ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 185 เยี่ยซินเอ๋อร์ออกเรือน
ยามที่หลินหลันและหลี่หมิงอวินกลับมาถึง สถานการณ์วุ่นวายดำเนินมาใกล้ตอนจบเสียแล้ว
ภายในห้องครัว จิ่นซิ่วกำลังพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเรือนจุ้ยจิ่นเสวียนอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนก่อนจะปิดท้ายด้วยความรู้สึกเสียดายของจิ่นซิ่ว “น่าเสียดายที่วันนี้เอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับมาช้า เลยไม่ทันชมละครสนุกๆ”
กุ้ยซ่าวที่กำลังล้างถ้วยชามเอ่ยด้วยความเห็นที่แตกต่าง “เรื่องแย่ๆ ประเภทนี้ผู้ใดเขาอยากไปดู หากเอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายอยู่บ้านก็คงทำเพียงยืนชมอยู่ด้านข้างเท่านั้นกระมัง! ดีไม่ดีคนเขาจะกล่าวว่าเหตุใดถึงเอาแต่ยืนดูเฉยๆ แต่ด้วยสถานการณ์อันยากเกินคาดเดาเพียงนั้น จะให้ไปเกลี้ยกล่อม คุกเข่าอ้อนวอนเพื่อคนเช่นนั้น มิสู้หลบหลีกไปอยู่ให้ห่างเข้าไว้เสียดีกว่า”
หรูอี้ตอบ “จริงอย่างที่กุ้ยซ่าวว่าเจ้าค่ะ การที่เหล่าเหยียทะเลาะกับฮูหยินขึ้นมา แน่นอนว่าเอ้อร์เส้าเหยียคงจำเป็นต้องเข้าไปเกลี้ยกล่อมด้วย ดีไม่ดีอาจถูกเตะเข้าไปที่หน้าอกอย่างที่ต้าเส้าเหยียโดนด้วย คุ้มค่าที่ไหนกัน!”
จิ่นซิ่วครุ่นคิดตาม “ก็จริงอย่างที่ว่าแฮะ! ตอนนั้นต้าเส้าเหยียน่าเวทนาเสียยิ่งกระไร ถูกนายท่านเตะเข้าไปหนึ่งที พอพยุงตัวขึ้นมาแล้วยังจะเกลี้ยกล่อมต่อไปอีก จุ๊ๆ พวกเราเห็นแล้วยังใจสั่นเลย”
อวิ๋นอิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “จริงหรือที่เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะเรียกฮูหยินว่า…ท่านแม่”
จิ่นซิ่วเบิกดวงตากว้าง “ก็จริงน่ะสิ! คนจำนวนมากล้วนได้ยินทั้งนั้น ทว่าต่อมาแม่เจียงก็ออกมาแก้สถานการณ์ ทว่าข้าฟังแล้วกลับรู้สึกประหลาดชอบกล”
อวิ๋นอิงนำเก้าอี้ตัวเตี้ยเขยิบเข้ามาด้านข้างจิ่นซิ่ว “ประหลาดอย่างไรหรือ”
ดวงตาทั้งสองของจิ่นซิ่วมองไปบนคานห้อง “บอกไม่ถูก ก็แค่รู้สึกว่าคำพูดของแม่เจียงในตอนนั้นมันมีความตื่นตระหนกปะปนอยู่ด้วยอย่างน่าประหลาด”
แม่โจวเดินเข้ามาแล้วหยิบช้อนเคาะเตาปรุงอาหาร กล่าวอบรมด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “แต่ละคนคงว่างมากสินะ! ถึงได้มัวคุยกันอยู่ที่นี่ ปกติข้ากำชับพวกเจ้าไว้ว่าอย่างไรจำได้หรือไม่ เรื่องราวภายในบ้านพูดคุยกันให้มันน้อยๆ หน่อย ระวังหายนะจะเกิดเพราะปากตนเองเถิด”
อวิ๋นอิงและจิ่นซิวรีบก้มหน้าก้มตาหั่นผักต่อไปทันที
หรูอี้กล่าว “ข้าไปดูหน่อยแล้วกันว่าเอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้วหรือไม่”
