ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก - ตอนที่ 32: ความเข้าใจผิด
อีกวันหนึ่งที่เป็นวันธรรมดาแสนทั่วไปใต้แสงตะวันก่อนที่มันจะตกดิน
ชีวิตในด้านแสงสว่างชองชินคือนักเรียนผู้เป็นต้นแบบของนักเรียนชายของโรงเรียนเซนต์ลอว์เรนซ์ แม้ว่าจะไม่ใช่ตำแหน่งที่ถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แต่หากถามนักเรียน 100 คน ก็คงยอมรับแบบนั้นกันทั้ง 100 คน
ส่วนสาเหตุที่เป็นแบบนั้น ก็เพราะบุคลิกพื้นฐานเป็นคนที่ดูเยือกเย็น ตัดสินใจอะไรรอบคอบ ไม่โหวกเหวกตามประสาเด็กวัยรุ่นชายวัยเดียวกัน ตัวอย่างมาตรฐานนั้นที่ชัดเจนที่สุดก็คือเคนเนธเพื่อนสนิทของเขา แต่การที่ชินสามารถเป็นเพื่อนกับคนอย่างเคนเนธได้ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ยืนยันถึงความมีไมตรีจิตของเขาแม้ใบหน้าจะดูเหมือนไร้อารมณ์ก็ตามที
และสาเหตุที่สองซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน นั่นคือความรับผิดชอบและความสามารถทางวิชาการ ผลสอบที่ได้อันดับ 1 ของชั้นปีโดยไม่นับรวมวิชาเฉพาะเผ่าพันธุ์อย่างเวทมนตร์และอื่น ๆ
อาจเพราะแบบนั้น… ทุกครั้งที่มีงานสำคัญ ชินจึงมักจะได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นั้นเสมอจากทุกคนที่มีส่วนร่วม มองกว้าง ๆ อาจเป็นเหมือนการผลักภาระก็จริง แต่ความจริงเรื่องมันก็แค่ทุกคนเห็นว่าไม่มีใครเหมาะสมและมีความรับผิดชอบไปมากกว่าชินแล้วมันก็เท่านั้น
ทั้งที่ความจริงแล้ว ที่ชินเป็นคนแบบนั้นเพราะนั่นเป็นบุคลิกภาพที่ถูกขัดเกลามาในฐานะองค์รัชทายาทที่จะสืบทอดบัลลังก์ต่อจากราชาผู้เป็นพ่อเท่านั้น เพียงแต่บุคลิกภาพตามปกติของเขา คงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นมาตรฐานของคนทั่วไปในสังคม
แต่อย่างไรก็ดี… นั่นแหล่ะคือเหตุผลที่ทำให้ชินต้องเตรียมเอกสารการประชุมครั้งสุดท้ายในฐานะคณะกรรมการผู้จัดงานทัศนศึกษาอยู่ในห้องหลังจากเลิกเรียน ภายในห้องจึงมีแต่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง นักเรียนคนอื่นที่ไม่ได้มีความรับผิดชอบใด ๆ ก็ทำเพียงแค่กลับบ้านหลังเลิกเรียนตามปกติเท่านั้น
ที่อยู่ในห้องเรียนตอนนี้จึงมีเพียงตัวแทนของห้อง 5-B อย่างชินและชงหยวนเพียงสองคนเท่านั้น
ทั้งสองคนนั่งตรงที่นั่งริมหน้าต่างโดยใช้โต๊ะร่วมกัน และกำลังตรวจสอบเอกสารก่อนที่การประชุมกับห้องอื่นจะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งชั่วโมง
“นี่ชิน… คิดว่าคนเรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรกันเหรอ?”
