังมีวิธีอันใดอื่นหรือ คนอื่นเขาพากันอิจฉาตาร้อน มีเพียงตัวข้าเองเท่านั้นที่รู้รสชาติในสิ่งเหล่านี้”
“แล้วบรรดาสหายร่วมงานของเจ้าไว้ใจได้หรือไม่ หากเป็นพวกถ่วงความเจริญเสียส่วนมาก เรื่องนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้เช่นกัน” หลินหลันกล่าวด้วยความกังวล
หลี่หมิงอวินครุ่นคิดชั่วครู่ เดิมทีก็อยากจะกล่าวว่ามันเป็นเรื่องเกินกำลังจริงๆ แต่ด้วยเห็นสีหน้ากังวลใจของหลันเอ๋อร์จึงกลืนคำพูดดังกล่าวลงไปและเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลย ภาระงานแค่นี้ไม่คณนามือสามีเจ้าหรอก”
หรูอี้ขออนุญาตเข้ามา เอ่ยถามว่าต้องการให้จัดวางอาหารเลยหรือไม่
หลินหลันกล่าว “จัดวางอาหารได้เลย!”
หลังสองสามีภรรยารับประทานมื้อค่ำเรียบร้อย หลี่หมิงอวินเรียกตงจึให้ขนย้ายเอกสารและตำราที่หอบกลับมาวันนี้ทั้งหมดมาไว้ในห้องหนังสือชั้นในและเตรียมทำงานกลางดึก
ด้านนอกมีคนมารายงาน กล่าวว่าแม่ทัพหนิงกั๋วมาขอพบ
หลี่หมิงอวินมองหลินหลันทันทีอย่างขอความคิดเห็น หลินหลันกำลังเผยสีหน้าเคร่งขรึม “เขามาทำอะไรหรือ มิต้องไปพบหรอก”
หลี่หมิงอวินยิ้มเจื่อนและกล่าว “ไม่ออกไปพบจะดูไม่ดีกระมัง! ไม่แน่ว่าอาจเป็นเรื่องอื่นก็เป็นได้”
หลินหลันมองค้อนใส่เขา “เขายังมีเรื่องอันใดได้อีกหรือ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ต้องไปเจอะเจอทั้งนั้น”
หลี่หมิงอวินสะกิดปลายจมูกของนางเกลี้ยกล่อม “เจ้าวางใจเถิด ข้าเคยกล่าวไว้แล้วว่าข้าจะยืนหยัดข้างเจ้าแน่นอน ข้าออกไปพบสักหน่อย เกิดเขามาด้วยเรื่องงานล่ะ…ข้ารับประกัน หากเขาเอ่ยถึงเรื่องส่วนตัว ข้าจะไล่เขากลับไปทันที”
นี่มันหลอกเด็กชัดๆ? เรื่องงาน เรื่องงานก็ไปคุยกันในราชสำนักมิได้หรือ ไยต้องมาถึงบ้าน อีกทั้งยังเป็นในช่วงเวลาเช่นนี้ หลินหลันเตรียมจะยืนกรานคัดค้าน ทว่าหลี่หมิงอวินกลับลูบใบหน้านางเบามือและกล่าวด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน “ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ”