ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 190 ถกเถียง
สองพี่น้องพากันออกไปดื่มสุรา นางฮานไม่พอใจต่อการกระทำนี้อย่างยิ่งจึงบ่นโอดครวญ “ข้าอุตส่าห์ให้ทางห้องครัวทำอาหารไว้ดิบดีเต็มโต๊ะ เดิมอยากให้คนในครอบครัวมาแสดงความยินดีกันสักหน่อย เขากลับสนใจเพียงออกไปหาความสำราญใจกับน้องชายเสียได้”
หลินหลันนึกตำหนิอยู่ภายในใจ แต่ใบหน้ากลับแต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้ม นั่นเป็นเพราะบุตรชายเจ้าฉลาดพออย่างไรล่ะ รู้ว่าคบค้าสมาคมกับหมิงอวินไม่มีส่วนใดแย่ ไม่เหมือนแม่มดชราอย่างเจ้า มีตาหามีแววไม่ ภายในจิตใจเต็มไปด้วยเรื่องชั่วร้าย รู้จักแต่จะจ้องเล่นงานคนอื่นเขา
หลี่จิ้งเสียนหัวเราะร่าแล้วเอ่ยขึ้น “เดิมทีพี่น้องก็ควรสนิทสนมกันไว้ให้มากๆ ดังคำกล่าวที่ว่าพ่อลูกและพี่น้องเท่านั้นที่ยอมสละชีวิตช่วยเหลือกันในยามวิกฤต ภายภาคหน้าจะได้สนับสนุนและช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน”
หญิงชราเห็นด้วยอย่างยิ่ง “หมิงเจ๋อและหมิงอวินเทียบไม่ได้กับพี่น้องที่เติบโตมาพร้อมกันตั้งแต่เล็ก จึงเลี่ยงมิได้ที่จะไม่ค่อยสนิทสนมกันนัก ควรทำความสนิทสนมกันให้มากๆ เข้าไว้”
หลั้วเหยียนกล่าว “หมิงเจ๋อเอ่ยว่าครั้งนี้ได้ความช่วยเหลือจากน้องรองไว้ไม่น้อย จึงต้องขอบคุณเขาให้มากๆ หน่อยเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของนางฮานเลือนหายไปจนหมด ภายในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง ทั้งยังโมโหหมิงเจ๋อที่ไม่ได้เรื่องได้ราวเอาเสียเลย คนเขาสร้างบุญคุณให้เล็กๆ น้อยๆ ก็เห็นเป็นพี่น้องแท้ๆ ไปเสียแล้ว ถูกคนเขาหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัว แต่ดันคิดว่าคนเขากำลังช่วยเหลือตนเองจึงรู้สึกขอบคุณเสียมากมายไปเสียได้
หลี่จิ้งเสียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “หมิงเจ๋อก้าวหน้าไปไม่น้อยทีเดียวเชียว!”
หญิงชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม “หมิงรุ่ย บุตรชายคนรองของน้องสามเจ้าก็รู้จักร่ำเรียนหนังสือกับเขาเช่นกัน จิ้งเสียน เจ้าลองดูสิว่าพอจะรับหมิงรุ่ยเข้าเมืองหลวงแล้วชี้แนะให้เขาหน่อยได้หรือไม่”
หลี่จิ้งเสียนขานรับด้วยความยินดี “ไว้หลังฉลองวันคล้ายวันเกิดพี่ใหญ่แล้ว ค่อยให้เขามาแล้วกันขอรับ!”
หลังรับประทานมื้อค่ำเป็นที่เรียบร้อย แม่มดชราและพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเรียกหลินหลันไปโถงหนิงเฮ๋อเป็นการพิเศษ
หลินหลันแสยะยิ้ม นี่แม่มดชราคงต้องการหงายไพ่ประลองแล้วสินะ! ยอดเยี่ยม นางเตรียมสงครามไว้เนิ่นนานแล้ว ภายในใจกำลังคันคะเยออยู่พอดีเชียว!
