ตอนที่ 35: สถานการณ์ที่เริ่มผิดปกติ
หลังจากใช้เวลาจัดข้าวของเข้าห้องพัก เมื่อถึงเวลาตามกำหนดการณ์ทุกคนก็ต้องกลับมารวมกลุ่มกันที่ห้องโถงของโรงแรมเพื่อเริ่มต้นการทัศนศึกษาของจริงกันเสียที
กำหนดการณ์ในช่วงบ่ายของวันแรกนั้นเป็นการทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ออร์แซ ส่วนมื้อเย็นในวันแรกนั้นเป็นการกลับมาทานที่โรงแรมเพื่อให้นักเรียนทุกคนมีเวลาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ที่ต้องอยู่ไปอีก 3 วันในช่วงเวลาเย็นจนถึงก่อนนอน
สำหรับการทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ออร์แซ อันเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทรงคุณค่าขึ้นรถโดยสารที่จองไว้แล้วสำหรับทัวร์เป็นหมู่คณะทำให้ใช้เวลาไม่นานนักในการเดินทาง และหากจะนับกันจริง ๆ ยังใช้เวลาน้อยกว่าในการจัดแถวทั้งตอนขึ้นและหลังลงรถรวมกันเสียอีก แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่ทัวร์อิสระแต่เป็นการท่องเที่ยวเพื่อศึกษา ย่อมต้องเคร่งครัดกับระเบียบวินัย นั่นถึงทำให้ใครหลายคนรู้สึกอึดอัดไม่พอใจอย่างไม่อาจเลี่ยง
และหากคำนึงถึงสถานที่ที่ทุกคนกำลังมาทัศนศึกษาแล้ว สิ่งบันเทิงเริงใจสำหรับพิพิธภัณฑ์ออร์แซส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดถูกจัดอยู่ในหมวดของผลงานศิลปะ
“…น่าเบื่อ”
นั่นถึงเป็นเหตุผล ที่การเคร่งครัดกับกฎระเบียบเลยเที่ยวเล่นตามใจชอบไม่ได้ตามหลักของการทัศนศึกษา บวกกับการบังคับกราย ๆ ให้ดูงานศิลปะถึงได้ทำให้คนอย่างเคนเนธบ่นโอดครวญเช่นนี้
อนึ่ง ตอนนี้กลุ่มของชิน เคนเนธ เกวน โอลิเวีย ซูซานและจิน รวมเป็น 6 คนของกลุ่มย่อยทัศนศึกษากำลังเดินชมภาพศิลป์ตามเส้นทางนิทรรศการในช่วงเวลาปกติ กล่าวคือเป็นเวลาที่คนทั่วไปเองก็กำลังเข้ามาชมงานศิลป์เช่นกัน
“นายเนี่ยนะ เก็บอาการหน่อยสิ มันเสียมารยาทไม่ใช่รึไง?” ชินพูดเตือนพร้อม ๆ กับกระทุ้งศอกใส่เอวของเคนเนธ เพราะคำพูดของเขาทำให้ชาวพื้นเมืองที่มาดูงานศิลป์ใกล้ ๆ รู้สึกไม่ดี ไม่จากคำพูดแต่รวมถึงท่าทางการแสดงออกของเคนเนธ
และถึงเคนเนธจะบ่นเป็นเด็กน้อย แต่พอถูกชินเตือนเขาก็ก้มหัวขอโทษชาวพื้นเมืองอย่างตรงไปตรงมา
…ถึงหลังจากนั้นพอเห็นว่าไม่คนอื่นอยู่ใกล้ ๆ แล้วเขาจะถอนหายใจออกมาอีกรอบก็ตาม
“ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจหรอกเนาะ… ก็งานศิลป์มันไม่ได้เหมาะกับทุกคนนี่นา” เกวนว่าแบบนั้น แต่อันที่จริงไม่ใช่ว่าเธอเข้าไม่ถึงความงามของศิลปะ หากแต่เป็นเพราะว่าเธอสงสารเคนเนธอยู่ต่างหาก
“แหม ๆ… เรื่องนั้นมันก็ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ เพราะในประเทศที่ค่าครองชีพต่ำ คนเขาก็ไม่ค่อยมีเวลามาสนใจศิลปะกันหรอก”
“เฮ้ย ๆ แบบนั้นมันแอบด่ากันนี่นา”
“ใจเย็นก่อนน่าทั้งสองคน”
แล้วจู่ ๆ ซูซานก็เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมา โดยเจตนาของเธอก็แค่แสดงสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดอยู่อย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น และต่อให้เรื่องที่พูดออกมาจะเป็นเรื่องจริงแต่สำหรับคนที่ถูกพูดใส่ก็นับได้ว่าเป็นการเหยียดหยามเอาการ
การที่เคนเนธโกรธจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ชินถึงได้พยายามประนีประนอมโดยเฉพาะเคนเนธ เพราะเขารู้ดีที่สุดว่าซูซานเป็นคนยังไง กับนิสัยไม่ยอมคนของเธอพูดไปก็เกือบ ๆ จะป่วยการ จึงเป็นการฉลาดกว่าหากทำให้เคนเนธใจเย็นลงเพื่อจบเรื่องแทน
“ที่ซูซานพูดก็ไม่ผิดหรอก แต่ฉันว่าท้ายสุดแล้วมันก็เป็นเรื่องของรสนิยมอยู่ดีนั่นแหล่ะ… จะเหมารวมว่าคุณภาพชีวิตจะเป็นตัวกำหนดความชอบในศิลปะมันก็เกินไปหน่อยนะ”
“โห? ยกตัวอย่างเช่นอะไรคะ?” ซูซานไม่มีแผนที่จะยอมผ่อนปรนแม้ชินจะเป็นคนออกปากเอง
แต่อย่างน้อย ชินก็สามารถเบี่ยงประเด็นเปลี่ยนคู่สนทนาจากเคนเนธเป็นเขาได้แล้ว เพียงแค่นี้ก็คงไม่เกิดการกระทบกระทั่งขึ้นซึ่งก็ถือว่าเป็นไปตามแผนของชินอยู่ดี ทว่าก็แลกกับการที่ต้องตกเป็นฝ่ายวุ่นวายใจแทน
“มันก็แหงอยู่แล้ว! ต่อให้เป็นในประเทศนี้ คนให้ความสำคัญกับอาหารมากกว่าภาพสวย ๆ พวกนี้ก็มีอยู่นะ!” แต่ถึงชินจะพยายามพูดขั้นขึ้นมา เคนเนธก็ยังไม่ยอมแพ้แล้วแทรกตัวเข้ามาเถียงกับซูซานต่อเสียอย่างนั้น
“ถึงจะพูดงั้นก็เถอะ… มันก็แค่เปลี่ยนจากการเสพความงามทางการมองเป็นการเสพรสชาติอาหารเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ? ถึงจะเป็นเรื่องของรสนิยมจริงอย่างที่ชินว่า แต่ก็หนีความจริงเรื่องที่ว่า คนที่จะมีเวลาว่างเสพเรื่องพวกนี้ได้ก็มีแต่คนมีอันจะกินเท่านั้นแหล่ะ จริงไหมคะ?”
