ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 191 ด่าทอกลางที่สาธารณะ
หลี่หมิงเจ๋อดื่มเข้าไปมากพอตัว หมิงอวินเกรงว่าเขาจะเกิดอุบัติเหตุจึงส่งเขากลับถึงเรือนเวยอวี่
ติงหลั้วเหยียนได้ยินว่าหมิงเจ๋อกลับมาแล้วจึงออกจากเรือนไปต้อนรับ “เหตุใดถึงเพิ่งกลับมา…”
เมื่อเหลือบไปเห็นหมิงอวินที่กำลังประคองหมิงเจ๋อ ติงหลั้วเหยียนจึงหยุดชะงักอยู่บนขั้นบันได
หลี่หมิงอวินรีบกล่าวทันควัน “พี่สะใภ้ วันนี้พี่ใหญ่สุขใจเลยดื่มมากไปหน่อย จึงมึนเมาเล็กน้อยขอรับ”
หลี่หมิงเจ๋อสูญเสียการทรงตัว เรือนร่างโอนเอนไปมา โบกมือเป็นสัญญาณไม่ให้คนช่วยประคองและส่งเสียงหัวเราะคิกคักยกใหญ่ “ใคร…บอกว่าข้าเมา ข้า…ไม่เมา น้องรอง ไป…พวกเราพี่น้องไปดื่มกัน…ต่อ”
ติงหลั้วเหยียนได้สติกลับมา รีบเอ่ยสั่งการทันที “ยังมิรีบเข้าไปประคองต้าเส้าเหยียขึ้นมาอีก เฉียวจวน บอกทางห้องครัวช่วยตุ๋นน้ำแกงสร่างเมาสุรามาให้ด้วย…”
หลี่หมิงเจ๋อดื้อดึงจะไปดื่มสุรากับหมิงอวินต่อให้ได้ สาวใช้ไม่กี่คนมีหรือจะประคองเขาไหว หมิงอวินจึงทำได้เพียงยอมลำบากหน่อย ช่วยประคองหมิงเจ๋อเข้าเรือน
ไม่ง่ายเลยกว่าจะนำหมิงเจ๋อมาส่งถึงเตียงนอนได้ หงซางพาสาวใช้สองคนมาช่วยถอดรองเท้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นายน้อย
หลั้วเหยียนบิดผ้าเช็ดหน้าในมือด้วยความประหม่าขณะก้มหน้า ตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนี้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ใกล้หมิงอวินเพียงนี้ นางอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี
หลี่หมิงอวินกลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อน “เช่นนั้นฝากพี่สะใภ้ดูแลพี่ใหญ่ด้วย หมิงอวินขอตัวก่อนขอรับ”
ขณะติงหลั้วเหยียนตกตะลึงอยู่นั้น หมิงอวินจึงเดินผ่านหน้านางไป ทันใดนั้นติงหลั้วเหยียนรีบกลับหลังหัน “เดี๋ยวข้าไปส่งน้องเขยเอง”
“หลั้วเหยียน…หลั้วเหยียน” เสียงร้องเรียกอย่างเมามายของหลี่หมิงเจ๋อดังขึ้นจากด้านหลัง
ติงหลั้วเหยียนจึงชะงักฝีก้าว ดวงตาอันเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์รักมองไปยังทิศทางหมิงอวิน คำพูดนับพันนับหมื่นติดอยู่ภายในใจ แม้อยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ไม่อาจทำอันใดได้
หลี่หมิงอวินหันกลับมามองนาง ดวงตาของนางยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกครั้งเก่าๆ เมื่อเทียบกับในอดีต นอกจากความไม่เต็มใจจะปล่อยวาง ก็ปรากฏเพียงสายตาที่แสดงถึงความรู้สึกอันลึกซึ้งเพียงนี้ เขาไม่อาจทนได้ เวลานี้ ปัจจุบันนี้ นางเป็นพี่สะใภ้ของเขา ชีวิตนี้ ภพชาตินี้ นางจึงเป็นได้เพียงพี่สะใภ้ของเขา ไม่ใช่ว่าเขาลืมความรู้สึกที่เคยมีต่อกันได้โดยง่ายดาย แต่เป็นเพราะเขาไม่เคยร้องขอและวิ่งไล่ตามในสิ่งที่ไม่ใช่ของเขา หลี่หมิงอวินหลุบสายตาลง ประสานสองมือขึ้นคารวะ “พี่สะใภ้มิต้องไปส่งหรอกขอรับ” เอ่ยจบก็หันหลังกลับอย่างสง่างามทันที เดินลงบันไดไปอย่างสุขุม