คนอื่นๆ ซ้ายขวาทยอยออกไปจนหมด ภายในห้องจึงหลงเหลือเพียงพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายและแม่มดชรา หลินหลันนั่งอย่างเงียบสงบ มองดูว่าสุนัขในปากของพวกเขาจะพ่นอะไรออกมา
นางฮานและหลี่จิ้งเสียนส่งสายตาแลกเปลี่ยนกันอยู่ชั่วขณะก่อนนางฮานจะตัดสินใจเริ่มเปิดฉาก
“หลินหลัน เรื่องนั้น หมิงอวินคงได้ปรึกษาหารือกับเจ้าแล้วกระมัง” นางฮานพยายามทำให้น้ำเสียงของตนเองราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลินหลันกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ปรึกษาหารือกันแล้วเจ้าค่ะ”
นางฮานยิ้มเล็กยิ้มน้อย “เช่นนั้นพวกเจ้าว่าอย่างไรหรือ”
หลินหลันนิ่งเงียบชั่วครู่ นางลุกขึ้นโยนแล้วย่อเข่าคารวะ “โปรดอภัยที่ลูกต้องกล่าวตามตรงด้วยเจ้าค่ะ”
นางฮานชักสีหน้าเคร่งขรึม หลี่จิ้งเสียนที่กำลังถือฝาถ้วยน้ำชาและเป่าลมลงบนผิวน้ำเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “เจ้าพูดมาตามตรงเถอะ มิเป็นไร”
หลินหลันจึงกล่าวเนิบๆ “ความนึกคิดของท่านพ่อ ลูกกับหมิงอวินล้วนเข้าใจได้เจ้าค่ะ ในเมื่อท่านพ่อมิได้มีหมิงอวินเป็นบุตรชายแต่เพียงผู้เดียว สำหรับท่านพ่อ ไม่ว่าจะเป็นลูกคนไหนก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งนั้น จึงคาดหวังว่าบุตรชายบุตรสาวจะมีหลักประกันสักอย่างไว้ในภายภาคหน้า”
หลี่จิ้งเสียนพยักหน้าอย่างอ่อนโยน ประโยคนี้หลินหลันพูดได้ตรงเผง
“ทว่า…หากทรัพย์สินเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านพ่อให้หมิงอวินไว้ ยามนี้ท่านพ่อต้องการนำกลับคืนเพื่อไปจัดสรรปันส่วนใหม่ แน่นอนว่าลูกและหมิงอวินย่อมไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ แม้แต่น้อย เพียงแต่ท่านพ่อเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์สุจริต ทั่วทั้งราชสำนักต่างชื่นชม จะไปมีเงินทองเหลือเฟือนำไปสร้างกิจการได้อย่างไรกัน ทรัพย์สินเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่ท่านแม่ผู้ล่วงลับของหมิงอวินทิ้งไว้ให้หมิงอวิน เป็นสิ่งที่แสดงถึงความรักทะนุถนอมและการปกป้องอย่างหนึ่งของแม่ที่มีต่อลูกชาย…” หลินหลันกล่าวต่อไป
นางฮานเอ่ยแทรกหลินหลันด้วยความรำคาญใจ “จากที่เจ้ากล่าวมา หมายความว่าไม่ยินยอมสินะ?”
หลี่จิ้งเสียนหน้าเสียเล็กน้อยเช่นกัน
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “ต่อให้ไม่ยินยอม แต่ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์อย่างเราๆ นี่เจ้าคะ!”