แม่โจวตะโกนเรียกนางไว้ “เดี๋ยวก่อน ให้จิ่นซิ่วไปเถอะ! วันนี้เจ้าสลับกับจิ่นซิ่วสักวันแล้วกัน”
ผู้คนอดหัวเราะขึ้นไม่ได้ แม่โจวจึงกล่าวด้วยสีหน้าดุดัน “หัวเราะอะไรกัน เกิดเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ เอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายก็ควรรับรู้ด้วยถึงจะถูก ซึ่งในนี้ก็มีเพียงจิ่นซิ่วที่รู้ชัดกระจ่างแจ้งเพียงผู้เดียว หรือว่าพวกเจ้าจะไปเองล่ะ”
จิ่นซิ่วตอบรับคำสั่งการด้วยความยินดี “พี่หรูอี้ เช่นนั้นส่วนที่เหลือคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
หมิงจูถูกโบยได้แต่นอนซมอยู่บนเตียงไปหลายวัน เรื่องกลับบ้านเกิดจึงพักไว้เป็นการชั่วคราว
นางฮานไตร่ตรองดูแล้วว่าเรื่องทางด้านซานซีนั้นหากแก้ไขไม่ได้ก็คงต้องพึ่งพาผู้เป็นสามี จึงไม่ควรแข็งข้อต่อเขาจนเกินไป นางหาโอกาสบรรเทาความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยาอยู่หลายครั้ง ทว่าผู้เป็นสามีกลับไม่สนใจนางทุกครั้งไป หลังรับประทานอาหารเรียบร้อยหากไม่ไปห้องหนังสือก็จะไปอยู่กับอนุภรรยาสองคนนั้นโดยไม่แยแสระเบียบปฏิบัติที่นางฮานกำหนดไว้สำหรับสลับหมุนเวียนไปให้อนุภรรยาปรนนิบัติ และมักจะไม่สนใจไยดีนางฮานอยู่เสมอ
บัตรเชิญที่ส่งไปให้ทางหวงฮูหยินหลายต่อหลายครั้งนั่น ตอนแรกหวงฮูหยินล้วนอาศัยกล่าวว่าตนเองล้มป่วย ต่อมาภายหลังจึงบอกว่าไปพักผ่อนที่บ้านชานเมืองแล้ว เสมือนตั้งใจหลบหลีกหนีหน้า
นางฮานให้นายซุนไปสืบเสาะข่าวคราวของหนิงหวังซุน ก็ได้ยินว่าหนิงหวังซุนออกจากเมืองหลวงไปเสียแล้วซึ่งไม่รู้เช่นกันว่าไปแห่งหนใด!
เมื่อนำเบาะแสนานาประการเชื่อมโยงกัน นางฮานจะไม่เชื่อก็คงต้องเชื่อ เรื่องทางด้านภูเขาเหมืองคงเป็นความจริงอย่างแน่แท้ ศึกภายนอกและศึกภายในครานี้ทำให้จิตใจของนางฮานไม่เป็นสุข นึกหวาดหวั่นใจอยู่ตลอดเวลา ไม่กี่วันต่อมาสีหน้าของนางถึงกับซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด
หลินหลันและหลี่หมิงอวินยังคงดำรงชีวิตไปอย่างปกติเช่นเคย มีหน้าที่ไปว่าราชกิจก็ไป มีหน้าที่ไปร้านยาก็ไป ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอันใดทั้งสิ้น
เพียงชั่วพริบตาเดือนห้าวันที่หกซึ่งเป็นวันที่เยี่ยซินเอ๋อร์ต้องออกเรือนก็มาถึง
หลินหลันให้แม่โจวช่วยตระเตรียมของขวัญไว้ให้แต่เนิ่นๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยเห็นแก่หน้าของท่านลุงและท่านป้าสะใภ้ใหญ่ หลินหลันจึงยอมขูดเลือดขูดเนื้อมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ด้วยความเต็มใจ
