ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก - ตอนที่ 37: อดีตของจิน
มนุษย์นั้นไม่มีความเท่าเทียม… อาจมีบางคนอยากแย้งคำพูดนั้นในเชิงว่า ‘มนุษย์ทุกคนมีค่าเท่ากัน’ ต่างหาก แต่หากพิจารณาตามหลักความเป็นจริงแล้ว เราจะรู้ว่าคำแย้งนั้นมีน้ำหนักเบาบางจนแทบไม่มี
เริ่มจากความหมายของคำว่าเท่าเทียม สิ่งนั้นหมายถึงการเท่ากันของวัตถุสองอย่างที่เป็นประเภทเดียวกัน และสำหรับมนุษย์ก็หมายถึงการเทียบเท่ากันระหว่างคุณค่าของคนสองคนหรือทุกคน
ดังนั้น เพื่อจะพิสูจน์ความเท่าเทียมในตัวมนุษย์ จึงต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าการมอบคุณค่าให้กับมนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียม ทว่าคำตอบและปลายทางของการหาข้อพิสูจน์นั้นแทบไม่จำเป็นต้องทำก็หาข้อสรุปได้
อันดับแรกก็คือเรื่องการประเมินคุณค่า ที่มนุษย์เรามักจะให้ค่ากับรูปลักษณ์ภายนอกซึ่งเป็นตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้ตั้งแต่เกิด และแน่นอนว่ามันส่งผลให้เกิดความหลากหลาย ทั้งหน้าตา รูปร่างและอุปนิสัยที่เป็นคุณค่าจากภายใน ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่เหมือนกันแล้ว นั่นคือข้อพิสูจน์ว่ามนุษย์เราไม่ได้เท่าเทียมกันตั้งแต่เกิด
ไม่ต้องนับรวมถึงฐานะ ความมั่งคั่ง ความเป็นอยู่ สภาพสังคมที่ต้องเผชิญ ซึ่งเป็นเรื่องหลังจากนั้น ที่บางคนอาจบอกว่าเรื่องพวกนี้สามารถกำหนดได้ด้วยความอุตสาหะ เพียงแค่ขยันทำงานก็จะได้เงินเยอะ ยกระดับฐานะของตัวเองได้ แต่ในความเป็นจริงฐานะของผู้คนเป็นทรัพยากรจำกัดที่ถูกครองด้วยคนที่มีฐานะมากกว่า เพราะระบบของสังคมไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อรองรับผู้แพ้และอ่อนแอกว่ามันจึงไม่เท่าเทียมแบบนั้นแล
คนจนจะยิ่งจน คนรวยจะยิ่งรวย… กลับกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าความเหลื่อมล้ำ ยิ่งทำให้ภาพของความไม่เท่าเทียมชัดเจนมากยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนั้น มนุษย์จึงสรรค์หาคำใหม่ที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองมากยิ่งขึ้นในเมื่อความเท่าเทียมนั้นไม่มีอยู่จริง นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ความยุติธรรม’
ตัวอย่างที่ใช้อธิบายคำนี้ได้ดีที่สุด คือ การที่คนสองคนกำลังอยู่ในสภาวะลำบากและต้องการเงินมากที่สุดทั้งคู่ คนนึงเป็นคนจน คนนึงเป็นคนรวย เรามีเงิน 5,000 และต้องให้เงินทั้งสองคน
ความเท่าเทียมคือ การแบ่งเงินให้คนละ 2,500
แต่ความยุติธรรมคือ การให้เงินคนจนมากกว่าคนรวย กล่าวคือมีการคำนึงถึงต้นทุนของคน ๆ นั้นก่อนจะให้
นั่นเพราะหากมอบเงินให้เท่ากันตั้งแต่แรกโดยไม่คำนึงถึงต้นทุน นั่นจะไม่ช่วยให้ความเหลื่อมล้ำหรือช่องว่างของทั้งสองคนลดลง แต่หากคำนึงต้นทุนด้วย นั่นจะลดช่องว่างทางฐานะของทั้งสองคนลงกลายเป็นที่มาของคำว่ายุติธรรม
นั่นถึงเป็นเหตุผล ที่ผู้คนปรารถนาความยุติธรรม เพราะสิ่งนั้นใกล้เคียงความสมหวังในความเท่าเทียม
แต่ยังไงก็ดี… ความยุติธรรมที่แท้จริงนั้นยังคงห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่ดี
เพราะต้องอย่าลืม ว่าความยุติธรรมจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมันสามารถเติมเต็มช่องว่างของผู้ขาดแคลนและลดความเหลื่อมล้ำได้จริง