“เรื่องนั้นมันก็…”
การขยายความของซูซานทำให้เคนเนธไม่รู้จะเถียงอะไรกลับไป และอันที่จริงเรื่องที่ซูซานพูดก็เป็นเรื่องเดียวกับก่อนหน้านี้แทบทุกใจความ ยิ่งทำให้เคนเนธเถียงไม่ออกเข้าไปใหญ่
แต่แทนที่เคนเนธจะโกรธจนขึ้นเสียงหรืออะไรทำนองนั้นซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่จะทำเมื่อโต้เถียงด้วยเหตุผลไม่ชนะ เขากลับหันมาทางชินแล้วทำหน้าทำตาขอร้องแทนเสียอย่างนั้น
‘ช่วยฉันด้วย ชิน!’ บนใบหน้าทำเป็นออดอ้อนของเคนเนธเหมือนจะมีประโยคนั้นเขียนอยู่ ชินเลยถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ที่เธอพูดแบบนั้นมันก็ถูกเป็นส่วนใหญ่… แต่เธอก็รู้อยู่นี่ว่ามีศิลปินหลายคนที่ไม่ได้มีพื้นเพมาจากคนมีอันจะกิน ถ้าเป็นเธอคงไม่ต้องให้ฉันยกตัวอย่างหรอกใช่ไหม?”
“ไม่รู้จักคนแบบนั้นเลยค่า” ซูซานทำท่าทางไร้เดียงสา ทำเป็นกลบเกลื่อนเรื่องที่ชินพูด อย่างไรก็ดีถึงชินจะรู้อยู่แล้วว่าคนที่มีความรอบรู้ในระดับหนึ่งอย่างเธอไม่มีทางไม่รู้จักกลุ่มคนจำพวกที่ว่า ชินถึงได้เลือกจะพูดต่อ
“เพราะงั้น ที่ก่อนหน้านี้เธอพูดว่า ‘คนที่ชอบงานศิลป์เป็นคนมีอันจะกิน’ ถ้าจะเอาให้ถูกต้องจริง ๆ มันควรจะเป็น ‘คนที่ชอบงานศิลป์ส่วนใหญ่เป็นคนมีอันจะกิน’ มากกว่า” ชินพูดจบแล้วก็หันไปทางเคนเนธต่อ
“แล้วก็นะ มันไม่ใช่เรื่องที่นายควรจะโกรธด้วยนะ… เพราะถึงจะเป็นเรื่องจริงที่คนส่วนใหญ่ที่ชอบงานศิลป์จะเป็นคนมีอันจะกิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่ชอบงานศิลป์จะเป็นคนไม่มีอันจะกินซะหน่อยนี่ ถูกไหม?”
“เออเนาะ จะว่าไปมันก็จริงแฮะ? แล้วฉันจะโกรธเธอทำไมเนี่ย ฮะฮะฮ่า!”
การแก้ความเข้าใจผิดของชินดูเหมือนจะได้ผล ถึงได้ทำให้เคนเนธหัวเราะออกเหมือนตัวเองโกรธอะไรไร้เหตุผลไป ซึ่งการที่จบแบบนี้มันเป็นเรื่องดีเอามาก ๆ จนชินถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจและรอยยิ้มเล็ก ๆ
…แต่ในทางกลับกัน เหมือนว่าซูซานเองจะไม่ค่อยพอใจกับบทสรุปที่ทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ชนะแบบนี้เสียเท่าไหร่
“เหนื่อยหน่อยนะ”
“ไม่หน่อยหรอก เหนื่อยสุด ๆ เลย”
ถึงจะเหนื่อย แต่ชินก็ยังมีอารมณ์พูดล้อเล่นกับเกวนที่แอบกระซิบให้กำลังใจเขาได้อยู่
ยังไงก็ตาม ในเวลาเดียวกันชินก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจเล็ก ๆ ของโอลิเวียที่กำลังมองมาทางเขาด้วยสายตานิ่งสงบเหมือนทุกที แต่หากถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเธอกำลังไม่พอใจอยู่เล็กน้อยนั้น คนที่สามารถสังเกตจุดเปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นได้คงจะมีแค่ชินเท่านั้นแหล่ะ
“แต่เอาเถอะ พอได้ยินที่ชินว่า ฉันคงไปนั่งแช่แอร์เย็น ๆ ในร้านกาแฟได้แบบไม่ต้องรู้สึกผิดแล้วสินะ” เคนเนธพูดจบด้วยรอยยิ้มระรื่นอย่างปากว่า แล้วก็เดินจ้ำอ้าวออกจากกลุ่มไปทั้งอย่างนั้นเลยเสียอย่างนั้น
“นายเนี่ยนะ”
โดยมีชินถอนหายใจไล่หลังเขาไปแบบนั้น แต่แน่นอนว่าไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจของเคนเนธได้ และพอมาคิดดู เดิมทีเคนเนธก็อาจจะอยากไปนั่งเล่นร้านกาแฟอยู่ตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้ เขาถึงได้บ่นว่า ‘เบื่อ’ ออกมาแบบนั้น
“เอาเถอะค่ะ การจะไปบังคับคนอื่นให้ทำในสิ่งที่เขาไม่อยากทำมันก็ยากอยู่แล้วล่ะค่ะ” โอลิเวียได้จังหวะก็พูดแบบนั้นขึ้นมา ความรู้สึกส่วนใหญ่ก็เพราะไม่อยากให้ชินรู้สึกผิดหรือล้มเหลว
“ก็นั่นแหล่ะค่ะ แทนที่จะรั้งเอาไว้ สู้ให้เขาไปทำอะไรที่มันมีความสุขดีกว่า”
แล้วคนที่พูดแบบนั้นขึ้นมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นซูซานคนที่จุดประเด็นทำให้เคนเนธตัดสินใจหนีไปนั่งร้านกาแฟได้ง่ายกว่าเดิม การที่พูดแบบนั้นออกมาได้ทั้งที่ตัวเองเป็นต้นเหตุ ไม่ว่าใครก็ไม่ยากที่จะเดาเลยว่า…
“ซูซาน… เธอจงใจพูดแบบนั้นเหรอ?”
