ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 152 ตำหนิตนเอง
เมื่อหลี่หมิงอวินกลับมาถึงก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว โดยมีอวี้หลงคอยปรนนิบัติเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า
“นายหญิงของพวกเจ้าล่ะ” หลี่หมิงอวินไม่เห็นหลินหลันจึงเอ่ยถาม
อวี้หลงกล่าวอย่างลังเลใจ “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย…มิค่อยสบายเท่าใดนักเจ้าค่ะ พอกลับมาจากโถงจาวฮุยก็นอนหลับยาวกระทั่งมื้อเย็นก็ยังมิได้ทานเลยเจ้าค่ะ! ยามนี้หยินหลิ่วคอยอยู่ปรนนิบัติด้านในเจ้าค่ะ”
แม้ว่านายหญิงน้อยกำชับไว้แล้วว่าไม่อนุญาตให้ปากมาก ทว่านายหญิงหลับยาวเสียขนาดนั้น แถมยังมีสีหน้าซีดเซียวและลมหายใจเหนื่อยอ่อน จึงทำให้พวกนางอดเป็นกังวลใจไม่ได้
หลี่หมิงอวินตื่นตกใจ เขาเร่งฝีก้าวเดินมุ่งไปยังห้องชั้นในพลางผูกรัดเชือกคาดเอวไปด้วย
“เอ้อร์เส้าเหยีย…” หยินหลิ่วซึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงนอนเมื่อเห็นนายน้อยเข้ามาจึงรีบลุกขึ้นคารวะ
หลี่หมิงอวินมองไปยังหลินหลันที่กำลังนอนหันหลังให้พลางเอ่ยถามด้วยเสียงบางเบา “วันนี้ยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดถึงไม่สบายขึ้นมาเสียแล้วหรือ”
หยินหลิ่วอ้ำอึ้ง “เอ้อร์เส้าหน่ายนายมิให้บอกเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินอดชักสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาไม่ได้ “รีบบอกมาเร็วเข้า”
“หลังเอ้อร์เส้าหน่ายนายฝังเข็มให้ตนเองก็กลายเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ ข้าน้อยเห็นเอ้อร์เส้าหน่ายนายดูอาการไม่ค่อยดีเลย ทว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับบอกว่ามิใช้เรื่องร้ายแรงอันใดเจ้าค่ะ” นี่เป็นเพราะนายน้อยบีบบังคับให้นางเอ่ย หยินหลิ่วจึงทำได้เพียงบอกเล่าไปตามความจริง
ดวงตาของหลี่หมิงอวินมืดหม่นลง เขายกมือขึ้นโบกปัดเป็นสัญญาณให้หยินหลิ่วออกไป หลังจากนั้นจึงสะบัดชายชุดตัวยาวแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนขอบเตียง ฝ่ามือหนาเอื้อมไปจับบ่าของหลินหลันพร้อมกับเอ่ยเรียกด้วยเสียงบางเบา “หลันเอ๋อร์ หลันเอ๋อร์…”
หลินหลันสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล เมื่อได้ยินเสียงหมิงอวินเรียกนางจึงคอยๆ ลืมตาขึ้นแล้วกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “เจ้ากลับมาแล้วหรือ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
หลี่หมิงอวินประคองนางลุกขึ้นแล้วนำหมอนอิงใบนุ่มสอดไว้ด้านหลังของนาง