และใช่… ในความเป็นจริงการแบ่งสันปันส่วนนั้น มันไม่ได้ลดช่องว่างลงเลยเสียด้วยซ้ำ เผลอ ๆ อาจขยายช่องว่างให้กว้างขึ้นเสียด้วยซ้ำไป
❖❖❖❖❖
ครั้งแรกที่ฉันได้สัมผัสกับความยุติธรรม มันเมื่อไหร่กันนะ
ไม่สิ… ครั้งแรกที่ฉันเริ่มคิดแบบนี้ มันเมื่อไหร่? นี่น่าจะเป็นคำถามสำคัญกว่า
กับตัวฉันที่เป็นลูกชายของเศรษฐีติดอันดับ 10 ของโลกและได้รับสืบทอดกิจการมา ฉันพูดได้เต็มปากเลยว่าตัวเองรวยล้นฟ้า ไม่มีอะไรที่หาไม่ได้และขาดเหลือในสิ่งใด แม้แต่พลังไนท์ที่แข็งแกร่งเหนือผู้อื่นฉันเองก็ยังมี
และแน่นอน… ด้วยความที่ไม่ขาดเหลือในสิ่งใด ตัวฉันย่อมไม่เคยเรียกร้องหาความยุติธรรม
มันก็แน่นอนอยู่แล้ว… ไม่มีใครเรียกร้องหาสิ่งที่ตัวเองมีอยู่แล้วหรอก และเพราะว่าฉันมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว ฉันถึงไม่เคยเรียกร้องสิ่งใด
ตัวฉันเมื่อก่อนคิดแบบนั้น โดยหารู้ไม่ว่าตัวเราไม่เคยครอบครองสิ่งใดเลย และที่ยิ่งกว่านั้นคือจะไม่มีอะไรอยู่กับเราไปตลอด สิ่งที่ขาดหายจึงเกิดขึ้นได้เสมอ
ตอนที่ฉันตระหนักในเรื่องนั้น คือตอนที่ฉันเริ่มเข้ามาทำธุรกิจในจีน
และได้พบกับผู้หญิงธรรมดาคนนึง…
ในวันนั้นเองก็เป็นวันธรรมดาทั่วไปวันนึง… ฉันแค่เดินไปซื้อของมาทำอาหารกินเอง ไม่ใช่คนรวยทุกคนที่ไม่ชอบไปซื้อของเองหรอกนะ
ยังไงก็ตามวันนั้นเป็นวันที่ฉันถูกกลุ่มอันธพาลเข้ามาขู่เอาเงิน ก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งเจอเป็นครั้งแรกหรอกนะ กลับกันเลย
ฉันเจอสถานการณ์อย่างนี้บ่อย แต่ฉันเองก็ฝึกวิชาการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก เอาตัวรอดจากพวกนี้เองได้ แถมถ้าพวกนั้นกะเอาชีวิตฉันก็มีสิทธิใช้ไนท์ในการป้องกันตัว นั่นเลยเป็นเรื่องปกติสำหรับฉัน
แต่ที่ไม่ปกติสำหรับวันนั้น คือการที่มีผู้หญิงคนนึงปรากฏตัวขึ้น แล้วปกป้องฉันจากการถูกปล้น
“นี่พวกนาย! ไม่รู้รึไงว่าปล้นคนอื่นมันผิดกฎหมายน่ะ!”
เธอพูดแบบนั้นแล้วก็อัดพวกอันธพาลซะอ่วม
ที่ผ่านมาคนอื่น ๆ มักจะดูอยู่ห่าง ๆ
คนที่ห่วงก็มี แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วย ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ และส่วนใหญ่สถานการณ์จะกลับกันเป็นฉันไปช่วยพวกเขาเสียมากกว่า
ดังนั้น การที่มีคนทำแบบนั้นเลยทำให้ฉันรู้สึกสนใจในตัวเธอคนนั้นเป็นอย่างมาก… นั่นคือครั้งแรกที่ฉันรู้จักเฟยหมิง (飛明)
ราวกับเป็นเรื่องบังเอิญที่เฟยอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียง แต่ก็ต้องขอบคุณเรื่องนั้นพวกเราถึงได้เจอกันบ่อยขึ้นหลังเหตุการณ์นั้น
ฉันที่เริ่มสนใจในตัวเธอ จึงพยายามเข้าหาเธอ ก็ไม่ใช่ว่าหวังผลในเชิงชู้สาวอะไรหรอกนะ… อย่างน้อยก็ในตอนแรก
ฉันพยายามปิดบังฐานะของตัวเอง เพราะอยากรู้ว่าเธอคนนี้จริง ๆ แล้วเป็นคนยังไงกันแน่
ทำความรู้จักกับเธอด้วยการไปทานข้าวด้วยกัน ไปช่วยงานเธอที่ร้าน แม้แต่การไปเที่ยวข้างนอกด้วยกันเป็นบางครั้งก็มี ทั้งหมดนั่นช่วยลดระยะห่างระหว่างเราและพัฒนาความสัมพันธ์ของพวกเรามากขึ้นไปเรื่อย ๆ
เพราะแบบนั้นฉันถึงได้รู้เรื่องราวของเธอมากขึ้น
ทั้งเรื่องที่เธอถูกพ่อทิ้งมาตั้งแต่เด็ก ถูกแม่ที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเลี้ยงดูมาด้วยการเปิดร้านขายของ ส่วนตัวเธอนั้นเรียนจบแค่ชั้นมัธยมไม่ได้เรียนต่อเพราะต้องสืบทอดกิจการของแม่