เรื่องนั้นไม่ยากเกินความคาดเดา แต่คนที่มีปฏิกิริยามากที่สุดคือเกวน คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับการกระทำของซูซาน
“มันดูไม่ดีสินะคะ… แต่ว่าฉันเจตนาดีนะคะ” ซูซานว่าแบบนั้น ใบหน้าอันแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มของเด็กสาวไร้เดียงสานั้นยากที่ใครจะมองเจตนาแท้จริงออก และถึงจะมองออก การต่อว่าคนที่แสดงสีหน้าแบบนั้นออกมาคงดูเป็นคนใจร้ายไม่น้อย
เดิมที ที่เธอแสดงท่าทางแบบนั้นออกมา ก็คงป้องกันไม่ให้ใครว่าเธอได้อีกนั่นแหล่ะ
“เข้าใจแล้ว… แต่วันหลังเลือกใช้คำพูดหน่อยก็ดี ไม่งั้นมันจะทำให้คนอื่นไม่ชอบเธอเอานะรู้ไหม”
“ค่า〜 ครั้งหน้าฉันจะระวังนะคะ”
เกวนเองก็เข้าใจในจุดนั้นเธอถึงได้ปรับอารมณ์ของตัวเองใหม่ด้วยการถอนหายใจออกเสียยืดยาวแทนที่จะต่อว่าเธอทันที แม้ทางซูซานที่ถูกตักเตือนจะทำเสมือนว่าไม่ได้ใส่ใจก็ตาม
❖❖❖❖❖
เฮ้อ… ให้ตายสิ
ยัยชงหยวน ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว
หลังจากเหตุการณ์ความขัดแย้งก่อนหน้านี้ ชินก็ขอแยกตัวออกมาเข้าห้องน้ำ แต่ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ชินก็แค่อยากจะหนีออกจากสถานการณ์นั้นมาพักอารมณ์ให้สงบลงบ้างมากกว่า
“เหนื่อยหน่อยนะ ที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ยุ่ง ๆ แบบเมื่อกี้คนเดียว”
อนึ่ง คนที่แยกกลุ่มมาเข้าห้องน้ำไม่ได้มีแค่ชินหรอก แต่รวมถึงจินเองก็อาศัยจังหวะนั้นตามมาด้วย
เพราะหากคำนึงสถานการณ์ที่กลุ่มเหลือแค่ 4 คน ถ้าจินที่เป็นนักเรียนใหม่ยังไม่สนิทชิดเชื้อกับใครดียังอยู่ต่อคงรู้สึกไม่สะดวกใจเท่าไหร่ต่อผู้หญิงสามคนที่เหลือทั้งทางฝั่งของพวกเธอและตัวจินเอง
เพราะแบบนั้น ตอนนี้ชินกับจินถึงได้ยืนอยู่หน้าอ่างน้ำล่างมือที่มีเบื้องหน้าไปเป็นกระจกยาวบานใหญ่ มีขนาดสอดคล้องกับขนาดของห้องน้ำที่มีความจุถึง 20 ห้อง
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก ขอบใจที่เป็นห่วง” ชินกล่าวตอบตามมารยาท
“อันที่จริง เป็นห่วงมันก็ใช่อยู่ แต่ผมรู้สึกชื่นชมมากกว่า” จินว่าแบบนั้น เขาเริ่มเผยเจตนาของตัวเองออกมาเล็กน้อย แต่ก็มาพอที่ชินจะสัมผัสได้
“ฉันไม่ได้ทำเรื่องที่น่าชื่นชมมากขนาดนั้นซะหน่อย”
“ก็นะ… ในมุมมองของผม คนที่จะประนีประนอมทั้งสองฝ่ายได้ก็มีแต่คนที่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับทั้งสองคนเท่านั้นแหล่ะ”
“…ที่พูดมาก็มีเหตุผลล่ะนะ” จินเริ่มพูดตรงจุดชี้เป้า แม้จะไม่ได้อยู่ในรูปประโยค แต่น้ำเสียงของจินแฝงไว้ด้วยความสงสัย และเหมือนพยายามจะขุดคุ้ยบางอย่าง
ให้ตายสิ ทั้งที่รู้อยู่แล้วแท้ ๆ… ชินได้แต่คิดแบบนั้นอยู่ในใจอย่างหน่าย ๆ
เพราะในความเป็นจริง ซูซานหรือชงหยวนนั้นรู้อยู่แล้วว่าชินเป็นองค์ชายของอาณาจักรแวมไพร์ที่ล่มสลายไปแล้ว จินที่เป็นสหายหรือข้าราชบริพารของชงหยวนมีหรือที่จะไม่รู้ข้อมูลนี้ด้วย
และหากจะให้ชินควาญหาสาเหตุที่เขาเริ่มจุดประเด็นขึ้นมา บางทีอาจเป็นเพราะเขาต้องการยั่วโมโหชินด้วยเหตุผลส่วนตัวก็เป็นได้ หรืออาจมีเหตุผลอื่นที่ชินไม่รู้แฝงอยู่อีกก็เป็นไปได้เช่นกัน
“ที่จริงฉันรู้จักกับซูซานเมื่อนานมาแล้วล่ะนะ… แต่ไม่ค่อยอยากจะนึกถึงเท่าไหร่เนี่ยสิ”
ด้วยเหตุนั้น… ชินจึงเลิกที่จะพูดความจริงออกไปในรูปแบบที่ไม่เปิดเผยเนื้อหาทั้งหมด เพราะในจังหวะเวลานี้หากพูดโกหกออกไป จินที่รู้ความจริงอยู่แล้วอาจจับสังเกตลักษณะอาการของชินในตอนที่โกหกได้
ดังนั้น การโกหกในยามที่อีกฝ่ายไม่รู้ความจริง และการพูดความจริงในจังหวะที่อีกฝ่ายรู้ความจริงจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายที่กำลังทำหน้าที่สอดแนมหรือสังเกตการณ์รู้สึกระแวดระวังไปมากกว่านี้
“ขอโทษด้วยนะครับ ที่ดันไปทำให้คุณนึกถึงเรื่องที่ไม่อยากนึกซะได้”
“ไม่เป็นไรหรอก สบายมาก”
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรยืดเยื้อไปมากกว่า จินยอมรามือเพียงเท่านั้นทำให้ชินสบายใจไปได้เปราะนึง
ทว่า… โลกนี้ช่างไม่มีอะไรอยู่ภายใต้การคาดเดาเลยสักนิด
“เห้ย! พวกแกน่ะ! คิดจะขวางทางคนอื่นไปถึงเมื่อไหร่กันวะ?”
