ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก - ตอนที่ 7: เขตที่ 84
อือ…
เสียงครางแสดงถึงความเหนื่อยล้าหลังตื่นนอน ออกมาจากเอลฟ์สาวผู้แสนงดงามที่นอนอยู่บนเตียงของชิน
แม้จะหลับจนเต็มอิ่มแล้วก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพอสำหรับเอลฟ์สาวที่แอบมีความเกียจคร้านซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากของหญิงสาวผู้เรียบร้อยและเย็นชา แต่จะทำเช่นไรได้ ในเมื่อแสงตะวันเองก็กำลังจะลับขอบฟ้ามันย่อมไม่ช่วยให้เธอกระปรี้กระเปร่าอยู่แล้ว เธอค่อยๆยันร่างที่หนักอึ้งของตัวเองขึ้นจากเตียงและเปิดเปลือกตาขึ้น
และแน่นอนว่าสิ่งที่เธอมองหาเป็นอย่างแรกก็คือชิน… เขากำลังสวมผ้ากันเปื้อนทำอาหารอยู่ตรงเคาน์เตอร์ กินหอมของเครื่องเทศอันเป็นเอกลักษณ์ของอาหารที่ทำลอยมาเตะจมูก นั่นทำให้เธอตื่นเต็มที่
“ ตื่นแล้วสินะ ”
“ ขออภัยด้วยค่ะที่ตื่นไม่ทันเวลาเตรียมอาหาร ”
โอลิเวียพูดขึ้นอย่างรู้สึกผิด ก่อนที่จะค่อยๆลุกขึ้นเดินเข้าไปข้างๆชิน ดูเหมือนเขากำลังทำสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าอยู่
“ เดี๋ยวช่วยนะคะ ” โอลิเวียขยับเข้ามาใกล้ชิน ทำให้ชินเริ่มหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง นั่นทำโอลิเวียเอียงคอสงสัย
“ ตะ แต่งตัวให้มันเรียบร้อยหน่อย ”
พอชินพูดแบบนั้นออกมา โอลิเวียถึงรู้ว่าชุดเดรสที่สวมอยู่มันหลุดลุ่ยไปหมดเพราะเธอนอนดิ้น หากเธอไม่มีหน้าอกคอยรั้งไว้ มันอาจร่วงลงไปกองพื้นแล้วก็ได้(แต่นั่นก็ทำให้ชินแทบจะเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเช่นกัน)
โอลิเวียค่อยจัดเสื้อผ้าตัวเองใหม่และเดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวม แต่ไม่ได้ขอโทษออกมาเพราะว่าเธอจงใจอยู่หน่อยๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ประหม่า เธอแสดงใบหน้าที่ราวกับจะพูดออกมาว่า “แบบนี้มันน่าอายกว่าที่คิด” ออกมา
ก่อนที่จะเดินเข้ามาช่วยชินทำอาหารและจัดจานอีกแรง แล้วอาหารที่ช่วยกันทำก็เสร็จในเวลาไม่นาน ทั้งคู่กลับมานั่งทานที่โต๊ะเล็กของตัวเองอีกครั้ง
“ เรานี่เหมือนคู่แต่งงานใหม่เลยนะคะ ว่าไหมชิน ” โอลิเวียพูดแบบนั้นออกมาด้วยสีหน้าขี้แกล้งออกมาอีกครั้ง นั่นทำให้ชินถึงกับคิ้วกระตุก
โอลิเวียที่เห็นชินแบบนั้นกลับรู้สึกดีใจขึ้นมาที่เขาหวั่นไหว
“ ถ้ายังไม่เลิกพูดล้อเล่นแบบนั้นอีก ฉันจะยึดข้าวเย็นนะ ” ชินว่าแบบนั้นด้วยแก้มที่แดงระเรื่อเล็กๆ
แกล้งฉันนี่มันสนุกตรงไหนกันนะ… ชินคิด
“ ตายจริง… ขออภัยด้วยค่ะ เป็นสามีภรรยาที่อยู่กินกันมานานมากกว่าสินะคะ ”
“ ทะ เธอเนี่ยนะ ”
พอได้ยินคำตอบกลับด้วยท่าทางหวั่นไหวเล็กน้อยของชิน โอลิเวียก็ยกมือขึ้นป้องปากหัวเราะอย่างผู้ดี