ตอนนี้เธอเลยดูแลร้านขายของชำเล็ก ๆ นั่นต่อจากแม่ รายได้ไม่ได้มากมาย พอถูไถเอาตัวรอดไปได้ แต่ก็มีหลายครั้งที่ไม่พอจ่ายค่าเช่าที่ แถมชุมชนที่เธออยู่ ยังอยู่ใต้การปกครองของมาเฟียกลุ่มนึง ที่ถึงจะไม่ได้มีขนาดใหญ่มากแต่ก็ไม่ใช่น้อย ๆ เช่นกัน
สถานการณ์ของเธอค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะแบบนั้นฉันถึงได้เสนอตัวเข้าช่วยในตอนนั้นพร้อมกับเปิดเผยฐานะของตัวเอง
ช่วงนั้นจำได้ว่าสถานการณ์และความสัมพันธ์ของเราสองคนกำลังเป็นไปได้ด้วยดี เลยคิดว่าเธอต้องยอมให้ช่วยแน่ แต่ว่า…
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะ แต่ไม่เอาหรอก… แบบนั้นมันก็เหมือนฉันหลอกใช้ความใจดีของนายเพื่อเอาตัวรอดเลยน่ะสิ”
เฟยปฏิเสธออกมาแบบนั้น ทำให้ผลลัพธ์ที่คิดไว้กลับตาลปัตรออกมาเป็นคนละแบบกับที่คิดไว้เลย
เธอเป็นคนที่เถรตรงกว่าที่ฉันคิดไว้… ถึงจะมากแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเธอจะถึงขนาดยอมทิ้งทางออกในการเอาตัวรอดเพียงเพื่อทำสิ่งที่ถูกต้อง
แม้จะเป็นแค่การเกรงใจก็ตาม แต่เธอก็เลือกที่จะยืนหยัดเอาตัวรอดด้วยตัวเอง แถมยัง…
“เงินของนายมีค่ามากกว่าจะเอามาใช้แค่กับฉันนะ”
นอกจากปิดทางรอดตัวเอง เธอยังเสนอให้ทำแบบนั้นอีก
แม้มันจะจริงอย่างที่เธอว่า ที่เงินจำนวนเท่ากันมันสามารถนำไปช่วยเหลือคนอื่นได้มากกว่า
ถึงอย่างนั้น… การที่เธอพูดแบบนั้นออกมาได้จากใจ มันช่างน่านับถือและน่ายกย่องในหลาย ๆ ความหมาย
แต่ใครจะรู้… ว่าต่อให้เธอทำตัวแม่พระดีเลิศประเสริฐศรีแค่ไหน แต่พระเจ้ากลับไม่ให้พรคุ้มครองแก่เธอเลย
ในวันธรรมดาอีกวันนึง ที่ฉันไม่คิดว่ามันจะมีอะไรแปลกหรือเปลี่ยนไป ฉันแค่ไปหาเฟยที่ร้านสะดวกซื้อเหมือนทุกวันก็เท่านั้น
แต่สิ่งที่ฉันเจอ คือร้านขายของของเฟยที่ถูกทำลายซะจนไม่เหลือเค้าเดิม ทั้งหน้าร้าน ประตูและชั้นวางของทั้งหมดถูกทำลายด้วยฝีมือมนุษย์อย่างโหดร้ายและทารุณ
แต่เรื่องที่พวกมันทำกับร้าน ยังไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่สุดที่มันทำ
นั่นเพราะพอฉันเข้าไปในร้าน ที่ฉันเจอคือเฟยและแม่ของเธออยู่ในสภาพที่ถูกทำร้าย
แม่ของเธอแน่นิ่งไปแล้ว ส่วนเฟยเหมือนจะถูกคนที่มาทำร้ายปล่อยให้รอดชีวิตแต่ก็หมดสติและอาการแย่เอาเรื่องเหมือนกัน
สติฉันเหมือนจะขาดผึง แต่ก็ยังพอตั้งสติให้ทำเรื่องที่ควรทำก่อนได้
ฉันเรียกคนใช้ของฉันพาทั้งสองคนไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อให้แม่ของเฟยที่อาการหนักสุดรอดชีวิต
แต่ว่า ไอ้โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดนั่น กลับไม่รับพวกเธอเข้ารักษาซะอย่างงั้นนั้น
พวกเขาปฏิเสธคนที่กำลังจะตายต่อหน้า ไม่ใช่สีหน้ารังเกียจแต่เป็นสีหน้าหวาดกลัวต่อบางสิ่ง ไม่ว่าจะถูกฉันต่อว่าหรือขอร้องพวกมันก็ไม่มีท่าทีจะรักษา
ฉันสังหรณ์ใจบางอย่างเลยเรียกเฮลิคอปเตอร์แล้วพาทั้งสองคนไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนที่อยู่นอกเมืองแทน
ทว่าเรื่องโชคร้ายก็คือ การรักษามาถึงช้าไป… แม่ของเฟยอาการทรุดหนักมากจนจากไปหลังเกิดเหตุ 3 ชั่วโมง
ส่วนเฟยเองก็มีอาการสมองบวมโคม่า เธอรอดมาได้ก็เรียกว่าปาฏิหาริย์แล้ว แต่มันก็ทำให้เธอกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราตั้งแต่ตอนนั้น