ในจังหวะที่ทั้งสองคนเช็ดมือของตัวเองพร้อมโยนกระดาษชำระลงถังเตรียมพร้อมจะออกไปรวมกลุ่มกับทุกคนแล้ว กลับมาชายฉกรรจ์อายุราว 30 ต้น ๆ ร่างกายกำยำเข้ามายืนขวางเสียได้
แถมดูเหมือนจะไม่ได้มาแค่คนเดียวเสียด้วย
“ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ” อีกฝ่ายเป็นคนต่างชาติ ซึ่งกำลังใช้ภาษาสากลทำให้ไม่ยากแก่การเข้าใจ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ชินจะเป็นคนเอ่ยขอโทษตามสถานการณ์ แต่จริง ๆ คนที่เข้ามาขวางนั้นเป็นชายคนนี้ที่ควรจะอยู่อีกฝั่ง แต่ดันเดินเข้ามาขวางชินไม่ให้ออกจากห้องน้ำมากกว่า
“ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะเหวย คิดว่ากระจกมันมีไว้สำหรับคนหน้าตาดีเท่านั้นรึไงว้า?”
ชายฉกรรจ์อีกคนพร้อมพรรคพวกอีกสี่คนรวมเป็นหกคนเดินเข้ามาขวางจากทางด้านหลังพร้อมเข้าล้อมกรอบ ดูท่าพวกเขาจะตั้งใจไม่ให้ชินหนีไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และดูเหมือนไม่ว่าจะกรณีใด พวกเขาก็ตั้งใจจะหาเรื่องชินตั้งแต่แรกแล้วด้วย
“ถ้าทำให้คิดแบบนั้นต้องขอโทษด้วย แต่ผมไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ครับ” ชินยังคงยืนยันคำเดิม เพราะไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร เขาไม่คิดจะสร้างเรื่องให้ตัวเอง
แต่ถ้าดูจากสถานการณ์และท่าทางของคนพวกนี้แล้ว ดูเหมือนชินจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่ตัวเองไม่ปรารถนาไม่ได้
“เจ้าพวกนี้ดูไม่สำนึกผิดเลยนะ… ถ้าไม่สั่งสอนให้ถูกวิธีคงไม่เข้าใจวิธีขอขมาแล้วล่ะมั้ง”
“พูดอีกก็ถูกอีก”
สองในหกเป็นตัวแทนของกลุ่มเผยเจตนาว่าอยากมีเรื่องเต็มที่ พร้อม ๆ กับเดินเข้ามาทางชินเรื่อย ๆ
แต่ถึงจะอยู่ท่ามกลางชายฉกรรจ์ที่ร่างกายสูงใหญ่กว่าและจำนวนมากกว่า ชินก็ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาเลย แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ชินกลับปลดเนคไทตัวเองออกเล็กน้อยแทนเสียอย่างนั้น
“ฉันไม่รู้ว่าพวกนายต้องการอะไรหรอกนะ… แต่ถ้าจะไม่เป็นการรบกวนมากเกินไป ช่วยปล่อยเพื่อนฉันไปหน่อยได้รึเปล่า?” ชินเปลี่ยนโทนเสียงพูดแบบนั้นออกมาเป็นเชิงข่มขู่ด้วยสายตาแข็งกร้าว
อนึ่ง การพูดแบบนั้นออกไปไม่ได้มีเจตนาที่จะช่วยเหลือจินจริง ๆ เพราะหากจะให้พูดตามตรง ชินอยากจะเก็บข้อมูลการต่อสู้ของจินเสียด้วยซ้ำถ้าเป็นไปได้ ทว่ามันก็แลกมาด้วยความเสียเปรียบสองประการหลัก
อย่างแรกคือ ชินไม่อยากให้เขาเห็นฟอร์มการต่อสู้ของเขาในระยะประชิดต่างหาก เพราะถึงชินจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเคลื่อนไหวได้หลายแบบเพื่อตบตา แต่มันก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุทำให้จินรู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับการเคลื่อนไหวของแองกริคราวน์ที่ตัวเองเคยประมือมาแล้วได้
ผนวกกับภาพลักษณ์ของเขาที่อยู่โรงเรียน ชินสร้างตัวเองให้ดูเป็นคนเรียบร้อย เคร่งขรึมแต่อัธยาศัยดีและรักเพื่อนฝูง หากพูดอะไรอื่นนอกจากนี้คงเป็นการผิดวิสัยของเขาไปแทน เพราะงั้นทางเลือกก็มีแต่ต้องพูดรูปประโยคที่เหมือนกับพระเอกในหนังสือการ์ตูนหรือนิยายออกมาเท่านั้น
“ปากดีได้แค่ตอนนี้แหล่ะ!”
แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่คนพวกนี้จะทำตามคำขอ
เพราะแบบนั้นคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของชินถึงได้ง้างหมัดแล้วพุ่งอัดเข้าใส่ใบหน้าของชินที่ร่างกายต่ำกว่า เป็นจังหวะเดียวกับที่หนึ่งในกลุ่มที่ล้ออมกรอบชินอยู่ด้านหลังเองก็พุ่งหมัดเข้าใส่จินเช่นกัน
ทว่า ต่อให้อีกฝ่ายร่าสูงใหญ่แค่ไหน แต่หากไร้ซึ่งเทคนิคและปัญญาเอาแต่โจมตีเข้ามาโดยใช้สัญชาตญาณล้วนก็ยากจะทำอันตรายผู้ที่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้
กับคนที่พุ่งหมัดเข้าใส่ชิน ชินใช้มือซ้ายเบี่ยงหมัดนั้นออกไปได้โดยง่ายก่อนจะย่อตัวลงแล้วเล็งโจมตีที่ขาซ้ายให้เข่าของมันงอลง แล้วอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายก้มตัวลงต่ำแทงเข่าเข้าใส่ที่ท้องจนชายฉกรรจ์เป็นฝ่ายที่ล้มลงไปกองกับพื้นแทน
ในขณะเดียวกันกับที่จินเองก็แค่เอี้ยวตัวหลบให้อีกฝ่ายเสียจังหวะไปเอง ก่อนจะพลิกตัวเตะใส่ชายโครงของอีกฝ่ายจนกระเด็นไปโดนกับพรรคพวกที่เหลือของชายฉกรรจ์จนล้มระเนระนาดเป็นโดมิโน่โด
“ถึงจะเห็นจากแค่ตอนซ้อมรับมือสถานการณ์จำลองก่อนหน้านี้ก็เถอะ… แต่ชินนี่เก่งใช่เล่นเลยนะ”
“นายเองก็มีฝีมือใช่ย่อยนี่ ทำเอาฉันแปลกใจเลย”
ทั้งสองคนพูดโดยหันหลังชนกัน ไม่มีท่าทีหวาดกลัวพวกอันธพาลที่เหลือแม้แต่นิดเดียว เรียกได้ว่าการแสดงความเป็นห่วงก่อนหน้านี้ แม้จะเป็นการพูดพอเป็นพิธีแต่ก็ถือว่าไร้ความจำเป็นอย่างเห็นได้ชัด
…ส่วนสำหรับพวกอันธพาลที่มาหาเรื่องผิดทั้งคน จังหวะและสถานที่แบบนี้ ไม่ว่าจะมีเหตุผลแอบแฝงหรือไม่ แต่คงพูดได้แค่คำเดียวว่า ‘ซวย’
❖❖❖❖❖
หลังจากเหตุการณ์นั้น ชินกับจินก็ผ่านความรุนแรงมาได้โดยไร้ซึ่งบาดแผลใด ๆ แต่อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นนับได้ว่าอุกอาจไม่เบา เพราะเป็นเหตุกระทบกระทั่งระหว่างพลเมืองต่างประเทศแถมอีกฝ่ายยังเป็นนักเรียนอีกต่างหาก ด้วยเหตุนั้น พอชินกับจินออกไปแจ้งเจ้าหน้าที่หลังกำราบอันธพาลพวกนี้เสร็จแล้วก็ถึงกับต้องทำให้การทัศนศึกษาประจำวันนี้ยกเลิกไปก่อนเลยทีเดียว
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นคือการเชิญชิน จินและครูประจำชั้นไปร่วมสอบปากคำ แต่อันที่จริงพวกชินก็แค่พูดไปตามที่เกิดขึ้นจริงไม่ต้องมีการเค้นอะไรมาก เพราะหากเทียบกันแล้วประวัติอันขาวสะอาดของชินกับประวัติอาชญากรรมลักเล็กขโมยน้อยของพวกอันธพาลก็เพียงพอจะพิสูจน์ได้แล้วว่าใครเป็นคนทำ
เสริมด้วยโฮโลวอชของชินและจินที่พวกเขาเปิดระบบอัดเสียงและวิดิโอจำลองสถานการณ์เสมือนในทันทีที่คิดว่าจะเกิดเรื่อง ทำให้ข้อมูลตั้งแต่หลังเกิดเรื่องไม่นานจนถึงเรื่องจบถูกบันทึกไว้ได้หมดด้วยไหวพริบของพวกเขา พอมีหลักฐานพวกนี้ประกอบก็เป็นหลักฐานชั้นดีว่าพวกเขาทำไปเพื่อป้องกันตัว 100 เปอร์เซ็นต์ ชินกับจินก็ไม่ต้องโดนอะไรนอกจากคำตักเตือน
แต่พอพูดถึงภาพรวมของการทัศนศึกษานั้นเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีเท่าไหร่ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นแล้ว
นั่นเพราะโดยปกติหากเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นจนเชื่อได้ว่าส่งผลต่อการทัศนศึกษาย่อมส่งผลให้พวกคณะอาจารย์ผู้ดูแลนักเรียนรู้สึกว่าพวกเขาอาจไม่ปลอดภัย และหากมีการแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปจนเป็นเรื่องใหญ่โตก็อาจทำให้ผู้ปกครองของเหล่านักเรียนที่มาทัศนศึกษารู้สึกกังวลจนต้องบังคับลูก ๆ ให้กลับประเทศหรือบ้านในทันทีแน่นอนอยู่แล้ว นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ชินไม่อยากจะมีเรื่อง เพราะหากต้องกลับประเทศก่อนที่จะถึงคืนนี้คงเป็นการเสียเวลาสำหรับชินที่มีจุดประสงค์อื่น
ด้วยเหตุนั้น การเคลื่อนไหวต่อไปของชินก็คือการทำให้ทุกคนเชื่อว่านี่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
ซึ่งในประเด็นนี้ ก็ต้องขอบคุณที่เขากับจินไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ รวมถึงฝ่ายอันธพาลเองก็มีแผลฟกช้ำเล็กน้อยไม่ถึงกับสาหัสหรือเลือดตกยางออก ชินใช้เวลาไม่นานก็พอจะไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้อาจารย์ทุกคนเข้าใจได้ว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนเรื่องที่นักเรียนทุกคนต้องกลับจากการทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์กลางคันนั้น อันที่จริงพวกเขายังไม่รู้สาเหตุความจริง เพียงแต่ได้ยินว่าชินกับจินประสบอุบัติเหตุเพียงเท่านั้น และด้วยความคลุมเครือตรงนั้นสามารถนำมาใช้คลี่คลายความกังวลของทุกคนเพื่อให้การทัศนศึกษาเป็นไปอย่างราบรื่นได้ต่อ