ด้วยท่านอารองยุ่งวุ่นวายกับกิจการค้าขายจนไม่อาจปลีกตัวมาได้ จึงมีอาสะใภ้รองพร้อมด้วยเยี่ยเคอเอ๋อร์มาจากเฟิงอานเพื่อร่วมพิธีงานมงคลสมรส
นานมากแล้วที่หลินหลันไม่ได้พบเจอนางฉี อาสะใภ้รอง ในตอนแรกหลินหลันกับหลี่หมิงอวินยังเป็นเพียงคู่แต่งงานจอมปลอมจึงไม่เห็นนางฉีเป็นญาติสนิทอย่างแท้จริง คิดเพียงว่านางฉีเป็นผู้ที่ร่าเริงและให้ความเป็นกันเอง สร้างความประทับใจแก่นางไม่น้อย ตอนนี้จากเรื่องราวจอมปลอมกลายเป็นความจริง กลายเป็นภรรยาของหมิงอวินโดยแท้จริง ความรู้สึกนี้จึงแตกต่างออกไป โดยเห็นนางฉีเป็นญาติที่สนิทสนมเป็นพิเศษผู้หนึ่ง
นางฉีดึงมือหลินหลันไว้แล้วมองอย่างสำรวจ “จุ๊ๆ สมกับคำกล่าวที่ว่าคนเรามักเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมที่อยู่ ข้าว่าหลานสะใภ้มาเมืองหลวงเพียงครึ่งปีก็ดูมีน้ำมีนวลเปล่งปลั่งขึ้นเยอะเลยเชียว”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามองดูแล้วท่านอาสะใภ้รองก็ดูอ่อนวัยยิ่งขึ้นนะเจ้าคะ เห็นได้ชัดเลยว่ากิจการของท่านอารองคงเฟื่องฟูอย่างยิ่งสินะเจ้าคะ!”
นางฉีกล่าวด้วยเสียงกระซิบ “ข้าสนว่ากิจการเขาจะเป็นเช่นไรเสียที่ไหนกัน เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่บรรดาบุรุษเขาต้องกังวลใจ ข้าถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน ไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องกังวลใจ สุขกายสบายใจเสียจริง”
“ข้าคิดอย่างน้องสะใภ้มิได้เสียที ข้าล่ะยุ่งวุ่นวายกับเรื่องราวทางด้านนี้ทั้งในและนอกไม่ว่างเว้นจนอยากมีสมองเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งถึงจะเป็นการดี” นางหวังสะใภ้ใหญ่กล่าวเชิงตำหนิตนเอง
นางฉีปิดปากและกล่าวอย่างลับๆ ล่อๆ “พี่สะใภ้ใหญ่ก็อย่าบ่นเลยเจ้าค่ะ ยิ่งมีความสามารถก็ยิ่งเหนื่อยหน่อย ใครใช้ให้ท่านมีความสามารถถึงเพียงนี้ล่ะเจ้าคะ”
“เชอะๆๆ เจ้าพูดมาตามตรงว่าข้ามันเป็นคนบ้างานก็ได้” นางหวังกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน
นางหรงเดินเข้ามาอย่างอ่อนน้อมขณะที่ทั้งสามคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน “ท่านแม่เจ้าคะ น้องเล็กเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ เกี้ยวเจ้าสาวตระกูลหร่วนก็มาถึงแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ”
นางฉีกล่าวด้วยความดีใจ “เช่นนั้นรีบไปดูเจ้าสาวกันหน่อยเถอะ”
หลินหลันมองป้าสะใภ้ใหญ่อย่างลังเลใจ หากนางไปด้วยเยี่ยซินเอ๋อร์จะไม่พอใจเอาหรือไม่
ป้าสะใภ้ใหญ่เข้าใจได้ในทันที นางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ไปด้วยกันเถอะ!”