พอเรื่องมันกลายเป็นแบบนั้น ฉันก็เกิดเลือดขึ้นหน้าแล้วก็กลับไปเอาเรื่องไอ้โรงพยาบาล เพราะคิดว่าถ้ามันรับรักษาทัน แม่ของเฟยคงไม่ต้องมาตาย และเฟยอาจจะไม่ได้อาการหนักขนาดนี้
แล้วหลังจากนั้นแหล่ะที่ฉันได้รับรู้ความจริง… สาเหตุที่โรงพยาบาลที่แรกกลัวจนไม่กล้ารักษาเฟย เพราะถูกมาเฟียเจ้าถิ่นข่มขู่ เจ้าเดียวกับที่เป็นเจ้าหนี้ของเฟยนั่นแหล่ะ
แล้วพอมานึกดู คนที่ทำร้ายเฟยก็คือเจ้าพวกนี้นี่แหล่ะ
พวกมันคงจงใจทำร้ายแม่ของเฟยต่อหน้าเธอเพื่อกดดันเฟย และที่ปล่อยให้เฟยรอดชีวิตก็เพราะยังเก็บเงินค่าเช่าที่และค่าคุ้มครองจากเธอไม่หนำใจ
พอรู้แบบนั้น ฉันก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้าหนักกว่าเดิม นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ฉันบุกไปทำลายแก๊งของพวกมันซะ
และการทำแบบนั้น ทำให้ฉันได้รู้ความจริงเกี่ยวกับระบบในชุมชนที่ไอ้หัวหน้าแก๊งมันสร้างขึ้น
มันเก็บค่าคุ้มครองเป็นรายได้หลัก และควบคุมสาธารณูปโภคทุกอย่างไว้ภายใต้อำนาจของแก๊งมัน
ด้วยเหตุนั้นคนที่ไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองก็จะไม่สามารถใช้งานบริการต่าง ๆ อย่างโรงพยาบาลได้
นอกจากนี้มันยังฮั๊วกับคณะปกครอง ทำให้ไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอีก เพราะแบบนั้นทุกคนในชุมชนรวมถึงเฟยและแม่ของเธอถึงต้องยอมอยู่จ่ายเงินให้มัน
และยังไงก็ตาม เจ้าพวกนั้นมันก็คิดจะเก็บเงินค่าคุ้มครองเฟยไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว ตั้งใจขูดเลือดขูดเนื้อเป็นปลิงไปตลอดชาติ
ดังนั้น ถ้าฉันเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยหนี้สินแทนให้ มาเฟียที่สูญเสียแหล่งรายได้ไปยังไงจะมาเอาเรื่องเธออยู่ดี และเผลอ ๆ มันก็จะเพ่งเล็งมาที่ฉันในฐานะที่ทำตัวมีอำนาจในพื้นที่ของมัน และอยากจะตัดไฟฉันตั้งแต่ต้นลมก็ได้
นั่นถึงเป็นสาเหตุที่เฟยปฏิเสธไม่ให้ฉันช่วย ก็เพราะไม่อยากให้ฉันมาโดนมาเฟียเพ่งเล็ง
หรือก็คือ… เฟยกำลังพยายามช่วยฉันอยู่
แต่ฉันก็กลับทำลายความหวังดีของเฟยไปซะแล้ว นั่นเพราะถึงฉันจะทำลายแก๊งมาเฟียไปแล้ว แต่นั่นก็ทำให้พวกคณะปกครองที่พ่วงผลประโยชน์กับแก๊งมาเฟียอยู่โมโหตามไปด้วย
ผลลัพธ์เลยทำให้ธุรกิจในจีนของฉันเองก็เจ๊งไม่เป็นท่า แต่ในกรณีนี้ฉันทำอะไรไม่ได้ เพราะถ้าไปยุ่งกับพวกมัน ก็จะต้องต่อสู้กับพวกที่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดก็คงต้องสู้กับทั้งประเทศ
เรื่องของฉันนั้นยังไงก็ช่าง แต่ยิ่งรู้เรื่องของเฟยแบบนั้นฉันยิ่งรู้สึกทรมาน…
พอคิดว่าสิ่งที่เธอเผชิญมันช่างไม่เหมาะสมกับสิ่งที่เธอสมควรได้แล้ว ที่ยิ่งกว่านั้นคือมีแต่เรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นกับเธอมาตลอดทั้งที่เธอทำเพื่อคนอื่น เห็นแก่ฉันมากกว่าตัวเอง
นั่นถึงเป็นครั้งแรกที่ฉันได้รับรู้ถึง ‘ความไม่ยุติธรรม’ ที่มันเกิดขึ้นกับเธอ… และทำให้ฉันรู้สึกแบบเดียวกันตามไปด้วย
แล้วพอคิดว่าถ้าเธอตื่นขึ้นมาแล้วต้องรับความจริงที่ว่าแม่ของเธอตายแล้ว ร้านของเธอที่เป็นแหล่งรายได้พังไม่เป็นท่า และอาจจะไม่มีที่อยู่สำหรับเธออีกต่อไปแล้ว ฉันยิ่งรู้สึกหงุดหงิดกับความไม่เป็นธรรมที่เธอได้รับทั้งที่ความจริงมันไม่ควรเกิดขึ้น