“เกือบห้าทุ่มแล้ว ข้าส่งพวกพี่ใหญ่กลับไปพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว หลันเอ๋อร์ เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือ” หลี่หมิงอวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“มิเป็นอันใด แค่แน่นหน้าอกเล็กน้อย” หลินหลันสูดลมหายใจเข้าลึกสามสี่ครั้งด้วยความรู้สึกแน่นหน้าอก การฝังเข็มลงไปตำแหน่งนี้มันช่างอันตรายไม่น้อยทีเดียวเชียว เดิมทีคิดว่าหลังผ่านไปสองชั่วโมงก็คงไม่เป็นไรแล้ว ที่ไหนได้ จนถึงตอนนี้ยังคงรู้สึกไม่สบายอยู่เลย ขอเพียงอย่าเกิดอาการผิดปกติขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นพอ มิเช่นนั้นคงได้ไม่คุ้มเสียซะแล้ว
หลี่หมิงอวินมองนางอย่างสงบนิ่ง ผ่านไปเนิ่นนานพอตัวถึงเอ่ยถาม “เหตุใดถึงฝังเข็มให้ตนเองหรือ”
หลินหลันตกตะลึงก่อนจะบ่นพึมพำ “หยินหลิ่วนี่เหลือเกิน ไม่รู้จักเงียบๆ เอาไว้บ้าง”
“เจ้ายังจะว่านางอีกหรือ พวกนางล้วนตื่นตระหนกกันจะแย่แล้ว รีบบอกความจริงมาเดี๋ยวนี้” หลี่หมิงอวินจงใจพูดด้วยท่าทีดุดัน
ที่หลินหลันปิดบังเพราะเกรงว่าหมิงอวินจะเป็นกังวล ในเมื่อปิดบังไม่อยู่เสียแล้วจึงกล่าวออกไปตามจริง “วันนี้แม่มดชราเชิญหมอท่านหนึ่งมาตรวจอาการป่วยของพี่สะใภ้ คงต้องขอบคุณชุ่ยจือที่เตือนข้าล่วงหน้า ข้าก็เลยฝังเข็มให้ตนเองไปสองเข็มเพื่อยับยั้งการไหลเวียนเส้นเลือดหัวใจไปชั่วขณะ มิเช่นนั้นคงถูกแม่มดชราทำลายเรื่องที่พวกเราบอกกล่าวไว้จนราบเป็นหน้ากลอง ข้าเห็นสีหน้าแม่มดชราดูผิดหวังมิใช่น้อยๆ เลยทีเดียวเชียว”
หลี่หมิงอวินยังคงจ้องมองนางอย่างสงบนิ่ง เพียงแต่นัยน์ตากลับฉายความมืดหม่นหนักขึ้นเรื่อยๆ เปลวไฟจากแสงเทียนส่องสะท้อนนัยน์ตาคู่ดำขลับที่มีแนวโน้มลุกโชติช่วงหนักขึ้นนั้นทำให้หลินหลันรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย “ทำไมเจ้าถึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น เป็นเพราะแม่มดชราไม่ยอมเลิกราวี คิดแต่จะจับผิดพวกเราให้ได้…โชคดีที่ข้ามีความรู้ความเข้าใจทักษะการแพทย์ มิเช่นนั้นก็คงปิดบังไว้มิได้เสียแล้ว…”
“ครั้งก่อนที่เจ้าใช้แผนการทำร้ายตนเองเพื่อหลอกลวงนาง ข้าก็เคยบอกเจ้าไว้แล้วว่าไม่อนุญาตให้เจ้าทำให้ตนเองบาดเจ็บเพื่อคนสารเลวชั้นต่ำเหล่านั้นอีก ต่อให้ความแตก ต่อให้ท่านย่าโกรธ ข้าก็จักเป็นผู้แบกรับไว้เอง นี่เจ้ามิเชื่อมั่นใจตัวข้าและคิดว่าข้าปกป้องเจ้ามิได้ หรือคิดว่าการที่เจ้าทำตนเองให้บาดเจ็บแล้วข้าจะไม่เจ็บปวดหัวใจเช่นนั้นหรือ” หมิงอวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ราวกับกำลังสะกดกลั้นอารมณ์โกรธเกรี้ยวของเขาไว้อย่างหนัก