คำถามเชิงปรัชญาถูกส่งมาจากชงหยวนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของชิน น้ำเสียงของเธอแม้จะดูเรียบง่ายแต่แววตาก็ดูจริงจัง กระนั้นก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่านั่นเป็นใจจริงของเธออยู่ดี
เพราะการพูดแบบนั้นออกมาในช่วงที่กำลังยุ่ง ๆ แบบนี้ ดูยังไงมันก็เป็นการพยายามเลี่ยงการทำงานหรือพูดง่าย ๆ คือ เป็นการพยายามเลี่ยงไม่ทำงานอย่างชัดเจน
“ไม่รู้” ชินถึงได้ตอบกลับไปอย่างชัดเจน และตั้งหน้าตั้งตาตรวจเช็คและแก้รูปประโยคบนกระดาษไปเรื่อย ๆ เพื่อให้มันสมบูรณ์ที่สุด โดยพยายามไม่สนใจคำพูดของชงหยวน
“ช่างเป็นการแสดงทัศนะที่น่าเบื่ออะไรขนาดนี้ ไม่สมกับเป็นคุณเลยนะคะ” ทว่าเจ้าตัวเองก็ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ
เธอเริ่มนั่งเท้าคางก่อนจะจดจ้องมายังชินไม่วางตา ซึ่งเดิมทีชินเองก็เคยชินกับสายตาแบบนี้อยู่แล้ว เพราะชินรู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้กำลังถูกเธอสังเกตการณ์อยู่
หากเป็นคนอื่นคงไม่อาจต้านทานสายตานั่นไหว ส่วนนึงมาจากแรงกดดันก็จริง แต่สาเหตุหลักน่าจะเป็นเพราะความงดงามของชงหยวนที่สะกดให้จดจ้องเธอกลับไปมากกว่า คนปกติจึงมักจะเอาแต่จ้องชงหยวนมากกว่าที่เธอจะเป็นคนร้องขอคู่สนทนาด้วยตัวเอง
นั่นจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชงหยวนรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่คุยกับชิน แต่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอสนใจในตัวชินมากกว่าผู้ชายคนอื่นเช่นกัน
“สำหรับฉันน่ะนะ… คิดว่าคนเราเกิดมาเพราะมีเป้าหมายที่จะทำนั่นแหล่ะค่ะ” อาจเพราะแบบนั้น ชงหยวนถึงได้พูดต่อโดยไม่สนใจท่าทีเย็นชาของชิน
“จะว่าไปตามหลักคิดปรัชญาเองมันก็มีเรื่องแบบนี้เหมือนกันใช่ไหมคะ?”
“ก็ไม่รู้สิ” ชินยังคงก้มหน้าก้มตาขีดเขียนข้อความแก้งาน นั่นทำให้ชงหยวนเริ่มทำแก้มป่องเล่นแง่แม่งอน
แต่การที่จะบ่งชี้ว่าเธอแกล้งทำหรือกำลังรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ก็สุดแท้แต่จะคาดเดาได้
ทว่ามีอยู่เรื่องนึงที่แน่ใจ… นั่นคือสายตาที่จดจ้องแลกดดันมาจากชงหยวน ราวรอให้ชินเข้าร่วมบทสนทนาเป็นแกมบังคับ และแม้จะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่ดูเหมือนเธอตั้งใจจะจ้องชินไปเรื่อย ๆ จนกว่าชินจะยอมคุยด้วย ซึ่งแบบนั้นมันทำให้ชินรู้สึกกดดัน เกรงใจและรำคาญผสมปนเปกันไป
“สุขนิยม (Hedonism)… นั่นคือสิ่งที่เธอจะพูดถึงใช่ไหม”
“สมกับเป็นชินเลย! นั่นแหล่ะค่ะที่ฉันหมายถึงล่ะ”
กับชินที่หมดความอดทนในหลาย ๆ ความหมาย เขาเลยยอมคุยด้วยตามที่ชงหยวนต้องการ แน่นอนว่าเขาระวังในทุกคำพูด