ภายในเรือนซิ่วโหรว เยี่ยเคอเอ๋อร์มองดูลูกพี่ลูกน้องในชุดเจ้าสาวสีแดงสด ทว่าใบหน้าที่แต่งแต้มสีสันไว้อย่างงดงามกลับเหม่อลอย จึงอดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแทนนางมิได้ “พี่ซินเอ๋อร์ นี่ก็คือชะตาชีวิตของลูกผู้หญิงอย่างเรา? ไม่อาจแต่งงานกับคนที่ตนเองรักใคร่ได้ หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตคู่กับผู้ที่มิได้รักใคร่ไปชั่วชีวิต…”
อู่เอ๋อร์สาวใช้รีบกล่าวตักเตือนด้วยเสียงกระซิบ “เคอเอ๋อร์เสี่ยวเจี่ยะเจ้าคะ วันนี้เป็นวันมงคลของต้าเสี่ยวเจี่ยะนะเจ้าคะ!”
อู่เอ๋อร์พร่ำบ่นภายในใจ นายท่านและฮูหยินกักบริเวณแม่นางน้อยมาเกือบครึ่งปีเพื่อให้แม่นางน้อยถอดใจ ไม่ง่ายเลยกว่าแม่นางน้อยจะยอมศิโรราบลงได้ ตอนนี้เกี้ยวเจ้าสาวก็มาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว ไยท่านถึงพูดคำที่มิควรพูดเหล่านี้ออกมาในยามนี้ด้วย
เยี่ยเคอเอ๋อร์เบ้ปาก ไม่เอื้อนเอ่ยคำอีกต่อไป
เยี่ยซินเอ๋อร์ยังคงจ้องมองตนเองในกระจกอย่างเหม่อลอย นั่นสิ! นี่ก็คือโชคชะตาของนาง นางเคยขัดขืนและต่อสู้มาแล้ว ทว่านางก็ไม่อาจเอาชนะโชคชะตาได้ สิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดบนโลกมนุษย์และไม่อาจทำอันใดได้ก็คือคำที่ว่า ‘การยอมรับโชคชะตา’ ซึ่งนางไม่อาจไม่ยอมรับโชคชะตาไปได้
“เจ้าสาวอยู่ไหนหรือ…” เสียงหัวเราะด้วยความสุขใจของอาสะใภ้รองลอยขึ้นมาจากชั้นล่าง เยี่ยเคอเอ๋อร์จึงกล่าวด้วยความสุขใจ “ท่านแม่ข้ามาแล้ว…”
ตามด้วยเสียงของฝีก้าวที่ดังขึ้น คนกลุ่มหนึ่งกำลังขึ้นมาบนอาคารซิ่วโหรว
นางหวังรู้จักอุปนิสัยของบุตรสาวตนเองดี หลายเดือนที่ผ่านมานี้นางพยายามพูดเกลี้ยกล่อมไปมากมาย รวมถึงชักเหตุผลต่างๆ นานามาบอกกล่าวนาง ทว่าซินเอ๋อร์นาง…แม้จะด้วยการบีบบังคับของบิดา ซินเอ๋อร์จึงไม่อาจปฏิเสธโชคชะตานี้ไปได้ ทว่าการที่ซินเอ๋อร์แต่งออกไปด้วยความไม่เต็มใจเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่อาจอยู่ร่วมกับบุตรเขยอย่างมีความสุขได้ ภายในใจของนางหวังจึงรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง ทันทีที่เห็นบุตรสาวแต่งชุดเจ้าสาวเต็มยศนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง รอยยิ้มของนางหวังจึงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขมขื่นทันใด
นางฉีไม่รู้เรื่องราวภายใน จึงทำเพียงจูงมือของซินเอ๋อร์แล้วกล่าวเชยชม
“นางฟ้านางสวรรค์ชัดๆ ใครได้แต่งงานด้วยช่างนับว่าโชคดีเสียจริง…”
สายตาของเยี่ยซินเอ๋อร์เลื่อนไปมาเล็กน้อย เมื่อมองเห็นหลินหลันที่ยืนอยู่ข้างนางหรง สายตาของนางจึงฉายความเย็นชาขึ้นทันใด
หลินหลันยิ้มให้นางเล็กน้อย ไม่พบเจอกันนาน เยี่ยซินเอ๋อร์ดูซูบผอมลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว
เยี่ยเคอเอ๋อร์กลอกตามองหลินหลัน คนน่ารังเกียจผู้นี้มาทำไมกัน หรือว่านางยังทำร้ายท่านพี่ไม่พอ มาชื่นชมชัยชนะของนางหรือไร
หลินหลันยังคงรอยยิ้มไว้ดังเดิม ขณะที่ภายในใจกลับบ่นพึมพำ เรื่องนี้มันเกี่ยวกับเจ้าเยี่ยเคอเอ๋อร์ด้วยหรือไร จริงๆ เลย