หลินหลันรู้ดีว่าเขาต้องเป็นกังวลใจ ทว่าเรื่องราวมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน นางคิดเพียงแค่ว่าจะปล่อยให้แม่มดชราทำลายแผนการมิได้เป็นอันขาด หลินหลันจึงกล่าวด้วยความเสียใจ “ข้าเองก็มิอยากทำเช่นนี้เหมือนกัน! ทว่าตอนนั้นเจ้าไม่อยู่ ช่วงเวลานั้นข้าก็คิดวิธีการอื่นไม่ออกและข้าเองก็มั่นใจในทักษะการแพทย์ของตนเองอย่างยิ่ง ก็แค่ต้องรู้สึกแย่ไปสองสามชั่วโมง เจ้าดูข้าในตอนนี้สิ มิใช่ว่าก็ดูไม่เป็นไรแล้วหรอกหรือ”
“ยังกล้าพูดว่าไม่เป็นไรอีกหรือ จะให้ข้าไปหยิบกระจกมาให้เจ้าส่องดูดีหรือไม่” หลี่หมิงอวินมองดูใบหน้าซีดเซียวของนาง ในใจทั้งกระวนกระวาย ทั้งเจ็บปวด ทั้งนึกตำหนิตนเอง น้ำเสียงที่พร่ำเอ่ยออกมาจึงดุดันเล็กน้อย “ข้ายินยอมให้เจ้าโต้เถียงจนเกิดความขัดแย้งแลกกับการมิต้องทำร้ายตนเอง แล้วนี่เจ้ายังใช้เข็มปักลงไปที่ตำแหน่งหัวใจของตนเอง แม้ว่าข้าจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับทักษะการแพทย์ แต่ก็รู้ดีว่าหัวใจเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากที่สุดซึ่งหากผิดพลาดไปคงถึงแก่ชีวิต เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่าหากเกิดอันใดขึ้นกับเจ้าแล้วข้าจักทำอย่างไร การต่อกรกับแม่มดชรานั่นไม่ต่างจากการหยอกลิงด้วยซ้ำ หากต้องการจัดการนาง จะลงมือเมื่อใดล้วนได้ทั้งสิ้น แต่ต้องมิใช่เพื่อให้สถานการณ์มันมีสีสันขึ้นมา เจ้าจึงเอาชีวิตของตนเองไปเล่นกับนางเยี่ยงนี่”
“มีอันใดร้ายแรงอย่างเจ้าเอ่ยเสียที่ไหนกัน…” หลินหลันบ่นพึมพำอย่างหวั่นใจ
หลี่หมิงอวินนั่งหงุดหงิดใจอยู่เช่นนั้น ริมฝีปากบางของเขาเม้มเข้าหากันแน่น สีหน้าเย็นชาประดุจน้ำแข็ง
เขาปฏิบัติต่อนางอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน คอยเอาอกเอาใจ แม้ว่านางจะทำนิสัยราวกับเด็ก แต่ทุกครั้งเขาล้วนฉีกยิ้มให้นางเสมอมา ทว่าวันนี้กลับใส่อารมณ์ต่อนาง แม้ว่าเป็นเพราะความห่วงใย แต่กลับทำให้นางรู้สึกไม่ดีอย่างยิ่ง บวกกับอาการแน่นหน้าอกที่มีอยู่เดิม สภาพอารมณ์ของนางในเวลานี้จึงเกิดความหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย “เป็นเจ้าก็พูดง่ายสิ หยอกลิงเช่นนั้นหรือ! แม่มดชราเป็นลิงหรือไร นางเป็นงูต่างหากล่ะ งูพิษเสียด้วย ยินยอมให้ข้าโต้เถียงแม้จะเกิดปัญหาเช่นนั้นหรือ เจ้าเองมิใช่ว่าไม่รู้ ก็เพราะเรื่องยาป้องกันการตั้งครรภ์ ท่านย่าถึงชักสีหน้าบึ้งตึงใส่ข้ามาไม่รู้กี่วันแล้ว แม่มดชราจงใจเชิญหมอไปที่โถงจาวฮุยมิใช่เพราะต้องการยืมมือท่านย่ามาต่อกรกับข้าหรอกหรือ วันนี้หากข้าโต้เถียงออกไปจนเป็นเรื่องราว เกรงว่าเวลานี้ก็คงยังคุกเข่าอยู่ด้านนอกโถงจาวฮุยนั่นกระมัง! แล้วมันไม่ลำบากเช่นกันหรอกหรือ เจ้าเองก็มิอาจอยู่ปกป้องข้าได้ตลอดเวลา ต่อให้ข้ามีความสามารถเก่งกาจแต่ด้วยกฎระเบียบและคำว่าลูกกตัญญูที่ค้ำคออยู่ คงมีแค่การต้องยอมจำนนรับโทษเท่านั้น แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรได้”