ไม่สิ… ก่อนจะคิดถึงเรื่องนั้น การที่เราทำให้พวกคณะปกครองโมโห มันอาจส่งผลให้เฟยไม่อาจรักษาตัวต่อในโรงพยาบาลก็ได้ ฉันถึงคิดที่จะหนี แม้มันจะไม่ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุก็ตามที
ตัวฉันที่คิดอะไรไม่ออก ได้แต่ด่าทอความอยุติธรรมของโลกใบนี้อย่างไร้ประโยชน์
ในตอนนั้นเองที่ฉันได้พบกับทางสว่าง… ได้พบกับท่านชงหยวน
“นายเองสินะ คนที่ทำลายแก๊งมังกรเงินด้วยตัวคนเดียว… แข็งแกร่งไม่ใช่เล่นเลยนี่นา” ใครจะรู้ว่านั่นคือคำพูดของแรกของเธอ แต่แค่นั้นกก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเธอต้องการความแข็งแกร่งของฉันในการบรรลุเป้าหมายของเธอ
จากนั้นเธอก็บอกว่าตัวเองรู้สถานการณ์ของฉันและเฟยแล้ว พูดให้ถูก… เพราะรู้นั่นแหล่ะเธอถึงได้มาหาและยื่นข้อเสนอให้กับฉัน
“เฟยจะได้รับความคุ้มครอง และความคับข้องใจในความยุติธรรมของนายจะถูกทำลายให้สิ้น ด้วยเจตจำนงของฉันคนนี้”
เธอประกาศกร้าวแบบนั้นหลังจากอธิบายเรื่องศึกชิงสิทธิในการปกครองโลก และยื่นข้อเสนอในการปกป้องเฟยให้กับฉัน
และนอกจากนี้ เธอยังอธิบายโลกทัศน์ที่ตัวเองปรารถนาให้ฟัง
“ฉันเองก็เกลียดความไม่เท่าเทียมเหมือนกับเธอนั่นแหล่ะ… เพราะงั้นเมื่อฉันได้ครองโลก ฉันจะขอบบนของทรัพย์สินทุกอย่าง แล้วสร้างระบบแชร์ริ่งที่จะบังคับแบ่งทรัพยากรของคนที่มีเกินขอบบนเฉลี่ยให้กับคนที่มีน้อยกว่า”
ด้วยวิธีนั้น เธอบอกว่าอำนาจของผู้คนจะถูกจำกัด ไม่ว่าจะพยายามมากขนาดไหนก็จะไม่รวยหรือมีอำนาจล้นพ้นคนอื่นสูงกว่าค่าเฉลี่ยมากมากมหาศาลเหมือนอย่างที่เป็นอยู่
และเมื่อมนุษย์แสวงหาทรัพยากรน้อยลง ความโลภที่น้อยลงจะลดความกระตือรือร้นในการแสวงหาอย่างไร้กฎเกณฑ์
และแน่นอน… มนุษย์เรานั้นทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความคิดพื้นฐานคือทำเพื่อตัวเอง
ดังนั้น ถ้าพวกคนที่มีอำนาจหรือเงินหนาในปัจจุบันรู้ว่าถึงพยายามหาเงินเยอะ ๆ มากแค่ไหนมันก็ถูกแบ่งให้คนอื่นอยู่ดีล่ะก็ เขาย่อมไม่แสวงหามันมากขึ้นอย่างแน่นอน
ด้วยวิธีนั้นเป็นหลัก ความรุนแรงและการแย่งชิงผู้ที่อยู่ต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารของผู้ที่อยู่จุดสูงสุดจะลดลงอย่างไม่อาจเลี่ยง
ช่องว่างความเหลื่อมล้ำจะลดลงและความยุติธรรมจะถูกสร้างขึ้นใหม่หลังผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ในความคิดของเธอ
ในขณะที่ฟังโลกทัศน์ตามความปรารถนาจากปากของเธอ ฉันเองก็สงสัยว่าเธอคนนี้เชื่อถือได้หรือไม่
แต่ว่า… ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นสายตาของใครที่แสดงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าออกมาขนาดนี้
ในสายตาของเธอไม่มีสิ่งอื่นใดสะท้อนออกมานอกจากโลกในอุดมคติที่เธอวาดไว้
อาจเพราะสัมผัสได้ถึงความจริงจังนั้น ฉันถึงได้ตอบรับข้อเสนอของท่านชงหยวน
แต่แน่นอน ว่าที่ตอบรับไปก็เป็นเพราะปรารถนาในโลกอย่างเดียวกับที่ท่านชงหยวนปรารถนา
หากสร้างโลกที่ความเท่าเทียมใกล้เคียงจะเป็นจริง และความยุติธรรมเกิดขึ้นได้จากการลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำ
บางทีในโลกแบบนั้น อาจเป็นโลกที่เฟยได้ในสิ่งที่เธอควรได้ และมีความสุขอย่างที่เธอควรจะเป็นก็ได้———
“นั่งคิดอะไรอยู่คนเดียวล่ะนั่น?”