ติงหลั้วเหยียนเผยอริมฝีปากเล็กน้อยคล้ายจะเอ่ยอะไรออกไป แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ส่งเสียง ได้แต่มองดูเขาเดินจากไปอย่างเงียบงัน
เมื่อหลี่หมิงอวินกลับถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หลินหลันปรนนิบัติเขาเปลี่ยนชุดด้วยตนเอง
“ดูเจ้าสิ กลิ่นสุราเต็มตัวไปหมด พี่ใหญ่คงดื่มไปไม่น้อยเลยกระมัง!”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เขามีความสุข เลยดื่มไปมากพอตัว หากมิใช่ข้าเกลี้ยกล่อมไว้ เกรงว่าต้องเรียกคนไปแบกเขากลับมาเสียแล้ว”
หลินหลันมองเขาเชิงตำหนิ “ข้าว่าเจ้าก็มีความสุขเช่นกัน เจ้าอยู่ด้านนอกดื่มสุราสำราญใจ ปล่อยให้ข้าต่อกรกับแม่มดชราและท่านพ่อเจ้าอยู่ลำพังเสียได้”
หลี่หมิงอวินยิ้มเจื่อน “พวกเขาเรียกเจ้าไปพูดคุยแล้วหรือ”
หลินหลันย่นจมูก “ข้าว่าก็เพราะพวกเขาเห็นว่าเจ้าไม่อยู่ก็เลยจงใจลงมือเสียเลย คิดว่าข้าคงต่อกรได้ง่ายดายกระมัง แต่น่าเสียดายที่พวกเขามองพลาดไปเสียแล้ว”
หลี่หมิงอวินรีบดึงนางนั่งลง “เล่ามาเร็วเข้า สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างหรือ”
“จะเป็นอย่างไรได้อีกละ ไม่ตอบตกลงก็เป็นลูกอกตัญญู ในเมื่อพวกเขาหยิบยกความกตัญญูขึ้นมาหนักหนา ข้าก็เลยตาต่อตาฟันต่อฟัน ท้ายที่สุดข้าให้แม่มดชราเลือกเองว่าต้องการที่ดินชานเมืองหรือห้องแถว แล้วนางก็เลือกห้องแถวจริงๆ ด้วย ข้าเลยเอ่ยไปว่า ไว้นางนำโฉนดที่ดินมาแลกเปลี่ยนเมื่อใด เมื่อนั้นเจ้าก็จะไปจัดการเรื่องถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ครอบครองให้ เดาว่าพรุ่งนี้ท่านพ่อเจ้าก็คงเรียกหาเจ้าเช่นกัน”
หลี่หมิงอวินมองนางอย่างเป็นกังวล “เจ้า…มิได้แสดงออกอย่างโมโหหรอกใช่หรือไม่”
หลินหลันหัวเราะขึ้นมาเบาๆ “ได้ที่ไหนกันล่ะ! ขืนใส่อารมณ์กับพวกเขา มิเป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ ข้าไม่เก็บพวกเขามาเป็นอารมณ์ด้วยซ้ำไป”
หลี่หมิงอวินถอนหายใจอย่างโล่งอก กล่าวด้วยความรู้สึกละอายแก่ใจ “ทำให้เจ้าเสียความรู้สึกอีกแล้ว”
“หากตนเองรู้สึกเสียความรู้สึก นั่นถึงเป็นการเสียความรู้สึกจริงๆ ทว่าข้ากลับไม่รู้สึกเลยสักนิด เห็นพวกเขาค่อยๆ เดินเข้าสู่สถานการณ์ที่พวกเราจัดฉากไว้ทีละก้าว ข้ารู้สึกสุขใจเสียยิ่งกว่าอะไรดี” หลินหลันแสร้งเอ่ยด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ
หลี่หมิงอวินจรดจุมพิตลงไปที่ดวงหน้าน้อยๆ ของนาง “อดทนอีกหน่อยแล้วกัน! อีกไม่นานพวกเราก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าของใบหน้าน่ารังเกียจผู้นี้อีกแล้ว”
และก็เป็นไปดังที่คาดการณ์ไว้ วันรุ่งขึ้นแม่มดชราแจ้งให้หลินหลับทราบว่า ช่วยบอกหลี่หมิงอวินให้เลิกงานแต่หัววันหน่อย จะได้ไปดำเนินการให้เรียบร้อย
และเป็นวันนี้เองที่นายซุนผู้ดูแลห้องบัญชีมาขอลาออก เอ่ยว่ามารดาที่บ้านล้มป่วยอาการหนัก ภรรยาก็อยู่ในช่วงพักฟื้นหลังคลอดบุตร จึงปลีกตัวมาไม่ได้อีกแล้วจริงๆ