หลี่หมิงอวินได้ยินนางโอดครวญด้วยความไม่พึงพอใจชุดใหญ่ ดวงตาที่เคยเย็นชาจึงค่อยๆ พังทลายลงแล้วแปรเปลี่ยนเป็นความละอายใจที่เคลือบเอาไว้บางๆ เขาเอี้ยวตัวหันกลับมาแล้วโอบรั้งนางเข้ามาในอ้อมกอด หลินหลันขัดขืนอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ทว่าเขากลับยิ่งกอดรัดแน่นขึ้นแล้วกระซิบลงข้างใบหูของนางด้วยความเจ็บปวดหัวใจ “ข้าขอโทษเจ้าด้วย…”
หัวใจของหลินหลันอ่อนยวบลงในทันที นางเอนกายเข้าหาแผงอกกว้างของเขาอย่างเงียบสงบ
“ใกล้แล้ว อดทนอีกสักสองสามเดือน หลังจัดการแม่มดชราเรียบร้อย ชีวิตของเราก็คงสงบสุขขึ้นเยอะ” หลี่หมิงอวินปลอบขวัญนาง
“เจ้ามั่นใจหรือ” หลินหลันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย มิใช่เอ่ยว่ายังต้องสร้างสถานการณ์เลยจำเป็นต้องรอคอยอีกหน่อยหรอกหรือ
“เกือบเข้าที่เข้าทางแล้ว เจ้าว่าหลายวันนี้เหตุใดแม่มดชราถึงมีกะจิตกะใจคิดหาเรื่องไปทั่ว ข้าให้นายกู่รายงานข่าวดีให้แม่มดชรารับรู้แล้วยังแบ่งเงินปันผลให้นางอีกแสนหนึ่ง”
หลินหลันเบิกตาโต “ให้เยอะถึงเพียงนี้เชียวหรือ เช่นนั้นเงินกู้ที่แม่มดชรายืมมาก็มิเป็นอันคืนไปหมดแล้วหรอกหรือ”
หลี่หมิงอวิยยกยิ้มมุมปาก “นางไม่มีทางคืนหรอก มิเพียงแต่ไม่คืน นางยังกู้ยืมต่ออีกด้วย”
หลินหลันเริ่มกระตือรือร้นขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันอาการแน่นหน้าอกก็มลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง “รีบเล่าให้ฟังเร็วเข้า” นางกล่าวอย่างสนอกสนใจ
“นายกู่จะบอกแม่มดชราไปว่า มีการค้นพบเหมืองถ่านหินที่มีแร่ธาตุสมบูรณ์มากยิ่งกว่าซึ่งอยู่ในบริเวณข้างๆ กับเหมืองที่กำลังบุกเบิกอยู่”
“ความหมายของเจ้าคือหลอกแม่มดชราร่วมลงทุนอีกสินะ…”
“สมบัติล้ำค่ากองอยู่เบื้องหน้าขนาดนี้ มีหรือแม่มดชราจะไม่หวั่นไหว อีกทั้งเหมืองภูเขาลูกแรกก็ปันผลให้ถึงแสนหนึ่งในระยะเวลาเพียงสามเดือน แล้วนางยังต้องกลัวอันใดอีกหรือ ด้วยนิสัยของนาง ต่อให้ต้องทุ่มจนหมดตัวก็ต้องรีบกระโจนเข้าใส่ให้จงได้” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “วันนี้นางให้นายซุนไปกู้ยืมเงินมาอีกก้อนเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย”
หลินหลันอดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ “ครานี้นางกู้ยืมอีกเท่าใดหรือ”
หลี่หมิงอวินชูมือขึ้นมาหนึ่งข้าง
หลินหลันตกตะลึงด้วยความเหลือเชื่อ “ห้าแสน?”