ดังนั้น หากไม่นับเรื่องที่ชินกับจินถูกคนไม่รู้จักหาเรื่องเข้าโดยไม่รู้สาเหตุเบื้องลึกเบื้องหลัง การทัศนศึกษาก็ยังนับได้ว่ามีอยู่ตามปกติ
รวมถึงจุดมุ่งหมายแท้จริงของชินที่มายังฝรั่งเศสเองก็ยังคงดำเนินอยู่โดยไม่มีการเปลี่ยนแผน …หรืออาจรวมถึงจุดมุ่งหมายแท้จริงของ ‘คนอื่น’ ที่กำลังจะดำเนินการต่อจากนี้เองก็ด้วย
❖❖❖❖❖
———— ก่อนจบวันทัศนศึกษาวันแรก , เวลา 21.00 น. โดยประมาณ
นครหลวงของฝรั่งเศสยามค่ำคืนเต็มไปด้วยแสงสีทองอร่ามทั่วบริเวณท้องถนนและตามตึกรามบ้านช่องชวนให้หลงใหลคล้อยตามเป็นอย่างมาก
บรรยากาศอันกลมกล่อมระหว่างความงาม ความโรแมนติกและความเลิศหรูชวนให้ผู้คนหลงติดเพลินเอาได้ง่าย ๆ แต่แน่นอนว่าย่อมมีคนจำพวกที่ไม่ได้สนใจแสงสีพวกนี้อยู่เช่นกัน อาจเพราะเคยชินกับความมืดมิด หรือไม่เช่นนั้นพวกเขาก็รู้สึกแสลงจิตกับแสงพวกนี้ที่แยงตาจนขัดกับจุดมุ่งหมายหรือความตั้งใจของตน
คน ๆ นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นชินในชุดของแองกริคราวน์ พ่วงด้วยโอลิเวียที่ยืนอยู่ข้างกายของเขาบนยอดตึกแห่งนึงในคราบของโกลเด้นด็อก
“ตอนกลางคืน สวยงามอย่างที่เขาว่ากันจริง ๆ นะคะมาสเตอร์” โอลิเวียกล่าวแบบนั้นกับชินในขณะที่มองลงไปยังเบื้องล่างที่นครถูกประดับประดาด้วยแสงส่องประกาย
แต่ในทางกลับกัน ชินกลับมองไปยังที่ตั้งของโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงแรมหรูบริเวณกลางเมือง ซึ่งที่นั่นเองก็เต็มไปด้วยแสงสีงดงามตระการตาไม่เบาเช่นกัน
หากแต่สาเหตุที่ชินจ้องมองมันไม่ใช่เพราะความเป็นของสวยงาม หากแต่เพราะว่ามันคือจุดหมายที่จะไปต่างหาก เขาถึงได้ไม่สนใจจะมองสิ่งสวยงามรอบตัวเลยสักนิด
…อาจเพราะแบบนั้นก็ได้ โอลิเวียถึงได้รู้สึกน้อยใจอยู่เล็ก ๆ เพราะการไม่สนใจสิ่งสวยงามรอบตัวในตอนที่กำลังจริงจังกับงาน มันก็หมายรวมถึงตัวเธอด้วย
“เฮ้อ… คนอย่างคุณนี่มัน” โอลิเวียถอนหายใจออกมาอย่างจงใจและไม่คิดปิดบัง ชินคงไม่รู้เลยสักนิดว่าโอลิเวียพยายามแค่ไหนให้ชินมองเห็นในสิ่งที่ควรมองมากกว่าความเคียดแค้น
“มีอะไรเหรอ?”
“เปล่าหรอกค่ะ”
เธอบอกปัด เพราะในตอนนี้ชินโฟกัสกับเป้าหมายไปแล้ว คงเป็นกายากถ้าจะดึงกลับมายังเรื่องอื่น
ทั้งสองคนกระโดดลงจากตึกแห่งนั้นพร้อมกัน มุ่งต่อไปยังตึกถัดไปและถัดไปโดยเลี่ยงมุมกล้องวงจรปิดรวมถึงสายตาของผู้คนไปด้วย คงมีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ชินรู้สึกชอบแสงสีที่อยู่เบื้องล่าง เพราะโดยพื้นฐานของคนเรา เมื่อกำลังมีแสงสว่างกับตัวเองก็ย่อมยยากที่จะมองเห็นความมืดมิดของสิ่งอื่น
ใช้เวลาไม่นานนักชินกับโอลิเวีย… แองกริคราวน์และโกลเด้นด็อกก็มาถึงทางเข้าด้านหลังของโรงแรมชื่อดังกลางเมืองที่ตั้งจุดหมายไว้ พวกเขาเดินเข้าไปข้างในนั้นอย่างคล่องแคล่วสมกับที่เคยมาหลายครั้งแล้ว
อนึ่ง คล้ายกับโรงแรมในเมืองไทยที่ชินกับโอลิเวียเดินทางไปเพื่อพบกับ ‘แทรกกิ้งมาสเตอร์’ โรงแรมแห่งนี้เองก็ถูกบริหารโดยสังคมผู้บงการโลกมืดที่ถูกเรียกว่า ‘The Singularity’ เช่นเดียวกัน
และสาเหตุที่ชินต้องการมายังที่แห่งนี้ ก็เพื่อมาหาข้อมูลต่อเนื่องจากครั้งก่อนที่ได้เบาะแสของ ‘ตัวตลก’ มานั่นเอง และหนึ่งในเรื่องที่ทำให้ชินประหลาดใจก็คือความบังเอิญที่ว่า ที่อยู่สุดท้ายของตัวจริงของตัวตลกที่จู่โจมชินเมื่อหลายวันก่อนกลับเป็นที่เดียวกับที่เขาต้องมาทัศนศึกษา… ฝรั่งเศส
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันหลังผ่านไปเป็นสิบปี สถานที่ที่ตรงกันอย่างไม่น่าเชื่อ รวมถึงเหตุการณ์อันธพาลที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ… จะให้เชื่อว่าเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญมันก็ค่อนข้างจะหละหลวมและประมาทเกินไปหน่อย แต่หากเชื่อว่าทั้งหมดเกี่ยวโยงกัน ก็ยิ่งนับได้ว่าศัตรูที่ชินต้องการล้างแค้นนั้นนำหน้าเขาอยู่ก้าวนึง
เพราะแบบนั้น ชินถึงต้องการข้อมูลของอีกฝ่ายให้มากที่สุดก่อนหน้าที่จะไปเผชิญหน้ากัน และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือที่อยู่ปัจจุบันของตัวจริงเจ้าตัวตลกนั่นเองที่เขากำลังตามหาอยู่
ในขณะที่กำลังขึ้นลิฟต์หลังผ่านเคาน์เตอร์ตรวจสอบเหมือนอย่างเคย ในขณะที่โกลเด้นด็อกยืนตัวตรงกุมมือทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างสงบเสงี่ยมตามมาดของข้ารับใช้เหมือนอย่างเคย แต่ชินกับยืนพิงผนังลิฟต์กอดอกพร้อมทั้งเคาะนิ้วอย่างร้อนรน จนโอลิเวียอดเป็นห่วงไม่ได้จึงได้แต่จ้องชินตาเป็นมัน เพราะหากพูดอะไรออกไปตอนนี้ ชินอาจเสียความมุ่งมั่นเอาได้