นายซุนแตกต่างจากข้ารับใช้คนอื่นๆ เขาเป็นคนที่รับสมัครเข้ามา ไม่ใช่คนที่ซื้อตัวเข้ามาในจวนหลี่ อีกทั้งคนเขาประสบปัญหาจริงๆ นางฮานต่อให้อยากรั้งก็รั้งไว้ไม่ได้ ทำได้เพียงอนุมัติตามคำขอของเขาและรับสมัครผู้ดูแลห้องบัญชีเข้ามาใหม่
เรื่องสร้างกิจการขึ้นมาใหม่ นางฮานได้รายงานต่อหญิงชราเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน หญิงชราเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะเมื่อใดที่นางคิดขึ้นมาว่าทั้งหมดภายในบ้านล้วนเป็นของที่นางเยี่ยทิ้งไว้ก็จะรู้สึกไม่สบายใจอยู่ร่ำไป
ช่วงบ่าย นางฮานไปที่ทำการขุนนางเพื่อดำเนินการถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ครอบครองด้วยตนเอง หลังจากนั้นจึงนำโฉนดที่ดินมอบให้แก่หลี่หมิงอวิน
เมื่อนางฮานได้รับโฉนดห้องแถวมาเป็นที่เรียบร้อย ในคืนเดียวกันนั้นก็ให้ผู้ดูแลจ้าวไปบอกกล่าวทางด้านโรงเย็บปักทันที ครั้งก่อนโรงเย็บปักอยากซื้อห้องแถว แต่เพราะถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ครอบครองไม่ได้จึงไม่สำเร็จ วันนี้ได้ยินว่าถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ได้แล้ว จึงเป็นธรรมดาที่จะรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง ทั้งคู่นัดพบปะกันในวันพรุ่งนี้เพื่อดำเนินการพร้อมชำระเงิน
ช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น ร้านค้าที่ตงจื๋อเหมินทยอยเปิดกันทีละร้าน หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ทางเดินเริ่มคึกคักมากยิ่งขึ้น เพียงแต่วันนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ หน้าทางเข้าร้านร้านหนึ่งรายล้อมไปด้วยฝูงชนกลุ่มใหญ่
“ทุกท่านล้วนรู้กันดีอยู่แล้วว่าเจ้าของห้องแถวสิบแปดห้องบนถนนสายนี้คือผู้ใด คือนางเยี่ยน้องสะใภ้ข้า นางใช้ชีวิตอย่างลำบากตรากตรำ และเป็นฮูหยินคนก่อนของใต้เท้าหลี่ ท่านราชเลขากรมคลังนั่นเอง นางซื้อไว้ให้บุตรชายของตนเอง พวกเขาตระกูลหลี่มีภูมิหลังอย่างไรน่ะหรือ ก็แค่คนจนๆ ที่ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน ยากจนแร้นแค้นแต่กำเนิด หากมิใช่ตระกูลเยี่ยของพวกเราสนับสนุนค้ำจุนหลี่จิ้งเสียน เขาจะมีวันนี้ได้หรือ ทรัพย์สินของตระกูลหลี่ส่วนใดบ้างที่มิได้สร้างขึ้นมาจากเงินของตระกูลเยี่ยเรา กระทั่งหลุมสุสานของผู้เป็นปู่ตระกูลหลี่ก็ยังเป็นเงินที่ตระกูลเยี่ยพวกเราจ่ายออกไป…เอาละ พอหลี่จิ้งเสียนมีหน้ามีตาขึ้นมาก็เริ่มไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ ใจร้ายใจดำต่อน้องสะใภ้ตระกูลข้า ความโกรธเคืองนี้ตระกูลเยี่ยพวกเราก็อดกลั้นไว้เช่นกัน ใครใช้ให้ฝ่ายเราเองตอนนั้นไม่ดูตาม้าตาเรือรับคนเจ้าชู้หลายใจประเภทนี้เข้ามาเสียได้ มันน่าเคียดแค้นเสียจริง และตอนนี้พวกเขายังนำทรัพย์สินที่นางเยี่ยทิ้งไว้ให้บุตรชายของนางไปครอบครองไว้เอง