หลี่หมิงอวินพยักหน้า “ประเด็นสำคัญอยู่ที่ดอกเบี้ยในครั้งนี้ที่เพิ่มเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับครั้งก่อน เมื่อครั้งก่อนดอกเบี้ยสามพันต่อเดือนของยอดเงินกู้หนึ่งแสน ครานี้เท่ากับแม่มดชราจำเป็นต้องจ่ายดอกเบี้ยมากถึงสี่หมื่นต่อเดือน หากคืนไม่ตรงกำหนดดอกเบี้ยก็จะทบต้นไปเรื่อยๆ เมื่อยามนั้นมาถึง ต่อให้ท่านพ่อเตรียมขายพื้นที่ไร่สวนเพื่อมาอุดรอยรั่วนี้ ก็มิใช่ว่าบทจะขายก็ขายได้ปุบปับ และคนอย่างท่านพ่อกลัวเสียหน้ายิ่งกว่ากระไรดี จึงไม่มีทางประกาศขายอย่างโจ่งแจ้งแน่นอน ทีนี้พอต้องยืดเวลาออกไปเรื่อยดอกเบี้ยก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปอีก หลันเอ๋อร์ แผนการของพวกเราใกล้สำเร็จแล้ว”
ดวงตาของหลินหลันเปล่งประกายสดใส “แม่มดชราทำบ้านนี้สิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว ต่อให้ท่านย่าเข้าข้างนางเพียงใดและต้องการปกป้องนางก็คงทำอันใดมิได้ ครานี้แม่มดชราคงเป็นอันต้องจบเห่อย่างสิ้นเชิง”
พอความรู้สึกตื่นเต้นปะทุขึ้นมากๆ เข้าอาการแน่นหน้าอกก็เกิดขึ้นมาฉับพลันอีกครั้ง ตามด้วยอาการวิงเวียนศีรษะจนหลินหลันอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้
หลี่หมิงอวินเห็นสีหน้าของนางผิดปกติจึงกล่าวด้วยความเป็นห่วง “รู้สึกแย่ขึ้นมาอีกแล้วใช่หรือไม่ เจ้าเป็นเช่นนี้มิได้การแล้ว เดี๋ยวข้าเรียกหยินหลิ่วมาช่วยเจ้าเปลี่ยนชุด เราไปหาหมอกันเถอะ”
หลินหลันชักสีหน้าห่อเหี่ยว “ข้ามิไปหรอก ข้าเองก็เป็นหมอ เรื่องอันใดต้องไปหาหมอด้วย เช่นนั้นคงได้ขายขี้หน้าแย่”
หลี่หมิงอวินยิ้มเจื่อน “หมอที่ไหนจะมีความสามารถขนาดเจ้าที่กล้าปักชีพจรหัวใจของตนเอง เล่นเสียตนเองตกอยู่ในสภาพปางตายเช่นนี้”
หลินหลันมองค้อนใส่เขา “ก็ข้าทำครั้งแรกนี่! การจับจุดให้ตรงเผงมันใช่เรื่องง่ายดายเสียที่ไหนกัน ทว่าครั้งหน้าจะไม่เกิดความผิดพลาดอย่างแน่นอน”
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าเคร่งขรึมทันทีทันใด “เจ้ายังกล้าให้มีครั้งหน้าอีกหรือ”
“เอาเป็นว่าข้าไม่ไปหาหมอเด็ดขาด…”
“ต้องไป…”
“ไม่ไป…”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลี่หมิงอวินนั่งอยู่ข้างๆ โดยมองหลินหลันกินหมี่ผัดไก่อย่างเอร็ดอร่อย
“เจ้ากินให้มันน้อยๆ หน่อย เดี๋ยวก็ท้องอืดหรอก”
หลินหลันดื่มน้ำแกงก่อนจะกล่าวอย่างพึงพอใจ “ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดข้าถึงรู้สึกอาการไม่ดีเอาเสียเลย ตอนแรกเป็นเพราะผลของการอุดกั้นชีพจรหัวใจ ต่อมาเป็นเพราะข้าหิวจนเกินไป มื้อกลางวันข้าได้ดื่มแค่น้ำแกงปลาไปชามเดียวเท่านั้นเอง ตอนนี้ได้กินไปครึ่งกระเพาะแล้วค่อยรู้สึกสบายขึ้นมาเยอะเลย ยังดีที่มิได้ไปหาหมอ มิเช่นนั้นหมอวินิจฉัยว่าเป็นเพราะข้าหิว เช่นนั้นข้าได้ขายหน้าจนไม่มีหน้าไปพบเจอผู้ใดแล้ว…”
หลี่หมิงอวินถึงกับชักสีหน้าจนปัญญา เขาเงียบไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวขึ้น “เช่นนั้นเจ้าก็กินต่อไปเถิด!”