เคนเนธเอ่ยถามจินที่นั่งอยู่บนเตียงในห้องส่วนตัวหลังเขาแยกมาจากชงหยวน
เป็นช่วงเดียวกับที่เคนเนธเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จแล้วจินกำลังจะไปอาบน้ำต่อและเตรียมตัวเข้านอนเพื่อการทัศนศึกษาในวันพรุ่งนี้
แต่ก็อย่างที่รู้… ว่าการทัศนศึกษาไม่ได้อยู่ในหัวของจินเลยสักนิด
สิ่งที่อยู่ในหัวของเขา มีเพียงการเฝ้าระวังชินที่นอนอยู่บนเตียงถัดไปจากเขา กับศึกชิงดินแดนเพื่อบรรลุเป้าหมายในการยึดครองโลกของราชาของเขาอย่างชงหยวนเท่านั้น
อาจเพราะเขากำลังคิดเรื่องนั้นอยู่ มันถึงทำให้เขาคิดเหม่อไปถึงเรื่องที่ได้พบกับชงหยวนเป็นครั้งแรกแบบนั้นเพื่อย้ำเตือนตัวเองว่าทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่ในฐานะของอัศวิน
“กำลังตื่นเต้นเรื่องที่จะไปเที่ยวอิสระพรุ่งนี้อยู่น่ะ”
“โกหกไม่เนียนเลยนะนาย” คำพูดของจินไม่เนียนถึงขนาดที่เคนเนธยังดูออก เขาคงตระหนักแล้วว่าการเปลี่ยนมาเป็นคนกระตือรือร้นกับการเที่ยวตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว
“แต่เอาเถอะ บางทีนายอาจจะแค่ยังไม่ชินก็ได้ ยังไงถ้ามีอะไรก็มาคุยกันได้นะพวก ฉันยินดีเป็นเพื่อนคุยเสมอ”
“ขอบใจนะ”
ได้ยินเคนเนธพูดแบบนั้น แม้แต่จินเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา อย่างน้อยก็รู้สึกว่าเป็นคนที่ไว้วางใจได้ ถ้าได้พบกันสถานการณ์อื่นบางเขาอาจเป็นเพื่อนที่ดีไม่น้อย
แต่แน่นอนว่าในสถานการณ์นี้ จินทำได้แค่พูดขอบคุณกลับไปเท่านั้น ทั้งเพราะไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากเสวนา
ตอนนี้ เจ้าพวกนั้นจะเป็นยังไงกันบ้างนะ
รวมถึง… สถานการณ์ในตอนนี้ของพวกพ้อง ก็พาลให้เขานึกถึงเรื่องศึกในคืนนี้มากกว่าเช่นกัน
❖❖❖❖❖
———— ในเวลาเดียวกัน , ห่างออกไปจากศูนย์กลางของเมืองหลายกิโลเมตร
ช่วงเดียวกับที่จินกำลังคุยอยู่กับเคนเนธ และเป็นช่วงเดียวกับที่แองกริคราวน์และโกลเด้นด็อกกำลังถูกไล่ล่าจากการถูกตั้งค่าหัว
ในจุดที่ไม่มีใครอยู่ ในสถานที่ที่ไม่มีใครมองเห็น… ในย่านการค้าเก่าที่ถูกทิ้งร้างแห่งหนึ่ง อันไม่ควรจะมีใครอยู่ ที่แห่งนั้นกลับเกิดเสียงปะทะกันอย่างที่ไม่ควรจะเกิด นอกเหนือจากนั้นยังเป็นเสียงปะทะกันของเหล็กและหมัดยิ่งน่าฉงนเข้าไปใหญ่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นถึงกำเนิดเสียงแบบนั้นขึ้นมาได้
…และถ้ายิ่งมาเห็น ว่าคนที่ให้กำเนิดเสียงเหล่านี้สวมหน้ากากประหลาด ๆ คงยิ่งรู้สึกแปลกเข้าไปใหญ่ และคงรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเมื่อรู้ว่าการต่อสู้ของคนพวกนี้เป็นศึกตัดสินชะตาของโลกอันเป็นผลมาจากการ
สถานการณ์ของศึกในรอบนี้เป็นศึกแบบ 3 ต่อ 1 ระหว่างอัศวินของประเทศเขต 86 (จีน) และอัศวินของเจ้าถิ่น
ทางฝ่ายเยือนประกอบด้วย ‘ทู่ (กระต่าย)’ ผู้เคยปะทะและมีฝีมือสูสีกับเกวน ‘หนิว (วัว)’ อัศวินของชงหยวนอันดับต้น ๆ ผู้มีฝีมือเทียบเคียงกับจิน
และสุดท้ายคือ ‘หลง (มังกร)’ อัศวินผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของชงหยวน
ทุกคนต่างอยู่ในชุดพร้อมรบและอาวุธประจำกายเช่นเคย สำหรับทู่กับหลงใช้ศิลปะการป้องกันตัวเช่นกังฟูจึงมีแค่สนับมือเท่านั้น คงมีแต่หนิวที่ถือขวานยักษ์ประจำกาย
“มากันเต็มกำลังขนาดนี้ ดูเหมือนจะตั้งใจยึดเต็มที่เลยสินะ”
ในขณะที่เจ้าบ้านนั้นสวมชุดเกราะหนาให้อารมณ์เหมือนอัศวินย้อนยุคของจริง ตัวเขานั้นไม่ได้สวมหน้ากากแบบเดียวกับพวกที่มาบุก แต่เป็นหน้ากากโฮโลแกรมแบบครอบหัวที่สามารถเปิดปิดได้ ภาพโฮโลแกรมที่ฉายแบบสามมิตินั้นเป็นรูปร่างของหมวกเกราะโบราณเกือบจะกลมกลืนกับเกราะที่เขาสวม
มากกว่านั้นคือดาบยาวสองคมที่ถืออยู่ในมือขวา ยิ่งช่วยเสริมภาพของความเป็นอัศวินเข้าไปอีก
จังหวะที่เขาเงื้อดาบขึ้นทำให้พวกหลงตั้งท่าเตรียมโจมตี แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้ตั้งใจจะโจมตีเพราะจังหวะถัดมาเขาปักปลายดาบลงกับพื้นแล้ววางมือทั้งสองบนด้ามดาบก่อนจะแอ่นอกอย่างสง่าผ่าเผย
“นามของข้าคือ ‘เซอร์เคย์’ หนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมของราชันย์อาเธอร์… ในนามของอัศวินผู้ปกครองดินแดนฝรั่งเศส ข้าขอท้าสู้พวกเจ้า!”