พี่น้องทั้งหลาย ทุกท่านลองชั่งน้ำหนักดู พวกเราในฐานะบิดามารดา แต่ไหนแต่ไรมามีแต่จะสร้างกิจการไว้ให้บุตรชายบุตรสาว หาได้เคยพบเห็นบิดาแท้ๆ มาฮุบเอาทรัพย์สมบัติของบุตรตนเองไปเสียดื้อๆ เป็นมนุษย์แท้ๆ เหตุใดถึงได้ไร้ยางอายเพียงนี้…” ผู้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนและเอ่ยขึ้นด้วยความเคียดแค้นก็คือนางฉี ฮูหยินรองแห่งตระกูลเยี่ยนั่นเอง
เดิมทีงานนี้นายท่านใหญ่ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของนางเยี่ยผู้ล่วงลับเตรียมลงมือด้วยตนเอง แต่ด้วยนางฉียังอยู่ในเมืองหลวงพอดีเลยบอกกล่าวภาระงานนี้ให้นางรับช่วงต่อ เรื่องโพนทะนากลางที่สาธารณะประเภทนี้ สตรีต้องมีความสามารถมากกว่าบุรุษอยู่แล้ว ถึงอย่างไรหลังจากนี้ไม่กี่วันนางก็ต้องกลับไปเฟิงอานแล้ว ไม่ว่าจะทำให้เอิกเกริกมากเพียงใด ด่ากราดหนักหน่วงไปอีกเท่าใดก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเป็นกังวล
ผู้ที่รายล้อมอยู่เริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์ นานมากแล้วที่ไม่ได้ยินเรื่องซุบซิบที่รุนแรงระเบิดระเบ้อเพียงนี้ อีกทั้งยังเกี่ยวกับคนร่ำรวย เกี่ยวกับตระกูลขุนนาง บรรดาชาวบ้านจึงเกิดความคับแค้นใจขึ้นมา ปกติแล้วไม่กล้าหืออือ ตอนนี้กลับมีคนตำหนิด่าทอท่านราชเลขากรมคลังท่ามกลางที่สาธารณะ แล้วจะไม่ให้คนเขาตื่นตาตื่นใจได้อย่างไรกัน ทันใดนั้นเริ่มมีคนเอ่ยเสริมขึ้นมา “นั่นสิ! ใต้หล้ามีพ่อแม่ประเภทนี้ที่ไหนกัน ช่างหน้าไม่อายเสียจริง…”
“หน้าไม่อายเกินไปแล้ว…”
นางฉีเอ่ยพลางปาดน้ำตา “หลานชายของข้าผู้นั้น ก็คือจอหงวนคนใหม่เมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้เป็นบัณฑิตแห่งฮ่านหลิน ถึงทุกคนจะเห็นว่าภายนอกเขาดูโดดเด่นสง่างาม แต่ในบ้านกลับต้องรองรับอารมณ์แม่เลี้ยงไม่รู้เท่าไหร่ เขาเป็นคนซื่อตรง ทั้งยังเป็นคนกตัญญูอย่างยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาจึงไม่เคยพูดถึงบิดามารดาในแง่ร้ายให้พวกเราฟังเลยสักนิด หากมิใช่นายท่านหญิงชราตระกูลข้าไม่วางใจ จึงส่งคนไปสืบถามทางด้านจวนหลี่ ก็คงไม่รู้เลยว่าหลานชายข้าผู้นั้นน่าสงสารปานนี้ แล้วยังเกือบถูกแม่เลี้ยงปล่อยงูพิษมากัดให้ตายอีก…ตอนนี้บิดาแท้ๆ และแม่เลี้ยงยังร่วมมือกันฮุบทรัพย์สินของเขา โธ่…หลานชายผู้มีชะตากรรมแสนลำบากของข้า…”
“ที่แท้ก็เป็นท่านบัณฑิตหลี่เองหรือ! ข้าได้ยินว่าเขาเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญต่อเพื่อนพ้องญาติมิตรอย่างยิ่งเชียวละ…”
“นั่นสิๆ! ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน ท่านบัณฑิตหลี่ไม่เพียงแต่มากความรู้ความสามารถ แต่ยังมีนิสัยใจคอซื่อสัตย์และอ่อนโยนอย่างยิ่งอีกด้วย”
“ข้ายังได้ยินมาว่าภรรยาของเขาเป็นหมอท่านหนึ่งที่ให้คนยากคนจนรับยาไปโดยไม่คิดเงินอยู่บ่อยครั้ง ทุกคนจึงพากันเรียกนางว่าพระโพธิสัตว์!”