“โทษที…”
บางทีชินคงสัมผัสได้ ถึงได้เริ่มปรับลมหายใจเสียใหม่ให้สงบลงมากกว่าตอนนี้
ถึงแม้ที่ชินเป็นแบบนี้จะทำให้โอลิเวียเป็นห่วงเอามาก ๆ แต่ส่วนนึงโอลิเวียก็เข้าใจชินดียิ่งกว่าใคร เพราะชินพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายมาตลอดสิบกว่าปีนี้เพื่อให้เข้าถึงเบาะแสของตัวตลก แล้วตอนนี้มันก็อยู่ใกล้ชินมากกว่าที่เคยเป็นมาทั้งหมด การที่ชินจะรู้สึกร้อนรนจนอยากจะปิดฉากมันเสียให้ได้ตอนนี้ก็คงไม่แปลกอะไร แถมตัวจริงของตัวตลกที่ว่ายังเป็นคนที่ชินและโอลิเวียรู้จักอีก
ทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้? เป็นคุณจริง ๆ เหรอ? คำถามมากมายที่เตรียมไว้ บางทีตอนนี้มันคงกำลังตีกันอยู่ในหัวของชินจนเขาอยู่นิ่งไม่ได้
ติ๊ง!
เสียงลิฟต์ถึงที่หมายดังขึ้นพร้อมประตูลิฟต์ที่เปิดออกโดยอัตโนมัติ
สิ่งที่ลอดเข้ามาในทัศวิสัยเป็นอย่างแรก คือแสงโทนเดียวกับที่ประดับประดาเมืองซึ่งคงพูดได้แค่ว่าสมแล้วที่เป็นกรุงปารีส และสิ่งที่เข้ามาเป็นอย่างที่สองคือสภาพของเลานจ์บาร์ที่ดูมีความหรูหราสูงสง่า ภายในมีแต่คนที่สวมชุดดูดีมีคลาส แต่ก็ด้วยการออกแบบที่ดูคล่องตัวทั้งนั้น เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าที่แห่งนี้มีเพียงมือสังหาร นักฆ่าหรืองานจำพวกใกล้เคียงเท่านั้นที่อยู่ที่นี่
ด้วยความรีบร้อนที่มีมาแต่แรก ทำให้ชินรีบเดินออกจากลิฟต์ในทันที
และก็เช่นเคย ที่การแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์ของทั้งชินและโอลิเวียดึงดูดสายตาของทุกคู่ให้จับจ้องมาที่พวกเขาในฐานะของตำนานมีชีวิตอย่างแองกริคราวน์และโกลเด้นด็อก
จะมีจุดต่างจากหนก่อนก็แค่ หนนี้ไม่มีใครเข้ามาหาเรื่องเพื่อพิสูจน์ว่าชินเป็นตัวจริง… และอีกสิ่งที่ทำให้ชินกับโอลิเวียรู้สึกเป็นกังวล คือสายตาของคนพวกนี้ที่มองตรงมายังพวกเขา
แต่ยังไงก็ตาม การคิดกังวลไปก่อนคงไม่ได้คำตอบและคงไม่ทำให้ชินบรรลุเป้าหมายใสนคืนนี้ เขาถึงเดินผ่านสายตาพวกนั้นตรงไปยังเคาน์เตอร์บาร์ในทันที
“โอ้ว… ไม่ได้เจอกันนานนะครับแองกริคราวน์”
คนที่เอ่ยทักทายอยู่หลังเคาน์เตอร์ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นมาสเตอร์บาร์เทนเดอร์ของที่นี่ เป็นชายวัยกลางคน ดูภายนอกแล้วคงอายุราว 20 ปลาย ๆ สวมชุดบาร์เทนเดอร์ครบองค์สมกับที่ทำหน้าที่รับแขก
เขาเป็นคนที่รู้จักกับแองกริคราวน์ในฐานะที่เป็นตัวกลางในการคุยงานอยู่บ่อยครั้ง แม้จะไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ก็รู้จักกันมากพอจะแยกออกได้ว่าแองกริคราวน์เป็นตัวจริงหรือตัวปลอม
“วันนี้ไม่ได้รับงานหรอกนะ แต่มาหาข้อมูล” ชินพูดตรงประเด็นไม่ให้เสียเวลาเหมือนอย่างเคย เลยไม่ทำให้ผิดสังเกต
“ก็แหงอยู่แล้วครับ ถ้าตอนนี้คุณกลับมารับงานเดี๋ยวพวกเบื้องบนก็กลับมาสั่นสะเทือนอีกหรอก”
มาสเตอร์บาร์เทนเดอร์พูดเรื่องที่รู้กันอยู่ออกมา เพราะอย่างที่เคยบอกว่าก่อนหน้านี้ชินโหมกระหน่ำรับงานล่าค่าหัวด้วยอัตราความสำเร็จ 100% จนเป็นที่จับตามองของเหล่า Singularity ระดับบิ๊ก ทำให้ชินต้องเลิกทำงานมาสักพักแล้วเพื่อลดความร้อนระอุนี้ลง
“แต่จะว่าไป… คุณไม่สังเกตอะไรบ้างเหรอครับแองกริคราวน์” ต่อจากนั้น มาสเตอร์บาร์เทนเดอร์ก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามชินออกมาบ้าง
…และคำถามนั้นเองที่ทำให้บรรยากาศภายในห้องเลานจ์เริ่มตึงเครียดขึ้นมา
“ถ้าบอกว่าไม่สังเกตก็คงโกหก” ชินตอบคำถามชิงรูปธรรมของมาสเตอร์บาร์เทนเดอร์ไปแบบนั้น แม้เขาจะไม่ได้ชี้เฉพาะว่าหมายถึงอะไร แต่ชินก็พอเดาได้อยู่แล้วจากสายตาของคนส่วนใหญ่ในเลานจ์
“แทนที่จะให้พวกเราเดา ทำไมคุณไม่บอกเราหน่อยล่ะคะว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
สุดท้ายก็ไม่พ้นโอลิเวียเป็นคนออกปากเอง ซึ่งอันที่จริงถัดจากนี้ไปชินเองก็จะเป็นคนพูดนั่นแหล่ะ ถ้าไม่ติดว่าโอลิเวียหงุดหงิดที่อีกฝ่ายทำชินเสียเวลาจนทนไม่ได้และต้องพูดออกมาเองแทน
“เรื่องนั้น————”
“เรื่องนั้นถ้าอยากรู้… ก่อนอื่น ทำไมไม่โทษความประมาทของตัวเองที่ไม่หาข้อมูลก่อนมากันล่ะ?”
คนที่พูดแทรกขึ้นมา เป็นชายหนุ่มหนึ่งในคนที่อยู่ในบาร์ อย่างไรก็ตามคำตอบที่ออกจากปากของเขาไม่ได้ตอบคำถามของโอลิเวียเลยสักนิด
ซ้ำร้าย… สิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นยิ่งทำให้คำถามของโอลิเวียที่ถามค้างไว้ขยายข้อสงสัยมากยิ่งขึ้นไปอีก
…เมื่อเหล่ามือสังหารทุกคนในเลานจ์บาร์ เริ่มหยิบปืนประจำกายของตัวเองออกมาแล้วเล็งปากกระบอกปืนไปยังชินและโอลิเวียกันหมดทุกคน