นางฮานหัวเราะเยาะขึ้นมาเบาๆ “ที่เจ้าพูดนี่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว แม่ของหมิงอวินในเมื่อแต่งเข้าตระกูลหลี่มาแล้ว เงินทองของนางก็คือเงินทองของตระกูลหลี่ ทรัพย์สินที่นางสร้างขึ้นจึงเป็นทรัพย์สินของตระกูลหลี่ ไม่ว่าจะจดในนามของผู้ใดล้วนเปลี่ยนความจริงนี้ไปมิได้”
ช่างไร้ยางอายเกินไปแล้ว มิน่าล่ะ วันนั้นหมิงอวินถึงได้อารมณ์เสีย การพูดคุยกับคนไร้ยางอายประเภทนี้ หากไม่มีจิตใจที่แข็งแกร่งพอคงเป็นอันอดกลั้นไม่อยู่จริงๆ
“อีกอย่าง หมิงอวินเขาครอบครองทรัพย์สินจำนวนมากเหล่านี้อยู่คนเดียว และปล่อยให้บรรดาพี่ๆ น้องๆ ไม่มีอันจะกิน นี่มันไร้น้ำใจเกินไปหรือไม่…” นางฮานเอ่ยเชิงถากถาง
มุมริมฝีปากของหลินหลันยกขึ้นเล็กน้อย นางกล่าวออกไปอย่างใจเย็น “ใช่หรือเจ้าคะ หมิงอวินของพวกเราไร้น้ำใจเสียเหลือเกินหรอกหรือเจ้าคะ ทั้งๆ ที่เอาแต่นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกและความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องอยู่เสมอๆ ในเมื่อท่านพ่อเอ่ยปากมาแล้ว อย่าว่าแต่ทรัพย์สินเล็กๆ น้อยๆ เลยเจ้าค่ะ ต่อให้ขูดเลือดขูดเนื้อก็ต้องยินยอมตอบตกลงมิใช่หรือเจ้าคะ” หลินหลันเอ่ยพลางเบนสายตาไปมองพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายที่ด้านข้างเล็กน้อย
หลี่จิ้งเสียนถึงกับรู้สึกกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก เขากระแอมเบาๆ สองครั้ง และก้มหน้าก้มตาแสร้งทำทีดื่มน้ำชาต่อไป
นางฮานโล่งใจเป็นปลิดทิ้ง เปลี่ยนมาพูดจาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าก็ว่าหมิงอวินมิใช่คนประเภทเห็นแก่ตัว ทุกวันนี้ในบ้านก็นับว่าหมิงอวินโดดเด่นมากที่สุด เป็นไปได้ว่าภายภาคหน้าก็คงจะเป็นใหญ่เป็นโต ตระกูลหลี่ก็คงต้องพึ่งพิงเขาเป็นหน้าเป็นตาด้วยเช่นกัน”
หลี่จิ้งเสียนเอ่ยขึ้นบ้าง “หมิงอวินเข้าใจและเห็นใจความยากลำบากของบิดามารดา ทั้งยังรู้จักเป็นห่วงเป็นใยพี่น้องเช่นนี้ พ่อรู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก วางใจเถอะ พอรู้อยู่แก่ใจ มิทำให้หมิงอวินเสียเปรียบไปได้แน่นอน”
หลินหลันนึกตำหนิ ทั้งคำพูดที่ดีและไม่ดีล้วนพูดให้พวกเจ้าสดับรับฟังไปหมดแล้วแท้ๆ คนพวกนี้ช่างชวนให้รู้สึกสะอิดสะเอียนเสียจริง
หลินหลันเผยรอยยิ้มเลือนราง “ทว่า ถึงอย่างไรทรัพย์สินเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ท่านแม่ของหมิงอวินเขาทิ้งไว้ให้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเหลือสักส่วนไว้เป็นที่ระลึก คงให้ขายออกไปทั้งหมดมิได้หรอกเจ้าค่ะ มิเช่นนั้น เกรงว่าวิญญาณท่านแม่ของหมิงอวินรู้เข้า คงได้โกรธเคืองจนอยากฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งกระมังเจ้าคะ ความหมายของลูกและหมิงอวินคือ ไม่ที่ดินชานเมืองก็ห้องแถวร้านค้า มอบให้พวกเราเป็นคนจัดการดูแลกันเองตอนนี้เลย ส่วนที่เหลือท่านพ่อและท่านแม่ก็จัดสรรปันส่วนได้ตามสบายเจ้าค่ะ”