เวลาแบบนี้สำหรับเธอถือเป็นเรื่องสนุก… หรือพูดให้ถูกก็คือ เวลาที่ได้อยู่กับชินคือเวลาที่เธอมีความสุข และเธอคิดว่าชินเองก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน
แต่เวลาแบบนั้นก็มักสั้นเสมอ เพราะต่อให้เป็นที่โรงเรียนแต่ก็ยังไม่สามารถใกล้ชิดชินได้ เพราะไม่อยากถูกจับตามองเกินไป
โอลิเวียมองลอดผ่านหน้าต่างออกไปในยามที่แสงอาทิตย์อัสดงคล้อยลงต่ำและมอดดับ แปรเปลี่ยนเป็นราตรีมืดมิด แล้วก็รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเช่นเดียวกับชิน
“ กลางคืนมาถึงแล้ว ”
ชินพูดออกมาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปเป็นคมกริบ แต่น้ำเสียงที่บอกไม่ถูกว่าเหงาหงอยหรือดีใจเหมือนอย่างเคย บางทีคงเป็นทั้งสองอย่างผสมกันหล่ะมั้ง โอลิเวียคิด
และแม้เธอจะอยากให้ช่วงเวลาแบบนี้อยู่ตลอดไปเช่นไร แต่กระนั้น… โอลิเวียก็เลือกทำแบบเดิมไม่เปลี่ยน
“ ค่ะ… มาสเตอร์ ” โอลิเวียตอบกลับสั้นๆ ด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปคมกริบแบบเดียวกับชิน
สิ่งที่เธอทำยังคงมีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือการอุทิศทุกสิ่งเหนือความต้องการตัวเองแด่เจ้านาย ไม่สิ… แด่ชายผู้เป็นที่รักของเธอเพียงเท่านั้น
❖❖❖❖❖
พื้นที่ชายแดนระหว่างประเทศ คือพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อนในแง่ความสัมพันธ์ของสองประเทศมากที่สุด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ต้องจัดกำลังเฝ้าระวัง ซึ่งระยะห่างระหว่างตะเข็บชายแดนถึงจุดเฝ้าระวังก็แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องที่เพราะมีสนธิสัญญาแตกต่างกัน
และสำหรับเขตชายแดนระหว่างเขตประเทศที่ 66 กับ 84 นั้น มีระยะห่างจากตะเข็บชายแดนราว 10 กิโลเมตร หรือในอีกนัยนึง หมายความว่ากองกำลังของทั้งสองประเทศนั้นอยู่ห่างจากกันราวๆ 20 กิโลเมตรนั่นเอง
แต่เช่นไรก็ตาม… นั่นไม่ส่งผลต่อการลอบเข้าประเทศของชินและโอลิเวียเลยซักนิด
ทั้งสองคนซึ่งตอนนี้อยู่ในชุดปฏิบัติการของตัวเอง และอยู่ในจุดที่ห่างออกไปเล็กน้อยจากกองกำลังของประเทศเขต 66 ที่กำลังเดินตรวจตราอยู่ ชินสังเกตพวกนั้นอยู่ในพุ่มไม้ ส่วนโอลิเวียกำลังทำการป้อนข้อมูลสภาพแวดล้อมที่จำเป็นใส่ระบบโอเปอร์เรชั่นของชุดทั้งสองคนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวสอบ
“ หลบเลี่ยงการตรวจจับจากดาวเทียมสำเร็จ… จะเปิดระบบพรางตัวแล้วนะคะมาสเตอร์ ” เสียงของโอลิเวียดังเข้ามาในตัวหน้ากาก เป็นการสื่อสารระยะไกลและแน่นอนว่าหน้ากากสามารถกันเสียงไม่ให้ออกไปด้านนอกได้ด้วย
ได้ยินแบบนั้นจากโอลิเวียชินก็พยักหน้าเบาๆ
“ งั้นเริ่มเลย ”
