ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 219 ตอบโต้
ด้วยการวิเคราะห์ของหลินหลัน เมื่อไท่โฮ่วเห็นว่าลูกไม้นี้ใช้ไม่ได้ผล คงต้องใช้เบี้ยตัวต่อรองที่หนักขึ้นไปข่มขู่หมิงอวินอีกอย่างแน่นอน ซึ่งสิ่งที่หมิงอวินให้ความใส่ใจมากที่สุดก็มีแค่นางกับตระกูลเยี่ย ไท่โฮ่กระทำการอย่างอาจหาญโดยนำดาบมาจ่อคอของพวกเขาไม่ได้ แต่เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะใช้วิธีการต่ำช้าอย่างลับๆ เล่นงานพวกเขาให้ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ดังนั้น ยามนี้จึงต้องเร่งเตรียมการรับมือให้ดีที่สุด จะปล่อยให้ไท่โฮ่วจับจุดอ่อนแล้วนำมาเล่นงานไปไม่ได้เป็นอันขาด
“ในเมื่อท่านลุงมั่นใจแล้วว่าสินค้าเครื่องราชบรรณาการชุดนี้ไม่มีปัญหาใดๆ ก็จำเป็นต้องเร่งทำเวลาเป็นฝ่ายริเริ่มเสียก่อน ทำให้ไท่โฮ่วไม่เหลือบทให้กระทำการอันใดได้เจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวเสนอแนะ
เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวด้วยความกังวลภายใต้สีหน้าเคร่งเครียด “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าหญิงชราจอมชั่วร้ายนี่จะเล่นงานกันให้จนตรอกไปข้างเลยหรือไร แก่จนจะตายในไม่ช้าอยู่แล้ว ยังไม่รู้จักปล่อยวาง กดดันจนข้าเดือดดาลขึ้นมาละก็ ข้าจะเกลี้ยกล่อมหมิงอวินให้โต้นางกลับเสียเลย ทำให้นางขโมยไก่ไม่ได้ไก่แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ จะได้เห็นนางโกรธเกรี้ยวจนอกแตกตายไปเลย”
ได้ยินท่านลุงด่าท่อคนเขาก็รู้สึกสะใจไปด้วย ชั่วชีวิตนี้ของท่านลุงผู้เดียวที่เกรงกลัวก็คือท่านหญิงชราเยี่ย นอกนั้นล้วนไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น เมื่อโมโหขึ้นมา คิดจะพูดอันใดก็พูดอันนั้น ยิ่งไปกว่านั้นที่ท่านลุงด่าก็ไม่ผิดเลยแม้แต่ประเด็นเดียว การกระทำครานี้ของไท่โฮ่วต่ำช้าจริงๆ ไม่ทันได้เข้าใจกระจ่างชัดแจ้งว่าอีกฝ่ายที่อยากดึงเข้าไปร่วมด้วยเป็นคนเช่นไร ก็คิดเองเออเองไปว่าเป็นการที่นางให้ความเมตตาและคุณประโยชน์ ดังนั้นคนเขาก็ควรปฏิบัติต่อนางด้วยชีวิต แน่นอนละ หากเปลี่ยนเป็นคนประเภทพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายนั่น คงประจบประแจงไปตั้งนานแล้ว หรือเป็นเพราะนางคิดว่าพ่อลูกคงมีส่วนที่เหมือนๆ กันอยู่บ้าง จึงคาดไม่ถึงว่าไม้ไผ่ผุพังจะแตกหน่อไม้ชั้นดีออกมาได้เช่นกัน คนที่คิดไปเองว่าตนเองกระทำถูกต้องอยู่แล้ว ยิ่งไม่รู้จักนึกย้อนไตร่ตรองความผิดของตนเอง มีแต่จะดึงดันทำตามใจตนเองโดยไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้ใดทั้งสิ้น
“โกรธแค้นส่วนโกรธแค้น ในเมื่อคนเขาเป็นถึงไท่โฮ่ว ฐานะสูงส่งอำนาจยิ่งใหญ่ เราจึงจำเป็นต้องระมัดระวังเข้าไว้ พาหมิงอวินออกมาให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถิดนะเจ้าคะ พรุ่งนี้การรักษาการกุศลที่หุยชุนถางก็จะเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว ข้าเลยเตรียมจะปิดร้านสักระยะหนึ่งด้วยเจ้าค่ะ” หลินหลันบอกกล่าว
เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวอย่างเห็นด้วย “ระยะนี้เจ้าก็เหนื่อยมามากพอแล้ว ควรต้องพักผ่อนให้เต็มที่เสียบ้าง”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน นางปิดร้านชั่วคราวไม่ใช่เพื่อการพักผ่อนแต่อย่างใด ไท่โฮ่วต้องการเล่นงานตระกูลเยี่ย วิธีที่ดีที่สุดก็คือลงมือทางด้านเครื่องราชบรรณาการ หากต้องการเล่นงานหลินหลัน ทางที่ง่ายที่สุดก็คือกล่าวหาว่านางขายยาปลอมหรือจ่ายยาผิดสูตร ทำให้ผู้รับการรักษาเสียชีวิต นางจะไม่ยอมให้หญิงชราจอมชั่วร้ายมาใส่ร้ายนางไปได้
ในวันเดียวกัน ฮ่องเต้กำลังอ่านสาส์นที่ส่งมากราบทูลอยู่ในห้องหนังสือจักรวรรดิ ขันทีหร่วนเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ แล้วหยุดยืนก้มหน้าโดยมีสีหน้าลังเลใจ หลายครั้งที่อยากเอ่ยปากขึ้นแต่แล้วก็หักห้ามเอาไว้ ด้วยสีหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความสับสนนี้ตกอยู่ในสายตาของฮ่องเต้ ฮ่องเต้จึงเอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “มีเรื่องอันใดหรือ”
หร่วนกงกงก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าสองฝีก้าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ตามจริงก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใดพะย่ะค่ะ เพียงแต่ข้าน้อยคิดว่าหากไม่กราบทูลก็คงไม่เป็นดีเท่าใดนักพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตวัดสายตาจ้องมองไป “เจ้าช่วยพูดอ้อมค้อมต่อหน้าเราให้มันน้อยๆ หน่อย เราไม่อยากเห็นที่สุดก็คือท่าทีอ้ำๆ อึ้งๆ ของเจ้าเช่นนี้”
หร่วนกงกงกล่าวด้วยความกังวล “กราบทูบฮ่องเต้ เรื่องราวเป็นเช่นนี้พะย่ะค่ะ เมื่อคืนซูเฟยเหนียงเหนียงกล่าวว่าวันคล้ายวันเกิดขององค์หญิงสิบเจ็ดใกล้มาถึงแล้ว จึงให้สำนักพระราชวังส่งผ้าไหมที่เข้ามาใหม่ไปให้สักจำนวนหนึ่ง จะได้ไว้ตัดเย็บชุดใหม่ให้องค์หญิงสิบเจ็ดสักสองชุดพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เลิกคิ้วขึ้นพร้อมหยุดชะงักพู่กันในมือ แล้วกล่าวขึ้นทันที “ดูความจำเราสิ กระทั่งวันคล้ายวันเกิดขององค์หญิงสิบเจ็ดก็ดันลืมไปเสียได้ โชคดีที่เจ้าเตือนข้า มิเช่นนั้นซูเฟยคงได้กล่าวว่าเราไม่ใส่ใจไยดี”
หร่วนกงกงเผยรอยยิ้มเจื่อนก่อนกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ฮ่องเต้ยุ่งอยู่กับราชกิจของบ้านเมือง มีเรื่องให้ต้องนึกคิดมากมาย จะลืมไปบ้างครั้งสองครั้งก็เป็นเรื่องปกติพะย่ะค่ะ ซูเฟยเหนียงเหนียงมีคุณธรรมและอ่อนโยน จะต้องไม่กล่าวโทษฮ่องเต้อย่างแน่นอนพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เผยรอยยิ้มเล็กน้อย “แล้วอย่างไรต่อล่ะ”