“อะไรกัน ส่งมอบให้พวกเจ้าตอนนี้เลยหรือ เจ้ามิได้จะแยกครอบครัวออกไปเสียหน่อย มิได้ๆ นี่มันไม่เหมาะสม” นางฮานคัดค้านทันควัน
“แน่นอนว่ามิได้แยกครอบครัวไปไหนหรอกเจ้าค่ะ หากเอ่ยถึงเรื่องแยกครอบครัว ก็คงทำได้แค่แบ่งเรือนในบ้านหลังนี้เท่านั้น ตอนนี้ที่จะแบ่งคือทรัพย์สินของหมิงอวินต่างหากเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
นางฮานถึงกับหน้าเจื่อน “แล้วนี่จะพูดได้อย่างไรว่าเป็นการที่หมิงอวินแบ่งทรัพย์สินให้ ทรัพย์สินเหล่านั้นก็แค่อยู่ในนามของหมิงอวินเป็นการชั่วคราวเท่านั้น”
“ใช่หรือเจ้าคะ ตามกฎหมายราชวงศ์เรา ทรัพย์สินอยู่ภายใต้ชื่อผู้ใดถือว่าเป็นของของผู้นั้น ท่านพ่อ ลูกจำผิดไปหรือเปล่าเจ้าคะ” หลินหลันเอ่ยถามพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
หลี่จิ้งเสียนปรับอิริยาบถท่านั่ง ส่งเสียงกระแอมและเอ่ยอย่างจนปัญญา “ตามกฎหมาย เป็นดั่งที่เจ้าว่า”
หลินหลันเผยรอยยิ้มขณะมองแม่มดชราและกล่าวอย่างอ่อนหวาน “หากวันนี้ ท่านแม่อาศัยทรัพย์สมบัติของครอบครัวมารดา อาศัยน้ำพักน้ำแรงของตนเองหาเงินทองมาสร้างกิจการให้พี่ใหญ่ ลูกและหมิงอวินจะไม่มีความนึกคิดขอมีส่วนแบ่งใดๆ ด้วยเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”
นางฮานหน้าดำคร่ำเครียด กล่าวอย่างหงุดหงิด “นี่เจ้าหมายความว่าอันใด เจ้ากำลังถากถางผู้อาวุโสอยู่ใช่หรือไม่”
หลินหลันกล่าวอย่างใจเย็น “เหตุใดท่านแม่ต้องใส่อารมณ์ด้วยเจ้าคะ ลูกก็แค่ยกตัวอย่างเท่านั้นเอง ท่านพ่อต้องการให้หมิงอวินดูแลเอาใจใส่พี่ๆ น้องๆ หมิงอวินก็เลยจะแบ่งทรัพย์สินออกมาให้ครึ่งหนึ่ง น้ำใจนี้มิได้มีกันทุกคน จริงหรือไม่เจ้าคะ ท่านแม่”
นางฮานกล่าว “หลังสร้างกิจการขึ้นมาใหม่แล้ว ข้าเหลือไว้ให้เขาครึ่งหนึ่งก็ได้ มีอันใดต่างกันหรือ”
หลินหลันหัวเราะขึ้นมาเบาๆ “นี่มันต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยเจ้าค่ะ หากตอนนี้หมิงอวินยินยอมแบ่งทรัพย์สินให้พี่ๆ น้องๆ ครึ่งหนึ่ง นั่นเป็นน้ำใจของหมิงอวิน หากสร้างกิจการขึ้นมาใหม่แล้ว ผ่านน้ำมือของท่านแม่ นั่งก็จะกลายเป็นบุญคุณที่ท่านแม่ให้พวกเรา เช่นนี้มันเหมือนกันหรือเจ้าคะ อีกอย่าง ทรัพย์สินในตอนนี้เป็นของที่ท่านแม่หมิงอวินทิ้งไว้ให้เขา ว่ากันตามหลักการแล้ว ตระกูลหลี่ก็มิได้มีทรัพย์สินจากต้นตระกูลอันใด