ก่อนที่จะเริ่มสั่งการไปแบบนั้น
แล้วทั้งสองคนก็เดินออกมาจากป่าทั้งอย่างงั้นด้วยพื้นรองเท้าที่ออกแบบมาเป็นพิเศษทำให้ไม่เกิดเสียงใดๆในขณะที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ
ทั้งสองคนเดินไปจนถึงระยะที่ห่างจากหน่วยลาดตระเวนเพียงแค่ 1 เมตร เรียกได้ว่าแทบจะประจันหน้ากันอยู่แล้ว แต่แน่นอนว่าเขาไม่ตอบสนองใดๆ เห็นได้ชัดว่าระบบพรางตัวราวกิ้งก่าเปลี่ยนสีของพวกชินสำเร็จอย่างดงาม
“ ฝากด้วยนะโกลเด้นด็อก ” ชินพูดแบบนั้นโอลิเวียก็พยักหน้าเบาๆก่อนตอบรับ
“ เช่นนั้นขอเสียมารยาทนะคะมาสเตอร์ ”
เธอว่าแบบนั้นพร้อมกับยื่นมือขวาไปทางชินราวกับจะเอื้อมมือไปหาเขา
“ สายลมเอ๋ย จงตอบรับเรา… ช่วยโอบล้อมเราให้โบยบินดังเช่นสายลมบนท้องนภาด้วยเถิด ”
สิ้นสุดคำร่ายของโอลิเวีย พริบตานั้นสายลมทั่วทิศก็เริ่มไหลเข้ามาโอบร่างของทั้งโอลิเวียและชินเอาไว้ มันค่อยๆพัดร่างของทั้งสองคนสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่นายทหารซึ่งกำลังตรวจตราได้แต่ยกมือขึ้นจับหมวกตัวเองไม่ให้ปลิวไปตามลม
“ เวทย์มน ” คือสิทธิพิเศษของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ มันคือพลังที่สามารถยืมพลังจากธรรมชาติมาใช้ได้ ซึ่งหมวดหมู่ที่ครอบคลุมนั้นได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ น้ำแข็งและสายฟ้า แต่มิได้หมายความว่าเอลฟ์ทุกคนจะสามารถใช้ได้ทั้ง 6 ธาตุเสมอไป หากจะว่ากันตามตรง เอลฟ์ส่วนใหญ่ โดยกำเนิดนั้นสามารถใช้เวทย์มนได้เพียง 1 ธาตุเท่านั้น 2 ธาตุเองก็นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ 3-4 ธาตุขึ้นไปนั้นยิ่งถือได้ว่าเป็นพรสวรรค์ฟ้าประทานในรอบ 100 หรือ 1,000 ปีจะปรากฏให้เห็น
จำนวนประเภทเวทย์มนที่ถือครองคือ 1 ใน 2 ตัวแปรที่ใช้ตัดสินพรสวรรค์ของเอลฟ์ ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือจำนวนวงเวทย์ที่ใช้ได้พร้อมกันในครั้งเดียว โดยทั่วไปจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3 วงเวทย์ต่อครั้ง ในระดับปานกลางและขั้นสูงขึ้นมาหน่อยคือ 5 และ 7 วงเวทย์ตามลำดับ
แต่หากยึดมาตรฐานเช่นนั้น… โอลิเวียก็คงจะมีพรสวรรค์ที่เกิดขึ้นในรอบ 10,000 ปี เพราะเธอสามารถใช้ได้ทั้ง 6 ธาตุ แถมยังสามารถใช้ได้พร้อมกัน 10 วงเวทย์อย่างสบายๆอีกต่างหาก จำนวนสูงสุดที่เธอเคยใช้พร้อมกันนั้นก็มากถึง 22 วงเวทย์ต่อครั้ง เช่นนั้นหากจะเรียกเธอว่าอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะก็คงไม่เกินเลย …แม้ว่าความจริงแล้วนั่นจะยังเป็นแค่ส่วนหนึ่งของพลังทั้งหมดของเธอก็ตามที