“เฮ้อ! คนดีๆ มักถูกรังแกอยู่เรื่อย! ที่น่าสงสารที่สุดคือถูกพ่อแม่ของตนเองรังแก คนที่นิสัยดีงามประเภทท่านบัณฑิตหลี่ ต่อให้ถูกรังแกจนตายก็คงไม่ปริปากเอ่ยออกมา”
“นี่มันเกินไปแล้ว ท่านราชเลขาผู้นี้มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้มีคุณธรรมดีงานมาโดยตลอด ที่แท้ทุกคนล้วนถูกเขาหลอกเสียแล้ว”
“ที่น่ารังเกียจที่สุดคือแม่เลี้ยงผู้นั้น เป็นสตรีที่จิตใจไม่ต่างจากอสรพิษ ควรตกนรกไปสักสิบแปดชั้นให้รู้แล้วรู้รอด”
“…” ทุกคนเริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหู โดยมุ่งเป้าไปยังพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายและแม่เลี้ยง
ทันใดนั้นคนผู้หนึ่งก็เดินแหวกฝูงชนเข้ามาและดึงนางฉีออกไปจากวงล้อมฝูงชนด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
“หมิงอวิน เจ้าจะดึงข้าออกมาทำไมหรือ” นางฉีเกิดจากตระกูลผู้มีศิลปะการต่อสู้ จึงมีพละกำลังมาก ออกแรงสะบัดคราเดียวก็หลุดจากกันฉุดรั้งของหลี่หมิงอวินได้
“นี่มันท่านบัณฑิตหลี่นี่…” มีคนเอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ท่านป้าสะใภ้รองขอรับ ถือว่าหมิงอวินขอร้องท่านนะขอรับ มีอันใดไว้ค่อยกลับไปคุยกันนะขอรับ”
นางฉีจ้องเขาเขม็งด้วยความโกรธเกรี้ยว “เหตุใดต้องไว้กลับไปคุยด้วยหรือ พ่อแท้ๆ ของเจ้าปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงนี้ เจ้ายังจะช่วยเขาปกปิดอีกหรือ”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความร้อนใจ “เรื่องบางเรื่อง ท่านอาจยังไม่เข้าใจชัดเจนนะขอรับ…”
ตามมาด้วยคนอีกผู้หนึ่งที่แหวกวงล้อมเดินเข้ามา และกล่าวด้วยเสียงดังภายใต้สีหน้าดุดัน “หมิงอวิน เจ้าปล่อยป้าสะใภ้เจ้า เจ้าสนใจแต่ความรู้สึกของบิดา จนปล่อยให้ทรัพย์สินที่แม่เจ้าทิ้งไว้ให้ตกไปอยู่ในมือของคนพวกนั้น เจ้ายังเห็นแก่ท่านแม่ของเจ้าที่ลาจากโลกนี้ไปแล้วอยู่หรือไม่ เห็นแก่ท่านตาท่านยายที่รักและเอ็นดูเจ้าอยู่หรือไม่ ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ ทรัพย์สินเหล่านี้เป็นตระกูลเยี่ยที่พวกเราออกเงินทั้งหมด หากเป็นการเก็บไว้ให้ลูกหลานของตระกูลเยี่ยพวกเราไม่ขัดข้องอันใดอยู่แล้ว แต่หากให้คู่สามีภรรยาผู้ไร้ยางอายบีบบังคับเพื่อฮุบสิ่งที่น้องสาวผู้ล่วงลับของข้าสร้างเอาไว้ ตระกูลเยี่ยจะไม่ไหวหน้าใครทั้งนั้น”
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้ายิ่งกว่าความรู้สึกละอายแก่ใจ “ทั้งหมดเป็นความผิดของหมิงอวินเองขอรับ ขอท่านลุงและท่านป้าสะใภ้ได้โปรดกลับไปก่อนเถิดนะขอรับ เช่นนี้…มันน่าอับอายจริงๆ นะขอรับ”