แต่รอยยิ้มของชงหยวนในตอนที่ตอบกลับ ก็ทำให้ชินแอบคิดและแอบรู้สึกผิดอยู่ในใจที่ตัวเองระแวดระวังมากเกินไปเช่นกัน แต่แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เหตุผลให้ชินลดการ์ดของตัวเองลง
“ก็แหม… ถ้าว่ากันตามตรงแล้ว มนุษย์เราก็มาก็เพื่อเสพสุขนี่จริงไหมคะ?” ชงหยวนพูดต่ออย่างนึกสนุก ดูท่าในหัวเธอคงไม่มีเรื่องประชุมแล้ว
“ที่พูดแบบนั้นแสดงว่าเธอไม่คิดว่าแนวคิดอสุขนิยมเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างนั้นสิ” ชินเอ่ยถาม แน่นอนว่ามือก็ยังเขียนแก้งานอยู่
“ก็สำหรับฉัน ยังไงพื้นฐานของการแสวงหาความสงบหรือความรู้มันก็เป็นการแสวงหาความสุขทางกายอยู่ดีนี่จริงไหมคะ” ชงหยวนยังคงยืนยันแนวคิดตัวเอง ซึ่งจากที่รู้จักกันมา ชินก็คิดว่าสมกับเป็นตัวเธอเองดี แต่แบบนั้นมันก็ค่อนข้างจะยัดเยียดเกินไปเสียหน่อยเช่นกันในความคิดของเขา
ทำเอาชินคิดเลยว่าชงหยวนช่างเมินคนอีกกลุ่มได้อย่างลงคอ
“ก็ถ้าใช้ความคิดพื้นฐานที่ว่ามนุษย์ประกอบด้วยร่างกาย 100% มันก็อาจจะจริง” และใช่… ชินไม่ได้ลงความเห็นว่าเป็นสิ่งผิดหรือถูก ยอมรับหรือไม่ยอมรับ
เพราะแม้ทางชงหยวนจะกล่าวอ้างว่ามนุษย์เสพสุขทางกายเพียงอย่างเดียวไม่ว่าจะในแง่ใด แม้ต่อให้จะบอกว่าการแสวงหาความสงบจะเป็นการเสพความสุขทางจิตใจ แต่มันจะไม่เกิดขึ้นหากจิตใจที่ว่าก็คือสมองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
กล่าวคือในความคิดของชงหยวน จะเสพสุขทางกายหรือทางจิตใจ (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ไม่ได้เป็นอิสระจากกัน) เพื่อเป็นเป้าหมายของชีวิต ท้ายสุดแล้วมันก็คือการเสพความสุขทางกายอยู่ดี
แต่กับชินที่แย้งข้อเสนอของชงหยวนด้วยสิ่งที่เธอคิดอยู่แม้จะไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด ก็สื่อให้เห็นแล้วว่าทั้งสองคนมองภาพรวมของคำว่า ‘เป้าหมายในชีวิต’ ไม่เหมือนกัน
“หืม… หรือคุณไม่คิดแบบนั้นกันคะ?” นั่นทำให้ชงหยวนรู้สึกสนใจไม่เบา เธอถึงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ชินเล็กน้อย แม้จะยังนั่งเท้าค้างอยู่
เพราะคนที่คิดจะขัดแย้งกับเธอนั้นมีเพียงแค่ชินเท่านั้นที่เธอรู้จักและสนิทชิดเชื้อ แต่แน่นอนว่าชินไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น เขาก็แค่ตอบกลับไปตามมารยาทอันสมควร
“ก็เปล่า… แต่ถ้าจะให้ค้านคำพูดของเธอ ก็คือมันไม่มีวิธีพิสูจน์ว่าจิตใจเป็นอิสระจากร่างกายจริงไหม เพราะแบบนั้นจึงไม่สามารถเหมารวมได้ว่าความสุขทุกอย่างที่คน ๆ นึงเสพจะเป็นความสุขทางกายหรือจิตใจกันแน่” ชินตอบกลับแบบนั้น และสามารถแซะช่องว่างของข้อเสนอชงหยวนได้ดีทีเดียว เจ้าตัวถึงกับเลิกคิ้วขึ้นเล็ก ๆ ด้วยความนึกสนุก แต่แน่นอนว่าไม่ได้แสดงออกเกินงาม
“แต่ถ้าจะพูดแบบนั้น มันก็ไม่มีวิธีพิสูจน์ได้เหมือนกันว่าจิตใจไม่ได้เป็นอิสระจากร่างกายน่ะจริงไหมคะ?”