Chapters
Comments
- ตอนที่ 47 มิถุนายน 19, 2022
- ตอนที่ 46: การประลองแบบตัวต่อตัว พฤษภาคม 7, 2022
- ตอนที่ 45: เพื่อนร่วมฝึกงาน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 44: วิธีสร้างข้อผูกมัด มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 43: ข้อเสนอที่น่าลำบากใจ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 42: สิ่งที่ควรทำมาตั้งนานแล้ว (เริ่มบทที่ 2) มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 41: ตัวจริงเบื้องหลังเรื่องราว (จบบทที่ 1) มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 40: ผลตัดสินศึกสุดอลหม่าน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 39: ศึกตัดสินอันอลหม่าน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 38: การต่อสู้ของลูกผู้หญิง มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 37: อดีตของจิน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 36: แองกริคราวน์ผู้ถูกไล่ล่า มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 35: สถานการณ์ที่เริ่มผิดปกติ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 34: เริ่มต้นทัศนศึกษา มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 33: การโหวตเลือก มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 32: ความเข้าใจผิด มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 31: เบาะแสแรก มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 30: ปณิธานของชงหยวน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 29: ไฟสุมขอนยังคงร้อนอยู่ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 28: คาบเรียนพิเศษ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 27: การต่อสู้ระหว่างราชา มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 26: กำลังเสริมของทั้งสองฟาก มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 25: ยุทธการสายฟ้าแลบ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 24: คณะกรรมการจัดงาน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 23: ความลังเล มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 22: คู่หมั้นอันตราย มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 21: นักเรียนใหม่ (เริ่มบทที่ 1) มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 20 : ก่อนรุ่งสางของคืนวันที่จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล (จบ Prologue) มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 19: Overlord มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 18: ผีดูดเลือดผู้คลุ้มคลั่งจากโลหิต มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 17: แองกริคราวน์หลั่งเลือด มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 16: วลาดจอมเสียบ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 15: ข่าวร้ายกลายเป็นจริง มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 14: ผู้(ถูก)พิพากษา มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 13: เป้าหมายแรก มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 12: ความเป็นจริงที่ค่อยๆที่ถูกแง้มให้เห็น ตอนจบ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 11: ความเป็นจริงที่ค่อยๆที่ถูกแง้มให้เห็น ตอนกลาง มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 10: ความเป็นจริงที่ค่อยๆที่ถูกแง้มให้เห็น ตอนแรก มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 9: เค้าลางก่อนพายุ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 8: ตกกระไดพลอยโจน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 7: เขตที่ 84 มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 6: ฝันกลางวัน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 5: ยามเช้าดังเช่นทุกวัน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 4: ระเบิดกัมปนาท มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 3: เส้นแบ่งของโลก มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 2: ชีวิตประจำวันที่ควรจะเป็น มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 1: ยามเช้าแสนธรรมดาดังเช่นทุกวัน มีนาคม 13, 2022
MANGA DISCUSSION