พูดกันตามตรง… หากว่าเธอไม่ปิดบังเรื่องนี้ การงานอาชีพและชีวิตของเธอ จะต้องรุ่งโรจน์และโรยด้วยกลับกลีบกุหลาบอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่สำหรับตัวโอลิเวีย… เธอรู้สึกว่าพลังอันมากมายมหาศาลทั้งหมดของเธอ มันเป็นเพียงของต้องสาปอันน่ารังเกียจเท่านั้น เธอจึงไม่เคยคิดจะเปิดเผยมันให้ใครรู้นอกจากชิน ผู้ซึ่งเป็นคนบอกกับเธอว่ามันไม่ใช่คำสาป… ชายผู้ซึ่งทำให้โอลิเวียยอมรับพลังของตัวเองและยอมรับในตัวเองได้
แต่เช่นไรก็ตาม… แม้จะมีพลังมากมายเพียงใด แต่มันย่อมมีข้อจำกัดทางกายภาพของเผ่าพันธุ์ และสำหรับเอลฟ์มันก็คือ “พลังเวทย์”
อนึ่ง โดยปกติภายในธรรมชาติทั่วไปจะมี “จิต” กระจายอยู่โดยทั่วไป และแต่ละเผ่าพันธุ์ก็จะทำการดูดซับมันเข้ามาในร่างอยู่เสมอด้วยอัตราคงที่อย่างช้าๆ และจะเพิ่มอัตราการดูดซึมได้ในตอนที่นอนหลับหรือในสภาวะที่คลื่นสมองต่ำนั่นเอง
และนี่เองคือจุดที่แตกต่างกันของแต่ละเผ่า… “จิต” ที่ดูดซับเข้ามาจะถูกแปลงเป็นพลังที่ต่างกันในแต่ละเผ่า และสำหรับเอลฟ์อย่างโอลิเวียก็คือ “พลังเวทย์” นั่นเอง
“ ถ้าเหนื่อยก็พักก่อนก็ได้นะโกลเด้นด็อก ”
ชินเอ่ยขึ้นในขณะที่ทั้งสองคนลอยคว้างอยู่ในท้องฟ้าซึ่งสูงเหนือพื้นดินกว่า 100 เมตร และลอยเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านด้วยความเร็วคงที่
อนึ่ง นี่เป็นวิธีเดียวกับที่ทั้งสองคนเดินทางจากกรุงเทพมาจนถึงชายแดน ชินจึงถามออกมาด้วยความเป็นห่วง แถมโอลิเวียยังใช้การร่ายเพื่อให้เวทย์มนคงสภาพได้ดีกว่าการใช้เวทย์แบบไม่ร่ายอีก ส่วนสาเหตุ มันก็แน่อยู่แล้วว่าเธอต้องการลดโอกาสที่เวทย์มนจะเกิดผลลัพธ์ประหลาดขึ้น(Error) ในตอนที่ใช้มันกับชิน
ใช่… ที่เธอใช้เวทย์แบบร่ายที่เสียเวลาและกินพลังเวทย์มากกว่าปกติ ก็เพื่อชิน… เหมือนที่ผ่านมา
“ ขอบคุณมากค่ะมาสเตอร์ แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ… คิดว่าดิฉันเป็นใครกันหล่ะคะ ” โอลิเวียว่าด้วยน้ำเสียงปกติแฝงด้วยความโอ้อวดอย่างน่ารักน่าชัง แต่ภายใต้หน้ากากปรากฏรอยยิ้มที่ชินไม่เห็นด้วยความดีใจที่ถูกเป็นห่วงเหมือนเคย
“ อวดดีน่าดูนี่ แต่ก็จริงของเธอหล่ะนะ ”
ทั้งสองคนหัวเราะแห้งๆ และค่อยๆลดระยะห่างระหว่างตะเข็บชายแดนเข้าไปจนถึงเขตกองกำลังของประเทศเขต 86 อย่างง่ายดาย
โดยใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ระยะทางกว่า 20 กิโลเมตรก็ถูกร่นลงจนหมดราวกับเป็นเรื่องโกหก ทั้งสองคนเข้าไปในเขตชุมชนที่อยู่ใกล้ตัวเมืองที่สุดแล้วก็ร่อนลง
สภาพโดยรอบยังคงเป็นป่าหนาและมีหมู่บ้านการเกษตรอยู่ประปราย ทั้งสองคนสังเกตบริเวณรอบๆว่าไม่มีใครแล้วก็เข้าไปแอบแถวยุ้งฉาง ก่อนจะเริ่มเปิดแผนที่ของบริเวณนี้ดูด้วยโฮโลวอชของชิน
“ จุดที่เราจะไปสังเกตการณ์มีอยู่สามจุดที่คาดว่าจะเกิดเหตุวิวาทขึ้น ”