ชงหยวนเสนอประเด็นตรงข้าม ทำให้ชินเองก็รู้สึกว่าต้องจริงจังขึ้นมานิดหน่อย มือของเขาหยุดเขียนแก้งานไปได้สักพักนึงแล้ว ซึ่งก็โชคดีไปที่ชงหยวนไม่ได้สังเกตเพราะไม่งั้นเธอคงเอาเรื่องนี้มาล้อเลียนชินเป็นแน่
“งั้นประเด็นที่ว่าก็ไม่สามารถหาข้อสรุปได้หรอก” ชินฟันธงแบบนั้น ซึ่งถ้าจะว่ากันตามหลักเหตุผลแล้วก็ใช่ เพราะมันเป็นคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ ชงหยวนที่เข้าใจดังนั้นจึงยักไหล่เบา ๆ เป็นเชิงยอมรับ
ส่วนนึงที่เป็นแบบนั้นก็เป็นเพราะนั่นคือประเด็นปัญหาที่ไม่ควรหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นสนับสนุน เพราะมันไม่มีเหตุผลในตัวของมันเอง และเรื่องนั้นคนฉลาดอย่างชงหยวนก็รู้ดี
แต่การที่เธอยังยืนกรานในความคิดของตัวเองแบบนั้นและเสนอออกมาทั้งแบบนั้น มันก็แสดงให้เห็นชัด ๆ ว่าเธอเป็นคนที่แข็งกร้าวเพียงใด แม่ในอีกแง่นึงจะเรียกอย่างสุภาพว่ามีความหนักแน่นมั่นคงในหลักการของตัวเองก็ได้เช่นกัน
“ทำไมเธอถึงชอบทำลายพื้นฐานของแนวคิดคนอื่นเสมอเลยนะ” แต่ถึงแบบนั้น… ชินก็อดไม่ได้ที่จะบ่นอิดออดออกมา เพราะท้ายสุด การสนทนาก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่าการฆ่าเวลาเล่น
“เรื่องนั้นมันก็แน่อยู่แล้วนี่คะ… นั่นก็เพราะท้ายสุดคนที่ถูกต้องเสมอก็คือฉันนี่คะ” ชงหยวนว่าแบบนั้นก่อนจะสะบัดเรือนผมทอแสงตะวันที่ลอดผ่านเข้ามาในหน้าต่าง
ท่าทางของเธอนั้นดูเย่อหยิ่ง แต่ก็ทรงเสน่ห์และองอาจในเวลาเดียวกัน สิ่งนั้นคงผลักดันให้เธอมีความเป็นผู้นำอยู่ในระดับสูง
เพียงแต่สำหรับชิน… การที่ไม่สามารถยอมรับความแตกต่างได้นั้น ไม่อาจนับได้ว่ามีคุณสมบัติของผู้นำอย่างแท้จริง แต่จะมาเถียงเรื่องนั้นกับคนที่ไม่ยอมฟังคนอื่นก็ใช่ที่ ชินเลยหันไปเขียนงานต่อ เพราะเวลาเองก็กระชั้นชิดเข้ามาเสียทุกที ๆ
กลับกลายเป็นว่าที่คุยกันอย่างสนุกสนาน?ในความคิดของชงหยวนมาก่อนหน้านี้ กลับถูกแทนที่ด้วยความเย็นชาในช่วงระยะเวลาอันสั้น และเรื่องนั้นคงมีผลเอามาก ๆ เพราะไม่ว่าจะในแง่ไหน แต่มันก็ทำให้ชงหยวนแสดงสีหน้าหม่นหมองออกมา
แต่คนที่จะรู้ว่ามันเป็นการแสดงออกจากใจจริงได้ ก็คงมีแค่เจ้าตัวเท่านั้น
“ไม่เห็นต้องเย็นชากันขนาดนั้นก็ได้นี่คะ”
เพราะแบบนั้น… ชงหยวนถึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูทุ้มต่ำกว่าปกติ
ไม่ใช่เย็นเยือกแต่เป็นหดหู่ ไม่ใช่ร้อนรุ่มโกรธเคืองแต่เป็นระสับระส่ายกังวลใจ บางทีเรื่องนั้นเจ้าตัวก็อาจไม่ได้รับรู้เช่นกัน และช่างน่าเสียดายที่ชินเองก็ไม่รู้ว่าทำไมชงหยวนถึงได้พูดแบบนั้นออกมา
เพราะหากจะให้ว่ากันตามตรง… สถานการณ์แบบนี้ชินไม่มีทางเลือกอื่นนอกต้องคอยจับตาและระมัดระวังการแสดงออกของตน