“จริงสิ เรื่องพี่ชายของข้าว่าอย่างไรหรือ” หลินหลันเอ่ยถาม
หลี่หมิงอวินลุกขึ้นยืนอย่างสง่างามแล้วเอ่ยขึ้น “ระหว่างรับประทานอาหารมิควรพูดคุย ตั้งหน้าตั้งตากินไปก่อน” เขาพูดระหว่างเดินมุ่งตรงไปยังห้องอาบน้ำ
เมื่อครู่นางทำให้เขาเป็นกังวลจนร้อนรนใจอยู่พักใหญ่ ยามนี้ก็ดันมากระตุ้นความอยากอาหารของเขาอีก
หลินหลันมองบานประตูห้องอาบน้ำที่ปิดลงอย่างหงุดหงิด “เดี๋ยวเถอะ”
เมื่อรับประทานจนอิ่มหนำสำราญ ความกระปรี้กระเปร่าก็กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ หลินหลันได้ข้อสรุปอย่างจริงจังในครั้งนี้ว่า การปักเข็มในครั้งหน้าควรฝังลงไปในระดับที่ตื้นกว่านี้อีกสักหน่อย
หลี่หมิงอวินอยู่บนเตียงนอนเป็นที่เรียบร้อยและกำลังอ่านตำราภายใต้แสงโคมไฟที่อยู่เหนือหัวเตียง
หลินหลันออกแรงดันเขา “เจ้าเขยิบเข้าไปทีสิ”
“คืนนี้เจ้านอนฝั่งด้านใน” หลี่หมิงอวินไม่ชายตาขึ้นมองด้วยซ้ำ
“ทำไมกัน ข้านอนฝั่งด้านนอกก็ดีอยู่แล้วนี่”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างสบายๆ “เจ้ากินหมี่ผัดไก่ไปชามใหญ่ขนาดนั้น คืนนี้คงได้กระหายน้ำทั้งคืนแน่นอน หรือเจ้าอยากลุกขึ้นมารินน้ำชาด้วยตนเองล่ะ ดีไม่ดีสะดุดล้มหน้าคะมำไปอีก”
หลินหลันหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที นางเคยล้มหน้าทิ่มไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง ด้วยความมืดมิดผนวกกับสะลึมสะลือ การสะดุดล้มหน้าคะมำจึงถือเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมาก ทว่าเขาก็มักจะหยิบยกขึ้นมาพูดอยู่เรื่อย
“ในเมื่อเจ้าใส่ใจถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าสมปรารถนาแล้วกัน” หลินหลันรับประทานจนอิ่มเกินไป จึงค่อยๆ ปีนป่ายข้ามเรือนร่างของเขาไปอย่างเชื่องช้า
“เฮ้อ…กินอิ่มจนเกินไปแล้ว วันหน้าวันหลังมื้อดึกมิต้องให้กุ้ยซ่าวทำแล้ว ทุกครั้งเป็นอันต้องกินเข้าไปมากมายขนาดนั้น รู้สึกผิดชะมัด” หลินหลันกล่าว
หลี่หมิงอวินชายตามองนางแล้วเอ่ยถาม “ไม่รู้สึกแน่นหน้าอกแล้วหรือ”
“หายดีแล้ว” หลินหลันลูบหน้าท้องของตนเอง
“กินอิ่มเกินไปแล้วสินะ?”
“ใช่น่ะสิ…เดิมทีตั้งใจว่าจะกินให้น้อยๆ หน่อยแล้วเชียว…”
“เช่นนั้น…พวกเราหาอะไรทำสักประเดี๋ยวจะได้ช่วยย่อยเป็นอย่างไร…”
“ทำอันใดหรือ” หลินหลันยังไม่ทันฉุกคิดขึ้นมาได้ แสงไฟจากเทียนก็ดับลงเสียแล้ว ตามด้วยเรือนร่างภายใต้เงามืดถาโถมลงมา
“นี่…ข้าอิ่มจะแย่ ไม่อยากขยับตัวแล้ว…”
“มิเป็นไร ข้าขยับคนเดียวก็พอ…” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษหนุ่มภายใต้ราตรีอันมืดมิดช่างเต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหลเป็นพิเศษยิ่งนัก