“ จุดที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไป 2 กิโลสินะคะ ”
ชินพยักหน้ารับคำของโอลิเวีย
จากข้อมูลที่ลองหาดู นอกจากกระทู้นั้นแล้วก็ยังมีกระทู้อื่นพูดถึงอยู่พอสมควร
ทั้งหมดเกิดในสถานที่ที่ไร้ผู้คนในช่วงเวลาประมาณ 5 ทุ่มถึงตี 2 ในบริเวณนอกตัวเมืองชายแดน
เพราะงั้นเลยจำกัดวงการค้นหาจนเหลือแค่ไม่กี่ที่
อย่างที่ที่ใกล้ที่สุดที่กำลังจะไป ก็เป็นโกดังที่ถูกทิ้งร้างไปหลายปี ถ้าจะทำอะไรที่ไม่อยากให้ใครเห็น เป็นฉันก็จะเลือกที่แบบนั้นเหมือนกัน
แต่ประเด็นก็คือที่แบบนั้นมีหลายที่เนี่ยแหล่ะนะ… ถ้าเกิดไปถูกที่ก็คงดี
“ คราวนี้เป็นการสอดแนมงั้นเหรอคะ? ” โอลิเวียเอ่ยถาม ชินก็พยักหน้าอีกครั้งหลังจากครุ่นคิด
“ อืม… แค่มาดูว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริงไหม ถ้าใช่ก็เก็บข้อมูลให้มากที่สุด แล้วก็ถอนทัพ… ”
“ สมกับเป็นมาสเตอร์… ทราบแล้วค่ะ ”
โอลิเวียกล่าวขึ้นอย่างชื่นชม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชินประหม่าแต่อย่างใด
บางทีคงมีแผนที่ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้เราก็คิดได้เท่านี้แหล่ะนะ
กับเป้าหมายที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงรึเปล่า แถมยังไม่รู้ทั้งจำนวน ประเภทอาชญากร องค์กรที่สังกัด คนที่หนุนหลังหรืออะไรก็ตามแต่ คงไปเผชิญหน้ากับมันตรงๆไม่ได้
เอาไว้รู้ว่าเป็นใครแล้วค่อยตามล่าก็ได้… ถึงตอนนั้นก็คงไม่สายเกินไปหรอก
❖❖❖❖❖
โกดังร้างขนาดใหญ่ถูกตั้งทิ้งไว้ท่ามกลางตู้คอนเทนเนอร์จำนวนมาก ทั้งขยะจำพวกถุงพลาสติก แก้วน้ำรวมถึงถุงขนม เห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นแหล่งซ่องสุมของเด็กวัยรุ่นแถวนี้แทนที่จะเป็นแหล่งกบดานของอาชญากรดังเช่นที่ชินหวัง
ทั้งสองคนค่อยย่องเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง ภายในยิ่งแสดงให้เห็นร่องรอยการเข้า-ออกแบบลวกๆของคนกลุ่มเล็กๆหลายกลุ่ม ทั้งยังทิ้งหลักฐานที่ไม่จำเป็นจำพวกกล่องข้าว ขวดเครื่องดื่มที่ยังใหม่เอาไว้อยู่ ของที่มีมาก่อนอยู่แล้วจำพวกแท่งเหล็กที่ใช้ก่อสร้าง ทำให้คาดเดาได้ว่าที่แห่งนี้เคยเป็นโกดังของบริษัทรับเหมา
แต่ก็เท่านั้น… ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้หรือสิ่งที่น่าจะเป็นฐานทัพลับ หรือสิ่งที่น่าจะเกี่ยวกับเป้าหมายของชินได้เลยซักอย่างเดียว
“ เสียเที่ยวไปหนึ่งที่สินะ ” ชินพูดออกมาอย่างเสียดายเหมือนเคย
เอาเถอะ… จะให้สุ่มถูกตั้งแต่ที่แรกมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วหล่ะนะ
ชินคิดปลอบใจตัวเองเช่นนั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด
“ งั้นรีบไปที่ต่อไปกัน———— ”
ตู้ม!!!!