“มีอันใดให้ต้องอับอายหรือ พวกเขาต่างหากที่หน้าไม่อาย ข้ายังรู้จักมียางอาย เป็นขุนนางแล้วอย่างไรหรือ ตำแหน่งขุนนางของเขานี้พูดตรงไปตรงมาหน่อยก็เป็นเงินที่ตระกูลเยี่ยช่วยผลักดันให้ทั้งนั้น ไอ้คนเนรคุณ…” เยี่ยเต๋อฮ๋วยก่นด่า
“นั่นน่ะสิ จะยอมให้พวกเขาเอาเปรียบมิได้เชียว…” มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากฝูงชน
“ท่านบัณฑิตหลี่ ท่านก็อย่าได้อ่อนข้อไปเลย” มีคนส่งเสียงตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่น้องทุกท่าน ข้าเยี่ยเต๋อฮ๋วยขอประกาศไว้ ณ ที่แห่งนี้ว่า หากผู้ใดกล้าแตะต้องทรัพย์สินของตระกูลเยี่ยเรา ข้าจะไม่ยอมปล่อยคนผู้นั้นไปโดยง่ายแน่นอน” เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวด้วยเสียงตะโกนเกรี้ยวกราด
สถานการณ์ทางด้านนี้ คนของโรงเย็บปักถักร้อยฝั่งตรงข้ามได้เห็นเหตุการณ์ชัดเจน สตรีผู้ทำหน้าที่เย็บปักถักร้อยท่านหนึ่งจึงกล่าวขึ้น “ผู้ดูแลเหยา ใกล้ถึงเวลาที่หลี่ฮูหยินนัดหมายไว้แล้วนะเจ้าคะ”
สตรีผู้ถูกเรียกว่าผู้ดูแลส่ายหน้าทันที “เจ้าไปบอกหลี่ฮูหยินว่าทางเราขอระงับเรื่องซื้อห้องแถวนี่เป็นการชั่วคราว ให้นางจัดการความขัดแย้งภายในบ้านให้เรียบร้อยเสียก่อน มิเช่นนั้น พวกเรามิกล้าซื้อหรอก”
หลี่หมิงอวินเกลี้ยกล่อมอยู่เนิ่นนาน ไม่ง่ายเลยกว่าจะพาผู้เป็นลุงและป้าสะใภ้รองออกมาจากสถานที่ตรงนั้นได้
ในวันเดียวกันนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนถนนสายตงจื๋อเหมินก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ที่สำคัญก็คือ ผู้เผยแพร่สารทุกคนต่างจงใจใส่ไฟเข้าไปอีกไม่น้อย ข่าวที่แพร่สะพัดออกไปจึงชวนตกตะลึงด้วยคำบอกเล่าที่ว่าพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายและแม่มดชรามีพฤติกรรมที่ชั่วร้ายอย่างยิ่ง ส่วนหลี่หมิงอวินด้วยความเห็นอกเห็นใจทุกคนเสียเหลือเกิน บุรุษรูปงามมากความสามารถ บุรุษผู้แสนดีที่เห็นความสัมพันธ์สำคัญกว่าเงินทอง ลูกผู้กตัญญูที่ยินยอมรับความอยุติธรรมจากบิดามารดาโดยไม่ปริปากออกมาสักคำ แล้วไยจะไม่ถูกคนเขาเห็นอกเห็นใจและได้รับความเลื่อมใสจากผู้คนไปได้อีก ในขณะเดียวกัน เรื่องที่หลินหลันมีจิตใจเมตตาจ่ายยาให้คนยากคนจนโดยไม่คิดเงินก็ถูกแพร่สะพัดออกไปด้วยเช่นกัน ซึ่งในวันเดียวกันนั้น ธรณีประตูร้านยาเกือบถูกคนที่แห่เข้ามาเหยียบจนแทบพัง
ยิ่งไปกว่านั้นคือบรรดาขุนนางที่รู้สึกตื่นเต้นนัก ขนาดว่าต้องการฟ้องร้องหลี่จิ้งเสียนในค่ำคืนนี้เสียเลย