กระทั่งบ้านหลังใหญ่ที่บ้านเกิดและผืนนาก็เป็นเงินที่ท่านแม่ของหมิงอวินสร้างขึ้นมาให้ สิ่งเหล่านี้คงพอนับได้ว่าเป็นกิจการของบรรพบุรุษได้กระมัง! มีเพียงบุตรอกตัญญูเท่านั้นที่จะขายทรัพย์สินที่มารดาทิ้งไว้ให้ ท่านแม่ ท่านให้ท่านพ่อลืมภรรยาคนก่อนได้ แต่จะให้บุตรลืมมารดาของตนเองและบีบบังคับให้หมิงอวินเป็นลูกอกตัญญูมิได้หรอกนะเจ้าคะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดของหลินหลัน หลี่จิ้งเสียนถึงกับน้ำท่วมปาก ความละอายแก่ใจนั่นปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
นางฮานจ้องหลินหลัน หายใจหอบ ช่างปากคอเราะรายเสียจริงนะ
“หากท่านแม่ไม่ยินยอมต่อประเด็นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็จนปัญญาเช่นกันเจ้าค่ะ แม้ว่าท่านเป็นแม่เลี้ยงของหมิงอวิน หมิงอวินก็ควรให้ความกตัญญูต่อท่าน ทว่าถึงอย่างไรคนที่หมิงอวินควรให้ความกตัญญูเป็นอันดับแรกก็คือมารดาแท้ๆ ของตนเอง หากกระทั่งมารดาแท้ๆ ของตนเองยังอกตัญญูได้ แล้วไยต้องกตัญญูต่อแม่เลี้ยงอย่างท่านด้วยล่ะเจ้าคะ” หลินหลันกล่าวเชิงก้าวร้าว
ท่าทีเด็ดขาดของหลินหลันส่งผลให้นางฮานถึงกับกัดฟันแน่นด้วยความเคียดแค้น คาดไม่ถึงว่าหลินหลันจะอาศัยคำว่ากตัญญูมาดื้อดึงให้เหลือทรัพย์สิ้นไว้ครึ่งหนึ่ง ทำให้ผิดแผนของนางที่วางไว้
หลี่จิ้งเสียนคิดว่าขอเรียกร้องของหมิงอวินเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลเช่นกัน ถึงอย่างไรเขาก็ยอมให้ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งแล้ว หากบีบบังคับหนักเกินไป เกรงว่าจะเกิดเป็นคำครหาเอาได้ หลี่จิ้งเสียนทอดถอนใจกล่าว “นี่ก็เป็นความกตัญญูอย่างหนึ่งของหมิงอวินเขา ก็เอาตามความประสงค์ของพวกเจ้าแล้วกัน! จะที่ดินชานเมืองหรือห้องแถว พวกเจ้าเลือกเองแล้วกัน”
นางฮานมองผู้เป็นสามีอย่างตกตะลึง เหตุใดผู้เป็นสามีถึงยินยอมง่ายดายเพียงนี้ไปเสียได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ นางยังพูดอะไรได้อีกหรือ เอาเถอะๆ ครึ่งหนึ่งก็ครึ่งหนึ่ง! ทว่าห้องแถวสิบแปดห้องในตอนนี้อย่างน้อยๆ ก็มีมูลค่าถึงหนึ่งล้านห้าแสนตำลึงเงิน พื้นที่ไร่สวนที่ชานเมืองหลวงถึงจะราคาสูงกว่าหน่อยแต่แบ่งขายไม่ได้ เพียงชั่วเวลาอันสั้นก็คงหาผู้ซื้อรายใหญ่ไม่ได้ ไม่ง่ายต่อการเปลี่ยนถ่ายมือออกไป…เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ ห้องแถวคงจะดีเสียกว่า นางฮานมองดูหลินหลันด้วยความกังวล ครุ่นคิดอยู่ภายในใจ หากหลินหลันต้องการเลือกห้องแถวแล้วนางจะทำอย่างไร
หลินหลันมองแม่มดชราเช่นกัน “หมิงอวินเอ่ยว่า เขาเหลือไว้สักส่วนก็ดีแล้วเจ้าค่ะ จะที่ดินหรือห้องแถวก็ได้ทั้งนั้น ให้ท่านแม่เป็นคนตัดสินใจแล้วกันจ้าค่ะ!”
นางฮานแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ที่ดินแม้ว่าจะจัดการดูแลค่อนข้างยุ่งยากหน่อย แต่กลับมีมูลค่าสูงยิ่งกว่าห้องแถว ทุกวันนี้ที่ดินชานเมืองหลวงนับวันมีแต่จะราคาสูงขึ้นทุกปี พวกเจ้าก็เก็บที่ดินเอาไว้แล้วกัน!”
และแล้วก็เป็นดั่งที่หลินหลันคาดการณ์ไว้ ยามนี้แม่มดชราคำนึงถึงความสะดวกสบายในการเปลี่ยนถ่ายมือออกไปเท่านั้น คาดว่ายอมละทิ้งที่ดินไร่สวนก็คงเจ็บปวดใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน หลินหลันเผยรอยยิ้มบางๆ “ได้เจ้าค่ะ เพียงแต่มีอีกเรื่องที่ต้องบอกกล่าวไว้ให้ชัดเจนเจ้าค่ะ ห้องแถวสิบแปดห้องหลังจากนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับหมิงอวินอีก ซึ่งแน่นอนว่าที่ดินไร่สวนแถบชานเมืองหลวงหลังจากนี้ก็จะเป็นของของหมิงอวินโดยไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดทั้งสิ้นเช่นกันเจ้าค่ะ”
สามีภรรยาหน้าหนาไร้ยางอายคู่นี้ ทำเรื่องไร้ยางอายออกมาได้ทั้งนั้น แน่นอนว่าหมิงอวินจะไม่ให้โอกาสพวกเขาอีกครั้ง ที่นางเอ่ยเช่นนี้ก็แค่กรีดหนังหน้าหนาๆ ของพวกเขาเป็นการตักเตือนว่าอย่าได้มาขอนู่นนี่อะไรต่อหมิงอวินอีก ทำให้พวกเขารู้ว่านางและหมิงอวินไม่ยอมให้รังแกได้โดยง่ายเช่นกัน
นางฮานโกรธเกรี้ยวจนตัวสั่น หลี่จิ้งเสียนหน้าดำคร่ำเครียดเช่นกัน เขาพูดมาโดยตลอดว่าหลินหลันเป็นคนมีความสามารถ แต่นั่นล้วนเป็นแค่การพูดพร่ำไปเท่านั้น วันนี้กลับได้ประสบพบเจอเข้าแล้วจริงๆ
“ท่านแม่นำโฉนดที่ดินมาให้ลูกเมื่อใด หมิงอวินก็จะไปที่ทำการขุนนางเพื่อถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ให้เมื่อนั้นเจ้าค่ะ” หลินหลันเผยยิ้มพลางโค้งลำตัวลงเบื้องหน้าเล็กน้อย “หากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ลูกขอตัวลาก่อนนะเจ้าคะ”
หลินหลันยืดตัวตรงและค่อยๆ เดินออกไปจากโถงหนิงเฮ๋ออย่างเชื่องช้า มุมปากปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ยเด่นชัด ทำอันใดไว้ก็ต้องได้รับสิ่งนั้นกลับคืน ต่อกรกับคนปลิ้นปล้อนหลอกลวง วิธีที่ดีที่สุดก็คือการตอบโต้กลับในแบบเดียวกัน แม่มดชรา ตอนนี้จะปล่อยให้เจ้าสมใจไปอีกสักระยะ และปล่อยให้พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายทำตัวเป็นผู้สง่าน่าเกรงขามอีกหน่อย อีกไม่ช้ากรรมจะมาตามสนอง
นางฮานและหลี่จิ้งเสียนต่างตกอยู่ในภวังค์เงียบงัน เนิ่นนานพอตัว นางฮานถึงเอ่ยปากขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว “หลินหลันผู้นี้ ไม่เห็นผู้อาวุโสอยู่ในสายตาชัดๆ”
หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยความอึดอัดใจ “พอได้แล้ว เสียเปรียบเขาก็ช่วยพูดจาให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!” เขาลุกขึ้นทันทีที่เอ่ยจบ สะบัดชายแขนเสื้อและเดินจากไป แม้บรรลุเป้าหมายแล้ว ทว่าภายในใจกลับไม่รู้สึกสุขสมเอาเสียเลย