ทว่าก่อนที่จะพูดได้จนจบประโยค จู่ๆหลังคาของโกดังซึ่งอยู่ในจุดที่ห่างออกไป 50 เมตรก็พังทลายตกลงพื้นอย่างแรงจนพื้นถึงกับแตกกระแหงไปทั่ว
ทั้งชินและโอลิเวียตอบสนองในทันทีด้วยการพุ่งไปหลบหลังกองเหล็กก่อสร้างในทันที
นั่นเพราะว่าระบบอัจฉริยะในหน้ากากของทั้งคู่… ตรวจจับความร้อนของสิ่งมีชีวิต… ตรวจสอบพบคนสองคนอยู่ตรงกลางของจุดที่ถล่มลงมา
แจคพ๊อตแตกงั้นเหรอ?
ชินอดดีใจไม่ได้ที่ได้เห็นเช่นนั้นจนถึงกับเผลอยิ้มออกมา ก่อนที่จะให้สัญญาณมือบอกกับโอลิเวียว่า “รอดูสถานการณ์ก่อน”
ทั้งสองคนมองเข้าไปตรงจุดที่เป็นกลุ่มควัน และเริ่มเปิดระบบกรองข้อมูลให้เห็นเฉพาะเท่าที่จำเป็นแถมยังพร้อมจะเปลี่ยนเป็นโหมดต่อสู้ได้ทุกเมื่อไว้ก่อน
แต่ก่อนที่จะทำแบบนั้น ควันก็ถูกพัดออกไปเนื่องจากหนึ่งในสองคนใช้บางสิ่งที่เป็นแท่งเหล็กยาวเหวี่ยงในแนวนอน พริบตาต่อมาคือเสียงของเหล็กนั่นกระทบเข้ากับวัตถุมีคมของอีกคน
และเมื่อภาพชัดเจนขึ้น… จึงได้รู้ว่าเมื่อครู่ มันเกิดจากการที่คนนึงใช้อาวุธประเภทหอกคู่ยาวเหวี่ยงหอกเล่มนึงเข้าใส่อีกคน ทว่าถูกรับไว้ด้วยดาบสองคมมือเดียวนั่นเอง
ทำไมคนสองคนที่ถืออาวุธดูใช้งานยากแบบนั้นถึงมาอยู่ในที่แบบนี้… คำถามแบบนั้นผุดขึ้นมาอย่างแรกในหัวของชิน แต่คำถามต่อมาคือสภาพของทั้งสองคนมากกว่า
ผู้ใช้หอกคู่นั้นสวมเสื้อคลุมพร้อมเกราะเบาบริเวณหน้าอก ภายใต้เกราะเบานั้นคือเสื้อรัดรูปสีเขียวลวดลายสีแดง มันเผยให้เห็นเห็นกล้ามเนื้ออกและท้องที่ผ่านการกรำศึกมาเป็นอย่างดี กางเกงผ้ายืดและรองเท้าผ้าใบกีฬาที่สวมช่วยเน้นความว่องไว ทั้งหหมดที่ว่าคือการแต่งกาย แต่นั่นยังไม่โดดเด่นเท่ากับหน้ากากลิงเผือกลวดลายคล้ายคลึงกับหัวโขนที่เขากำลังสวมใส่อยู่
เฉกเช่นเดียวกับอีกคนที่ใช้ดาบสองคมในการต่อสู้ เขาสวมเกราะเบาสีส้มเข้มลายขาวคลุมทั้งตัวรวมถึงปลอกแขนและหน้าแข้ง ส่วนชุดที่อยู่ภายใต้เกราะเป็นเสื้อยืดแต่คอเสื้อกลับมานสีขาวราวแผงคออยู่… และเขาเองก็สวมหน้ากากเสือโคร่งที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีส้มจากพู่กัน
ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากันอยู่พริบตานึง ก่อนจะหันคมอาวุธตัวเองเข้าหาอีกฝ่าย
“ ฝีมือแกร่งกล้าอย่างที่เขาร่ำลือจริงนะครับคุณลิงเผือก ” ชายผู้ครองดาบสองคมพูดด้วยน้ำเสียงที่ถูกดัดแปลงมาจากหน้ากาก แต่กระนั้นความรู้สึกไม่จริงจังนั้นยังคงสื่อผ่านคำพูดมาอยู่
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายที่ใช้หอกคู่นั้นจะไม่เล่นด้วย