หร่วนกงกงตกตะลึงไปชั่วขณะ แล้วถึงกล่าวต่อจากคำพูดก่อนหน้า “ใครจะรู้ว่าสำนักพระราชวังกลับเอ่ยว่า ผ้าไหมที่เข้ามาใหม่มีปัญหาก็เลยมิได้ให้ไป ซูเฟยเหนียงเหนียงจึงเกิดความไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย โดยเอ่ยว่าช่วงก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้ยังประทานผ้าไหมที่เข้ามาใหม่ให้พระสนมหรงเป็นรางวัลก็ไม่เห็นจะเอ่ยว่าผ้ามีปัญหาอันใด พอมาถึงครานางผ้านี่ดันเกิดปัญหาขึ้นมาเสียแล้วหรือ”
ฮ่องเต้รู้สึกถึงความกลัดกลุ้มเมื่อได้ฟัง วังหลังมีพระสนมเป็นจำนวนมาก เรื่องเล็กน้อยที่ยิบๆ ย่อยๆ ก็กลายเป็นปัญหาที่ไม่อาจยินยอมกันได้
“ข้าน้อยก็เลยคิดว่า เซวียกุ้ยแห่งสำนักพระราชวังเป็นมือหนึ่งที่ข้าน้อยคัดออกมา ปกติแล้วเห็นเขาค่อนข้างฉลาดเฉลียวมีไหวพริบ เหตุใดจู่ๆ ถึงไม่ได้เรื่องขึ้นมาเพียงนี้ ข้าน้อยก็เลยไปยังสำนักพระราชวังเพื่อถามไถ่ให้ชัดเจน เซวียกุ้ยบอกกล่าวข้าน้อยว่าผ้าไหมที่เข้ามาใหม่สีตกและซีดจาง เพื่อความละเอียดรอบคอบข้าน้อยจึงให้เซวียกุ้ยพิสูจน์ให้ดูต่อหน้า ทว่าเซวียกุ้ยกลับบอกปัดบ่ายเบี่ยงไปเรื่อยเปื่อย ข้าน้อยจึงอดสงสัยมิได้ก็เลยไปหยิบผ้าไหมมาผืนหนึ่งแล้วแช่ลงไปในน้ำต้มไว้ครึ่งค่อนวัน ก็ไม่เห็นจะมีสีตกสีซีดแต่อย่างใด ข้าน้อยก็เลยสักถามเซวียกุ้ยว่าสรุปแล้วมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เดิมทีเซวียกุ้ยไม่ยินยอมเอ่ยปาก แต่ด้วยข้าน้อยซักถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท้ายที่สุดเซวียกุ้ยถึงยอมเอ่ยความจริงว่า…” หร่วนกงกงชะงักคำพูดไปชั่วขณะเมื่อเอ่ยมาถึงประโยคนี้ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลง “เซวียกุ้ยเอ่ยว่า เป็นไท่โฮ่วให้เขาพูดเช่นนี้พะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ได้ฟังมาถึงจุดนี้ก็เป็นอันสัมผัสได้ถึงรายละเอียดที่บอบบางในสิ่งที่เกิดขึ้น เขารู้ดีแก่ใจว่าการเคลื่อนไหวของไท่โฮ่วระยะนี้มีจุดประสงค์อันใด ผ้าไหมที่สำนักพระราชวังนำเข้ามาในปีนี้มาจากตระกูลเยี่ย จุดประสงค์ของไท่โฮ่วมันช่างชัดเจนเหลือเกิน
หร่วนกงกงแอบสังเกตสีหน้าของฮ่องเต้ก่อนกล่าวขึ้นอย่างระมัดระวัง “ข้าน้อยมิทราบว่าไท่โฮ่วกระทำการเช่นนี้เพื่ออันใด เพียงแต่คิดว่าเพื่อผ้าไหมไม่กี่ผืน ทำให้บรรดาพระสนมหลายท่านต้องโกรธเคืองกันมันช่างไม่คุ้มค่าเลยนะพะย่ะค่ะ…”
ฮ่องเต้วางพู่กันลงแล้วเอนกายเข้าหาพนักพิงเก้าอี้ หลังครุ่นคิดอย่างหนักอยู่พักใหญ่จึงตรัสขึ้น “หร่วนฝูเซียง”
“พะย่ะค่ะ” หร่วนกงกงโน้มตัวลงเบื้องหน้าเล็กน้อยพร้อมน้อมรับคำบัญชา
“ถ่ายทอดพระราชโองการลงไป ด้วยเซวียกุ้ยผู้ดูแลห้องคลังปฏิบัติหน้าที่ไม่เรียบร้อย จึงให้โยกย้ายไปกองซ่อมบำรุงขัดล้างถังอุจจาระ”
การลงโทษเซวียกุ้ย เป็นการเคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์[1] ซึ่งหวังว่าไท่โฮ่วจะตระหนักได้สักนิด อย่าได้ทำอันใดเลยเถิดจนเกินไป
ข่าวคราวเซวียกุ้ยถูกลงโทษแพร่สะพัดไปถึงตำหนักของไท่โฮ่วอย่างรวดเร็ว