อัศวินผู้เป็นฝ่ายเหย้าของศึก… เคย์อัศวินผู้ปกครองฝรั่งเศสเจ้าถิ่นลั่นวาจาท้ารบอย่างองอาจและสมศักดิ์ศรีอัศวินดังที่เรียกตัวเอง คำพูดของเขานอกจากข่มขวัญศัตรูได้แล้ว ท่าทางอันมั่นคงไร้ความหวาดกลัวของเขายังทำให้ฝ่ายที่เข้ามารุมรู้สึกอับอายตามไปด้วย
“ยอดเยี่ยมนัก… แม้จะเป็นศัตรูแต่ฉันขอสรรเสริญความกล้าหาญของนาย” อาจเพราะทนไม่ได้กับความอับอายแม้จะเป็นคำสั่งของราชาตัวเองอย่างชงหยวนให้ทำทุกวิถีทางเพื่อชิงดินแดน เขาถึงได้ก้าวออกมานำหนิวและทู่ พร้อมกับตั้งท่าเตรียมต่อสู้อยู่คนเดียว
“ข้าขอท้าดวลกับเจ้าแบบหนึ่งต่อหนึ่ง” ก่อนที่จะพูดแบบนั้นออกมา ดูท่ามนุษย์มังกรเผ่าดรากูนผู้นี้เองก็หยิ่งในศักดิ์ศรีไม่เบา
“ย่อมได้ ถึงข้าจะไม่เกี่ยงเรื่องจำนวนก็เถอะนะ”
และแน่นอนว่าเคย์ไม่ปฏิเสธคำขอท้าดวลของหลง และแม้คำพูดของเขาจะดูเหมือนหยิ่งยะโส แต่พวกหลงกลับสัมผัสได้ว่าคำพูดนั้นไม่ได้พูดเพราะหยิ่งหรือเพื่อข่มขู่
อย่างไรก็ดี การพิสูจน์เรื่องนั้นคือการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเจ้าตัว และไม่มีวิธีพิสูจน์ไหนดีไปกว่าการปะทะกันอีกแล้ว
เพื่อไม่ให้เสียเวลาในจุดนั้น หลงก็ถีบพื้นพุ่งเข้าหาเคย์ในทันที และเป็นจังหวะเดียวกับเคย์เองก็ชักดาบขึ้นจากพื้นมาอยู่ในท่าที่เตรียมพร้อมจะโจมตีเช่นกัน
คมดาบวิ่งเข้าหาหลงที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ด้วยร่างกายอันใหญ่โตของหลงไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะหลบได้ แต่แน่นอนว่าเขาทำได้ ช่องว่างเพียงเล็กน้อยที่เขาสร้างขึ้นจากการพลิกตัวหลบยังเปิดโอกาสให้เขาสวนหมัดใส่เคย์กลับไปได้อีกหมัดนึง ทว่าทางเคย์เองก็ขยับเอี้ยวร่างท่อนบนหลบได้อย่างฉิวเฉียด แล้วก็ใช้ร่างกายท่อนบนนั่นแหล่ะกระแทกเข้าใส่หลงจนเขาต้องถอยออกมาตั้งหลักก่อน
“ไม่เลว…” การโจมตีแรกไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดไว้ ทำให้หลงรู้ว่าตัวเองประเมินความแข็งแกร่งของศัตรูผิดไป
“ไม่เลวเลย!!!”
เพราะแบบนั้นเขาถึงได้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ในฐานะนักสู้ผู้กระหายความแข็งแกร่งและการต่อสู้ที่คู่ควร เขาใช้เทคนิคการ ‘ผสานจิต’ กับเกล็ดมังกรอบร่างกายของตัวเองพร้อมกับที่เผยตราอัศวินขึ้นมาเพื่อดึงดูด ‘จิต’ ให้เป็นพลังของตัวเอง ทำให้ออร่าสีแดงเพลิงอาบไปทั่วร่าง
“เจ้าเองก็เช่นกัน” ทางเคย์เองก็ไม่น้อยหน้า เขาเรียกตราอัศวินของตัวเองฉายตราสีแดงอิมพีเรียล และเปลี่ยนไปอาบใบดาบของตัวเอง
ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในสถานะเอาจริงแล้วไม่มากก็น้อย บรรยากาศที่แผ่ออกมาถึงได้รู้สึกกดดันไปทั่วทุกสารทิศไม่แม้แต่สำหรับพวกเดียวกันอย่างหนิวและทู่
ทั้งสองคนพุ่งเข้าใส่กันอีกครั้ง ในจังหวะที่เข้าประชิดต่างฝ่ายต่างก็กระหน่ำการโจมตีใส่กันรัวเป็นชุดราวปืนกล ด้วยพลังของการผสานจิตทำให้ความสามารถทางกายภาพเพิ่มสูงขึ้นเหนือมนุษย์หลายเท่าจนเทียบไม่ติด ถึงได้สร้างภาพการโมตีที่เหนือจินตนาการแบบนี้ขึ้นมาได้
แต่ว่า…
“เร็วได้เท่านี้งั้นเหรอ? อัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดของ ‘ฮ่องเต้’ ”
ฝ่ายที่ค่อย ๆ ช้าลงคือหลง ทำให้เคย์ถามอออกมา คำพูดของเขาดูเย้ยหยัน แต่ ณ จุดนี้คงปฏิเสธไม่ได้ในเมื่อมันคือความจริง
ไม่สิ… มันก็ไม่ใช่ความจริงเสียทีเดียว
ไม่ใช่ว่าฉันช้าลง… แต่มันเร็วขึ้นต่างหาก!