หอกทั้งสองเล่มที่มีการออกแบบคล้ายคลึงแต่คนละสีอย่างดำและขาว เริ่มถูกออร่าสีดำเข้าปกคลุมในทันที
“ แกนี่มัน… พูดมากชะมัดเลยว้อย! ”
ชายผู้ถือครองหอกคู่ตะโกนลั่นด้วยความโกรธกริ้วเหมือนกับถูกปั่นหัวเอาง่ายๆ และเป็นเสียงที่ถูกแปลงแล้วเช่นกัน
ทว่าพริบตาหลังจากนั้น เขาก็ถีบพื้นพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความเร็วสูง พร้อมกับง้างหอกสองเล่มหวังพุ่งเข้าแทง
“ อุว๊ะ! เกือบไปๆ ”
แต่ผู้ใช้ดาบก็ใช้คมอาวุธตัวเองปัดป้องออกไป พร้อมกับหลบคมหอกอีกอันที่พุ่งเข้ามาได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนจะหมุนตัวลงต่ำหวังเตะตัดขา แต่ผู้ใช้หอกก็กระโดดตีกังลาไปด้านหลังได้ทัน
หนนี้ผู้ใช้ดาบพุ่งเข้าไปหาและกระหน่ำโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทั้งความแม่นยำ ความหนักหน่วงรวมถึงเทคนิคที่ใช้ต่างเป็นของระดับสูง และอีกฝั่งอย่างผู้ใช้หอกคู่ที่สามารถปัดป้องมันและโจมตีสวนกลับไปได้เองก็สุดยอดไม่แพ้กัน
แค่ดูก็รู้แล้ว… สองคนนี้แข็งแกร่งมาก
ความสามารถจัดอยู่ในระดับสูงมากทั้งที่ยังไม่ได้ใช้พลังอะไรมากมาย
ว่าแต่เจ้าพวกนี้เป็นใครกัน? สู้กันด้วยเหตุผลอะไร? ทำไมต้องปิดบังตัวตน?
คำถามจำนวนมากผุดขึ้นในหัวของชินเช่นเดียวกับโอลิเวียที่สังเกตอย่างเงียบๆเพื่อเก็บข้อมูลของศัตรูให้มากที่สุด
ในขณะที่การต่อสู้ของหอกคู่กับดาบรุนแรงและหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาก็ถีบพื้นออกห่างจากกันเพื่อหยุดพักหายใจ
แต่แม้จะพูดว่าพักหายใจมันก็เป็นแค่คำเปรียบเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงพวกเขาไม่มีแม้แต่อาการหอบเลยซักนิด
“ ดูเหมือนถ้าไม่เอาจริงคงไล่คุณออกจากประเทศนี้ไม่ได้สินะครับเนี่ย ” ชายผู้ใช้ดาบพูดเหมือนกับจะชม แต่ท่าทางของเขากำลังดูถูกอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด
“ เฮอะ! ถ้าทำได้อย่างปากว่าก็เอาเด้! ”
เป็นอีกครั้งที่ชายผู้ถือหอกสองเล่มถูกอีกฝ่ายปั่นหัวเอาง่ายๆ
ในตอนนั้น ชายถือดาบก็ยกมือฝ่ามือขวาขึ้นราวกับต้องการจะโอ้อวด
คิดจะทำอะไรกัน?
ชินคิดแบบนั้นด้วยความสงสัยว่าเขากำลังจะทำอะไร ฝ่ายหอกคู่ก็กลับเปลี่ยนท่าทีเป็นตั้งรับอย่างจริงจัง เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่
วูม…
“ !!!!? ”
พริบตานั้นคำตอบก็ออกมา… หลังฝ่ามือซ้ายคนละข้างกับที่เขาถือดาบ ได้ปรากฏสัญลักษณ์รูปดาบสองเล่มไขว้กันโดยมีฉากหลังเป็นโล่ราวสัญลักษณ์ของอัศวิน และเป็นพริบตาเดียวกับที่มันส่องแสงสีแดงสว่างจ้าไปทั่วทั้งบริเวณ
แสงแบบนั้นมัน!