เยี่ยซินเอ๋อร์เบนสายตามองไปยังผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสดนั่น ขณะเดียวกันด้านนอกก็เต็มไปด้วยเสียงประทัดและบรรยากาศแห่งความสุข ทว่าอารมณ์ของนางกลับเยือกเย็นเช่นนี้ เยี่ยซินเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย “ท่านแม่ ถึงฤกษ์งามยามดีแล้วกระมังเจ้าคะ”
นางหวังกล่าวทันควัน “ถึงแล้วๆ เกี้ยวเจ้าสาวก็มาถึงหน้าประตูบ้านแล้วด้วย”
เยี่ยซินเอ๋อร์ยื่นมือขาวเนียนผุดผ่องออกมาคว้าผ้าคลุมหน้า สี่เหนียง[1]ที่อยู่ด้านข้างรีบเข้ามารับเอามาไว้พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มระรื่น “เสี่ยวเจี่ยะ ให้ข้าช่วยคลุมให้ท่านนะเจ้าคะ”
สี่เหนียงช่วยประคองเยี่ยซินเอ๋อร์เดินลงอาคารไป ยามที่เดินผ่านหลินหลัน เยี่ยซินเอ๋อร์ชะงักฝีเท้าแล้วเอ่ยประโยคไม่น่าฟังด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ต่อให้ข้าแต่งออกไปแล้ว ก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหรอก”
นางหรงซึ่งอยู่ใกล้เคียงได้ยินชัดถ้อยชัดคำ นางมองไปยังหลินลันด้วยความกังวลภายใต้สีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ตัว
หลินหลันกล่าวด้วยเสียงเบา “เปี่ยวเกอของเจ้าให้ข้ามาอวยพรแด่เปี่ยวเหม่ยและสามีของเปี่ยวเหม่ยแทนเขา ขอให้ทั้งคู่ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร แน่นอนว่า นี่ก็เป็นความตั้งใจของข้าด้วยเช่นกัน”
นางหาได้เกรงกลัวคำข่มขู่ของเยี่ยซินเอ๋อร์ไม่ แต่งออกไปแล้วก็เป็นอันจบเรื่องไป นอกเสียจากเยี่ยซินเอ๋อร์จะไม่เห็นแก่หน้าของตระกูลเยี่ยและตระกูลสามี หากนางก่อเรื่องอันใดขึ้นมาจริง นางมิต้องลงมือเองด้วยซ้ำ เพราะตระกูลเยี่ยและตระกูลหร่วนจะช่วยจัดการเยี่ยซินเอ๋อร์เสียก่อน นางเองก็ไม่คิดจะจองเวรจองกรรมอันใดกับเยี่ยซินเอ๋อร์เช่นกัน ตอนแรกเพื่อปกป้องชื่อเสียงของหมิงอวิน ต่อมาเพื่อปกป้องความรักและสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของตนเอง ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่ถูกต้องสมเหตุสมผล ความรักไม่ผิด ทว่าหากรักคนผิด ต่อให้รักจนฟ้าดินสลาย นอกจากเป็นการเพิ่มปัญหาให้แก่ผู้อื่น ยังเป็นการทำให้ตนเองเจ็บปวดเสียเปล่า ไม่ได้มีประโยชน์อันใด เช่นนั้น…นี่สิถึงเป็นความผิด
วันนี้แขกเหรื่อยังมากมายถึงเพียงนี้ นางหรงเกรงว่าเยี่ยซินเอ๋อร์จะก่อเรื่องขึ้นมาคงไม่ดีนัก นางจึงรีบเอ่ยสั่งการสี่เหนียง “รีบประคองเสี่ยวเจี่ยะไปขึ้นเกี้ยวเถิด อย่าให้เสียเวลาฤกษ์งามยามดี”
ในที่สุดเยี่ยซินเอ๋อร์ก็แต่งงานออกเรือนไป หลังดื่มสุรามงคลเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันและหลี่หมิงอวินจึงนั่งรถม้ามุ่งหน้ากลับจวน
หลินหลันฉีกยิ้มอย่างสบายใจเป็นพิเศษ หลี่หมิงอวินเห็นสีหน้าสดใสของนาง นัยน์ตาเป็นประกาย รอยยิ้มประดุจดอกไม้ผลิบาน เขาจึงอมยิ้มอย่างไม่รู้ตัว “วันนี้เจ้ามีความสุขมากเลยหรือ”
หลินหลันชำเลืองตามองเขาแล้วเอ่ยถาม “หรือว่าเจ้าไม่มีความสุข?”