หลงรู้ความจริงข้อนั้น จึงตัดสินใจถอยออกมาตั้งหลัก
แต่ในจังหวะที่ตัดสินใจแบบนั้น เคย์ก็สะบัดดาบใส่เฉี่ยวใบหน้าของเขาไป ฝากรอยแผลไว้บริเวณแก้มจนหน้ากากแตก แน่นอนว่าทิ้งการบาดเจ็บไว้บนใบหน้าของหลงเสียด้วย
หมายความว่ายังไง… ทำไมมันถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้
หลงสบถอยู่ในใจ ไม่ใช่เพราะความไม่พอใจในฐานะของนักสู้ เขาไม่คิดจะแก้ตัวเมื่ออีกฝ่ายอ่อนแอกว่าอยู่แล้ว ดังนั้น ที่เขาสบถออกมา มันเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจต่างหาก
แน่นอนถ้าคำนึงตามสถานการณ์ปกติ… พลังจากตราไม่ว่าจะเป็นอัศวินหรือราชันย์เมื่ออยู่ในดินแดนของตัวเองย่อมดูดซับจิตได้มากและส่งผลให้มีความแข็งแกร่งสูงกว่าศัตรูเป็นธรรมดา
หลงนั้นมีประสบการณ์ต่อสู้ในฐานะอัศวินโชกโชนที่สุดในกลุ่ม หรืออาจเรียกได้ว่ามีประสบการณ์มากเป็นอันดับต้น ๆ ของศึกชิงสิทธิปกครองโลกในสมัยปัจจุบัน
เขาถึงพอจะคาดคะเนได้จากอัตราการเพิ่มขึ้นของจิตอีกฝ่าย ว่ามันมีอัตราสูงมากผิดปกติแม้จะเทียบกับอัศวินทั่วไปที่อยู่ในแดนตัวเองคนอื่นก็ตาม
เพราะแบบนั้นเขาถึงตัดสินใจถอยออกมาก่อน ซึ่งนั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว
“เริ่มสังเกตเห็นแล้วสินะ” เคย์พูดแบบนั้นราวกับอ่านใจของหลงได้
แต่แน่นอน ว่าเขาไม่มีทางบอกหรอกว่าตัวเองใช้วิธีไหนถึงได้แข็งแกร่งและสร้างอัตราการดูดซับจิตได้สูงกว่าอัศวินทั่วไป
“พวกเจ้าคงตกใจล่ะสินะ ถึงพลังที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองขนาดนี้… แต่ว่า!!!”
วูม!!!
ราวกับต้องการแสดงให้เห็นเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง ออร่าสีแดงอิมพีเรียลที่คลุมใบดาบอยู่หนนี้ครอบคลุมเกราะเหล็กของตนจนคล้ายกับทั้งร่างอาบออร่าสีแดงนั้นอยู่
การผสานจิตกับเกราะนั้นไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาด แต่เรื่องที่สร้างความสนใจและแปลกจิตให้กับพวกหลงคือการที่เขาเริ่มผสานจิตกับร่างกายของตัวเองตรง ๆ เท่านั้นยังไม่พอ ปริมาณของออร่าที่พวยพุ่งออกมายังมีปริมาณมากมายมหาศาลเกินกว่าที่อัศวินทั่วไปควรจะมีอีกด้วย
แม้ไม่อยากจะเปรียบเทียบ… แต่หลง หนิวและทู่ต่างก็เข้าใจดีว่ามันคงเปรียบเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากพลังของตราราชันย์ ทั้งที่ตราสัญลักษณ์บนหลังมือของเขาที่ปรากฏขึ้นเป็นตราของอัศวินไม่ผิดแน่
เพราะรู้เรื่องนั้น ความคิดที่จะสู้แบบตัวต่อตัวจึงออกจากหัวของหลิวไปแล้ว ก่อนที่ทั้งสามคนจะเตรียมพร้อมจู่โจมเคย์ที่อยู่ในสภาพเดียวกับผู้ถือครองตราราชันย์
ทางเคย์พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สนเรื่องศักดิ์ศรีแล้วก็ได้แต่ยักไหล่ แต่เขาก็ไม่ยี่หระอย่างใด เขายังคงแนะนำตัวประกาศศึกเหมือนกับว่ามันไม่มีผลทำให้เขารู้สึกกลัวเลยสักนิด
“ข้าขอแนะนำตัวอีกครั้ง… ข้าคือเซอร์เคย์ อัศวินที่อยู่ลำดับต่ำที่สุดของราชันย์อาร์เธอร์” ยิ่งชายคนนี้เผยความจริงของตัวเองออกมามากเท่าไหร่ ดูเหมือนมันจะยิ่งทำให้พวกหลงรู้สึกเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น
และแน่นอนว่าการได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอัศวินที่อ่อนแอที่สุด ทั้งที่ความแข็งแกร่งของมันเทียบเท่ากับตราราชันย์ตอนที่ดูดซับจิต มันค่อนข้างทำลายกำลังใจของพวกหลงไม่น้อย
“เข้ามาผู้บุกรุกเอ๋ย! ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เอง!!!” เคย์ตะโกนลั่นอย่างองอาจ ท่าทีหนักแน่นมั่นคงสมนามอัศวินไม่แปรเปลี่ยนไปจากหนแรกที่ปรากฏกาย
แต่ต่อให้อีกฝ่ายแข็งแกร่งและองอาจเพียงใด ฝ่ายหลงเองก็ไม่อาจยอมแพ้พ่ายไปทั้งอย่างนี้ได้
เพราะแบบนั้น แม้จะยังไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังความแข็งแกร่งของศัตรู… แต่ทั้งสามคนก็ยังเผชิญหน้ากับตัวตนปริศนาที่อยู่ตรงหน้าตามเจตจำนงของตน