ชินไม่มีวันลืม… แม้สัญลักษณ์จะไม่เหมือนกัน แต่แสงที่ทอดออกมาจากรอยสักปริศนานั่นชินยังคงจำได้เสมือนเพิ่งเห็นมันมาเมื่อวาน
แสงสีแดงฉานที่ทำเอานึกถึงเลือดของทุกคนที่เชารัก… แสงของผู้ที่เกี่ยวข้องกับฆาตกรเป้าหมายของชิน ชินรู้ได้ในทันทีว่ามันเป็นของประเภทเดียวกัน
ทางโอลิเวียที่เห็นชินนิ่งไปเองก็รู้ด้วยเช่นกัน… เพราะเธอเองก็เห็นมันกับตาพร้อมกับชินเมื่อหลายสิบปีก่อน
ในที่สุด… ในที่สุดก็เจอเบาะแสสำคัญ!
เวลาที่ใช้ตามล่ากว่าสองปีไม่ได้สูญเปล่าแล้ว
ทีนี้เราก็แค่สืบเรื่องของเจ้าพวกนี้————
“ แหมๆ… ดูเหมือนที่นี่จะมีคนอื่นนอกจากเราด้วยนะครับ ”
แต่ว่า… คำพูดของนักดาบได้ทำให้วงจรความคิดของชินและโอลิเวียหยุดชะงัก ขาของทั้งคู่หยุดกึกในทันทีราวปฏิกิริยารีเฟล็กซ์
ความสับสนเข้าเกาะกุมความคิดทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงรู้ตัวทั้งที่ใช้โหมดพรางตัวที่แม้แต่กองทัพเขตที่ 1 ยังไม่อาจตรวจจับได้
แต่นั่นไม่สำคัญอีกแล้ว… ทั้งชินและโอลิเวียตั้งท่าตั้งรับขึ้นพร้อมกัน ในขณะที่ผู้ใช้หอกซึ่งยังไม่รู้ถึงตัวตนของชินก็เอาแต่ทำท่างงงวย
“ ไม่อยากทำแบบนี้ซะด้วยสิ… ถึงจะรู้ไปก็เท่านั้นก็เถอะ แต่ผมไม่ใช่ประเภทที่จะปล่อยให้ข้อมูลรั่วไหลซะด้วย ”
ชายผู้ถือครองดาบหันคมดาบมายังจุดที่ชินและโอลิเวียยืนอยู่อย่างแม่นยำ เป็นการยืนยันที่ทำเอาทั้งสองคนเสียวสันหลังวาบว่าหมอนี่รู้ตำแหน่งของชินและโอลิเวียจริงๆ
ก่อนจะทำการตวัดดาบในทิศทางที่กรและโอลิเวียยืนอยู่
หมอนี่คิดจะทำอะไรอีก?
ชินคิดแบบนั้นเพราะคิดว่าเป็นการขู่ เนื่องจากตรวจจับการโจมตีใดๆไม่ได้เลยซักนิด
ทว่าพริบตานั้นก็เกิดเรื่องน่าเหลือเชื่อขึ้น…
กำแพงด้านหลังของชินและโอลิเวียเกิดรอยบาดขนาดใหญ่ขึ้นเป็นแนวยาว และพริบตานั้นกำแพงโกดังก็ถูกแบ่งเป็นสองส่วนราวกับเต้าหู้ถูกหั่น
เช่นเดียวกับโอลิเวียที่ยืนอยู่ข้างๆเขา… มันเกิดขึ้นแค่พริบตาเดียวเท่านั้น มันเร็วเสียจนชินยังตั้งตัวไม่ทันและได้แต่เบิกตาโพลง
…พริบตาที่ศีรษะของเธอกระดอนหลุดออกจากบ่า ก่อนที่โลหิตสีแดงฉานที่ย้อมอาบไปทั่วบริเวณจากร่างไร้หัวของเธอ
❖❖❖❖❖
Facebook Page : https://www.facebook.com/HatthAnant