ไท่โฮ่วตกตะลึงไปพักใหญ่หลังได้ยินคำบอกเล่า สร้อยประคำในมือเกือบจะถูกดึงจนขาดจากกัน นางกัดฟันแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนตรัสขึ้น “เราประเมินพวกเขาต่ำไปจริงๆ”
แม่เฉาไม่ทันเข้าใจว่า พวกเขาที่ว่านี้หมายถึงผู้ใด
ไท่โฮ่วสบถ ฮึ อย่างเย็นชา “ไปบอกกล่าวแม่ฉู่ให้มาเข้าเฝ้าเรา”
ไม่นานนักแม่ฉู่ก็รีบมาอย่างรวดเร็วหลังได้ยินคำบอกกล่าว
“เรื่องที่สั่งการเจ้าเมื่อวานนี้ มีความคืบหน้าอันใดหรือไม่” ไท่โฮ่วตรัสถาม
แม่ฉู่กล่าวตอบด้วยสีหน้าหวาดเกรง “กราบทูลไท่โฮ่ว ข้าน้อยกำลังจะจัดการเพคะ ทว่าหุยชุนถางกลับปิดทำการชั่วคราว เห็นเอ่ยว่าหลังจากการรักษาการกุศลติดต่อกันเป็นเวลาครึ่งเดือน บรรดาหมอทั้งหลายล้วนเหน็ดเหนื่อยเอาการ และวัตถุดิบยาภายในร้านก็ไม่ครบถ้วน ด้วยเหตุนี้จึงปิดร้านพักผ่อนเป็นการชั่วคราว และไม่ได้เอ่ยว่าจะเปิดทำการใหม่เมื่อใดเพคะ”
ไท่โฮ่วตบมือลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ ด้วยความหงุดหงิด ขณะนั้นเองแม่เฉาเกือบส่งเสียงออกไปว่า…ไท่โฮ่วระวังเจ็บมือนะเพคะ ด้วยความกังวล
“หลินหลันผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์เจ้ากลยิ่งหนัก” ไท่โฮ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น เพียงช่วงเวลาอันสั้นก็ทำให้แผนการที่นางวางไว้ค่อยๆ ล้มเหลวจนไม่เหลือชิ้นดี ไม่หือไม่อือ โต้ตอบอย่างรวดเร็ว ด้วยไหวพริบอันชาญฉลาดเช่นนี้ ไท่โฮ่วอดสงสัยไม่ได้ว่าในห้องขังวันนั้น ฉากดังกล่าวเป็นการร่วมมือกันของคู่สามีภรรยาพวกเขาที่แสดงละครฉากเศร้าโศกออกมา
“ไท่โฮ่วเพคะ…เห็นทีว่าพวกเขาจะใจแข็งไม่ยินยอมรับน้ำใจของไท่โฮ่วนะเพคะ” แม่เฉากล่าว
ไท่โฮ่วรู้สึกอับอายขายหน้าจนเดือดดาล “หลี่หมิงอวินดื้อดึงดีนัก ในเมื่อไม่ยินยอมให้เราได้ใช้สอย เช่นนั้นก็อย่าได้โทษว่าเราไม่เห็นใจเขา”
แม่เฉากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไท่โฮ่วเตรียมการจะทำอย่างไรหรือเพคะ”
หลังไท่โฮ่วครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ประกายแสงแห่งความเย็นชาก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง “รีบไปบอกกล่าวฉินจงให้เข้ามาในวังโดยด่วน”
ในฐานะกั๋วจิ้วเหยีย[2]ยามที่ฉินจงซึ่งถือเป็นผู้จงรักภักดีและมีความยุติธรรมเป็นชั้นหนึ่งกำลังถูกแผดเผาด้วยเรื่องอื้อฉาวอีกครั้ง ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ถูกไท่โฮ่วตำหนิ เขาจึงเคร่งครัดต่อบุตรหลานและข้ารับใช้เป็นอีกเท่าตัว ใครจะรู้ว่าบุตรหลานของตระกูลฉินดันเคยชินกับนิสัยรักสนุกและหยิ่งผยอง เมื่อครู่นี้เอง เจ้าหน้าที่ทางหงหลูซื่อมาขอพบถึงหน้าประตู โดยเอ่ยว่าบุตรหลานท่านหนึ่งของตระกูลฉินทะเลาะเบาะแว้งกับคนต่างถิ่นแดนที่โรงเตี๊ยมจนเกือบจะทุบตีคนเขาจนเสียชีวิต คนต่างถิ่นแดนผู้นั้นมิใช่คนธรรมดาทั่วไป เขาเป็นถึงองค์ชายแห่งเกาจวี้ลี่ที่มาในฐานะทูตของราชวงศ์เรา ตอนนี้ขุนนางทูตเกาลี่โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง และได้เข้าไปในพระราชวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางหงหลูซื่อเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไร้ผล ช่างเป็นอะไรที่ซวยซ้ำซวยซ้อนของจริง และครานี้เกี่ยวข้องกับเรื่องนอกราชวงศ์เสียด้วย หากทำไม่ดี อาจนำมาซึ่งสงครามสู้รบของสองแคว้น นี่จึงทำให้ฉินจงถึงกับเหงื่อตกท่วมตัว เขารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมเข้าวังเพื่อไปขอขมาและยอมรับความผิดโดยไม่สนใจว่าไท่โฮ่วเรียกให้ไปเข้าเฝ้า
ภายในห้องรับแขกของตระกูลเยี่ย เสียงหัวเราะลั่นด้วยความสะใจของเยี่ยเต๋อฮ๋วยเล็ดลอดออกไปยังด้านนอก “จื่ออวี้ เจ้าหนุ่มนี่ใช้ได้เลยทีเดียวเชียว! ครั้งนี้ดันไปแหย่รังแตนเข้า คงมากพอที่จะทำให้หญิงชราจอมร้ายกาจนั่นกับตระกูลฉินปวดกบาลไปได้สักระยะ”
เฉินจื่ออวี้กล่าวด้วยร้อยยิ้ม “ครั้งนี้เป็นเพราะโอกาสอันดีงามที่สวรรค์มอบให้น่ะขอรับ ข้าเพียงแค่คว้าโอกาสไว้ ท่านลุงขอรับ ท่านไม่ได้เห็นสีหน้าบึ้งตึงนั่นของฮ่องเต้ พระองค์เดือดดาลนัก! เล่นเอาตระกูลฉินหวาดกลัวจนเกือบฉี่รดกางเกงเลยนะขอรับ…” เฉินจื่ออวี้ฉีกยิ้มทีกระทบไปถึงบาดแผลของเขา จึงอดอ้าปากค้างพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วลูบคลำบริเวณมุมฝีปากที่บวมช้ำไม่ได้ “บ้าฉิบ ฉินเฉินซู่ไอ้เด็กเวรผู้นี้ ลงมืออย่างไม่ปรานีเลยจริงๆ ตอนนี้ข้าระบมไปทั้งตัวหมดแล้ว แต่องค์ชายเกาลี่นั่นยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ถูกรุมยำจนหน้าตาสะบักสะบอมไปหมด”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยามที่พวกเจ้าถูกทุบมิได้บอกกล่าวฐานะของตนเองไปหรอกหรือ”
เฉินจื่ออวี้ระลึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้นยิ่งอยากหัวเราะเข้าไปใหญ่ เพียงแต่รู้สึกเจ็บบริเวณมุมปากอย่างยิ่งจึงไม่กล้าหัวเราะขึ้นมาอีก เลยได้แต่เอ่ยด้วยท่าทีเสมือนเป็นเรื่องตลกขบขัน “องค์ชายเกาลี่ผู้นั้นพูดภาษาท้องถิ่นของพวกเรามิได้ ทั้งยังเอาแต่พึมๆ พำๆ ใครเขาจะฟังรู้เรื่องล่ะขอรับ! ตอนนั้นขุนนางผู้เป็นล่ามภาษาดันไปสั่งอาหาร ข้าเลยทำได้แต่ส่งเสียงตะโกนไปว่าพวกเจ้าจะทุบตีคนเขาไม่ได้ การทุบตีคนอื่นเขามันผิดกฎหมาย…คนหยิ่งผยองเหล่านั้นที่ไม่เคยเห็นตัวบทกฎหมายอยู่ในสายตา ยิ่งเจ้าเอากฎหมายมากดดันเขา เขายิ่งไม่แยเส”
หลินหลันหลุดหัวเราะออกมาจนได้ องค์ชายเกาลี่ผู้น่าสงสาร! และเมื่อมองดูลักษณะจมูกที่เขียวช้ำบวมเปล่งของเฉินจื่ออวี้อีกครั้ง จึงอดกล่าวด้วยความห่วงใยไม่ได้ “เจ้าให้ศิษย์พี่ข้าตรวจดูหน่อยเถอะ เผื่อว่าจะเกิดฟกช้ำภายในเข้า”
เฉินจื่ออวี้โบกมือบอกปฏิเสธทันที “ไม่ต้องๆ แค่บาดเจ็บภายนอกเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง เมื่อก่อนก็เตะต่อยกับหนิงซิ่งไอ้หนุ่มน้อยนั่นอยู่บ่อยครั้ง ข้าเคยชินแล้วละ”