หลี่หมิงอวินกอบกุมมือของนางแล้วกระชับแน่นพลางกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “เปี่ยวเหม่ยได้ตระกูลคู่ครองที่ดี ข้าต้องมีความสุขอยู่แล้ว”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรหรือว่าตระกูลหร่วนเป็นตระกูลคู่ครองที่ดี” หลินหลันเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หลี่หมิงอวินเงยหน้ามองเพดานรถแล้วกล่าวอย่างเนิบๆ “ข้าได้สืบถามเกี่ยวกับคุณชายตระกูลหร่วนมาบ้างแล้ว เขาเป็นบุรุษที่ไม่เลวผู้หนึ่ง หากเปี่ยวเหม่ยปล่อยวางได้ก็คงจะได้ใช้ชีวิตกับเขาอย่างมีความสุข…”
“แล้วหากนางปล่อยวางไม่ได้ชั่วชีวิตล่ะ”
หลี่หมิงอวินมองหลินหลันแวบหนึ่ง “ความทุกข์ของคนเราส่วนมากเป็นเพราะร้องขอในสิ่งที่มิควรร้องขอ และไม่รู้จักปล่อยวาง ความสุขอยู่ในมือนาง คงขึ้นอยู่กับนางแล้วว่าจะเลือกอย่างไร ใครก็ช่วยนางมิได้เช่นกัน”
หลินหลันก้มหน้าเผยรอยยิ้มก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งพร้อมกับแววตาเป็นประกาย “เอาละ! ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ข้าจะได้เลิกคิดว่าตนเองกำลังมีสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นเสียที”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มจางๆ และกล่าวอย่างสนอกสนใจ “หรือว่าเจ้ารู้สึกสำนึกบาปขึ้นมาเสียแล้ว”
หลินหลันพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “ก็นิดหน่อยน่ะ มันก็มีบ้างชั่ววูบ ข้าคิดว่านางค่อนข้างน่าสงสาร ทว่าเรื่องนี้จะทำอย่างไรได้ หากนางมีความสุขกับสิ่งอื่น ข้าคงไม่ถือสาและพอจะหลีกทางให้นางได้ ยกเว้นก็แต่ความรัก ข้าไม่ยินยอมแบ่งปันกับผู้ใดหน้าไหนทั้งสิ้น”
หลี่หมิงอวินลูบศีรษะน้อยๆ ของนางอย่างเอ็นดูแล้วกล่าว “เจ้ามิต้องถือโอกาสนี้สั่งสอนข้าเลย ข้าจิตใจมั่นคงแน่วแน่ดั่งภูผาต่อเจ้าอยู่แล้ว”
หลินหลันเอนกายซบอ้อมกอดของเขาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “เช่นนั้น…หัวใจของข้าที่มีต่อเจ้าก็คงเสมือนหญ้าแฝกที่เหนียวแน่น และจะเกาะหนึบเจ้าไปจนตาย”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มขณะมองนาง แล้วกล่าวด้วยฝีปากเจ้าเสน่ห์ “สามีอย่างข้า…รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งขอรับ!”
[1]สี่เหนียง(喜娘)คือหญิงที่แต่งงานแล้วทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวโดยคอยช่วยเหลือและแนะนำเจ้าสาวในพิธีแต่งงาน