“เช่นนั้นเดี๋ยวข้าเอายาสำหรับทารอยฟกช้ำบาดเจ็บให้เจ้าหน่อยแล้วกัน ถึงจะเป็นการบาดเจ็บภายนอกก็จะละเลยไปมิได้เช่นกัน เกิดทิ้งรอยแผลเป็นไว้ จื่อชิ่งคงได้มาคิดบัญชีกับข้ากันพอดี” หลินหลันกล่าว
เฉินจื่ออวี้หน้าแดงระเรื่อ กล่าวด้วยท่าทีประหม่า “ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็ไม่เห็นข้าสักหน่อย”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ด้วยการลงแรงของเจ้าในครานี้ ไว้รอเจ้าแต่งงาน ลุงรับประกันว่าจะส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้เจ้าอย่างแน่นอน”
เฉินจื่ออวี้จับมุมปากขณะหัวเราะเจื่อน “ท่านลุงขอรับ เอาเป็นว่าหลังจากนี้เสื้อผ้าสี่ฤดูในแต่ละปีของคนในตระกูลข้า ท่านช่วยสมนาคุณให้ก็เป็นพอแล้วขอรับ”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวด้วยความสุขใจ “ไม่มีปัญหา! เรื่องเล็กน้อย ต่อให้เจ้าต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่ทุกวันก็ยังได้” เขาหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมาอีกครั้งหลังเอ่ยจบ การได้เห็นตระกูลฉินพ่ายแพ้ มันทำให้เขามีความสุขเสียยิ่งกว่าได้เงินเสียอีก
เฉินจื่ออวี้กล่าวขึ้นทันควัน “ข้าล้อเล่นน่ะขอรับ ท่านลุงท่านอย่าคิดเป็นจริงเป็นจังเชียวนะขอรับ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวา ทันใดนั้นนางนึกเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้กะทันหันจึงเอ่ยถาม “การที่องค์ชายเกาลี่ได้รับบาดเจ็บครั้งนี้ จะนำมาซึ่งสงครามสู้รบระหว่างสองประเทศหรือไม่”
เฉินจื่ออวี้ครุ่นคิด “คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง ต่อให้เกิดสงครามสู้รบขึ้นมาจริง เกาลี่ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของราชวงศ์เราเช่นกัน พวกเขาก็แค่ต่อต้านขึ้นมาบ้างเท่านั้น เชื่อมไมตรีต่อกันสักครั้ง ทวงเกียรติยศศักดิ์ศรีคืนเขาก็เป็นอันสิ้นเรืองแล้วละ ตราบใดที่ฮ่องเต้พูดคุยกับเขาผนวกกับการปลอบขวัญอีกเล็กๆ น้อยๆ ก็น่าจะไม่มีอันใดร้ายแรง ประเด็นสำคัญคือการวางมาดบาตรใหญ่ของตระกูลฉินนำมาซึ่งความไม่พึงพอใจของปวงประชา ครั้งก่อนมีเพียงขุนนางทางการทหารที่โวยวาย ทว่าครั้งนี้ ท่านปู่ข้าก็ไม่ขอเอาด้วยแล้ว โดยหันไปร่วมกับคณะขุนนางชั้นสูงหลายๆ ท่านเพื่อยื่นเรื่องพิจารณาตระกูลฉิน ดังนั้นตระกูลฉินคงไม่อาจอยู่เย็นเป็นสุขได้เสียแล้ว”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวด้วยความตื่นเต้น “เรื่องราวยิ่งใหญ่โตยิ่งดี ดูสิว่าหญิงชราจอมชั่วร้ายยังจะมีกะจิตกะใจมาช่วงชิงสามีของคนเขาอยู่อีกหรือไม่”
[1]เคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์ (敲山震虎之举) หมายความว่า กระทำการโดยตั้งใจเพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือนอีกฝ่ายให้สะทกสะท้าน
[2]กั๋วจิ้วเหยีย (国舅爷) คือยศของผู้เป็นพี่หรือน้องชายของไท่โฮ่วหรือของฮองเฮา ซึ่งนับว่าเป็นพี่เขยหรือน้องเขยของฮ่องเต้ในราชวงศ์นั้นๆ