กับคนที่ตายไปแล้วเป็น 10 ปี อยู่ดี ๆ ก็โผล่หน้ามาในฐานะใดก็ไม่อาจทราบได้ แถมกับสถานการณ์ที่กำลังรุมเร้าจากทุกทิศทาง ชินจึงไม่อาจเปิดจิตไว้วางใจกับใครได้
…แม้ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นอดีตคู่หมั้นของตัวเองก็ตามที
กระนั้น… แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่านั่นอาจเป็นแค่คำโป้ปดเสแสร้งและหลอกลวงจากชงหยวน แต่ในฐานะสุภาพบุรุษ ชินไม่อาจปล่อยผ่านน้ำเสียงและใบหน้าที่กำลังอมทุกข์ของชงหยวนไว้ได้
ซึ่งจะว่าสมเป็นชินดีก็ใช่… เพราะอย่างไรเนื้อแท้ของเขาก็ไม่ใช่นักฆ่าอหังการ แต่เป็นองค์รัชทายาทผู้เพียบพร้อมความสามารถทั้งในด้านของบุคลิกภาพและความสามารถต่างหาก
“ไม่ได้เย็นชา” ชินวางปากกา แต่นอกจากนั้น หนนี้เขายังมองตรงไปที่ชงหยวนอีกด้วย
“ฉันไม่เคยเกลียดเธอหรอกนะ ไม่เคยนึกเสียใจด้วยที่ได้หมั้นกัน ถ้าจะให้เลือกตอบระหว่างชอบหรือเกลียดฉันจะตอบว่าชอบ แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันเป็นคนละเรื่อง… ตอนนี้ฉันไว้ใจใครไม่ได้ เรื่องมันก็เท่านั้น”
เข้าใจนะ? ชินเสริม
เขาเองก็ไม่รู้ว่านั่นเพียงพอไหมกับการทำให้ชงหยวนรู้สึกปลอดโปร่ง แต่อย่างไรการแสดงเจตนาให้รู้นั่นก็เป็นการจริงใจที่สุดแล้วสำหรับเขา และก็เป็นสิ่งที่ทำให้ชงหยวนได้มากที่สุดในสถานการณ์ที่ไม่รู้สี่รู้แปดอะไรนี้ด้วย
“…เหรอคะ”
ทว่าการแสดงออกอย่างจริงใจนั่น ในมุมมองชงหยวนแล้วนับได้ว่าเพียงพอ หรืออาจจะมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ
นั่นถึงเป็นสาเหตุทำให้ชงหยวนต้องหลบหน้าไปทางอื่น เพราะแก้มของเจ้าตัวถึงกับฝาดสีแดงก่ำไปแบบนั้นโดยไม่อาจควบคุมมันได้ หัวใจที่สั่นระรัวขึ้นอย่างไม่เป็นจังหวะเองก็อยู่เหนือการควบคุม ได้แต่ทำให้ชงหยวนคิดถึงชินในแง่ที่ว่า ‘ช่างเป็นผู้ชายที่ร้ายกาจอะไรขนาดนี้’ อยู่เพียงคนเดียว
เธอใช้เวลาไม่นานในการปรับสภาพอารมณ์ ใบหน้า รวมถึงหัวใจที่เต้นรัวให้กลับมาเป็นปกติ แม้สำหรับคนทั่วไปจะเรียกว่าเนียน แต่หากใช้ตัวเองเป็นมาตรฐานชงหยวนถือว่าทำได้ช้าหากเทียบกับคนอื่น ซึ่งมันก็แน่อยู่แล้ว เพราะคนที่ทำให้เธอรู้สึกระส่ำระส่ายขนาดนี้ก็มีอยู่คนเดียว
และอาจเพราะบรรยากาศดูผ่อนคลายลง มันเลยดึงดูดชงหยวนให้อยากรู้เรื่องของชินไปเองโดยอัตโนมัติ
“จะว่าไปแล้ว… หลังจากเกิดเรื่องคุณเป็นยังไงบ้างเหรอคะ” ชงหยวนถึงได้เอ่ยถามออกมาแบบนั้น
น้ำเสียงของเธอ ชินสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามันดูนุ่มละมุนลงมากกว่าปกติ
ไม่สิ… พูดให้ถูกคือน้ำเสียงของเธอ เหมือนกับ ‘เมื่อก่อน’ มากกว่า
อาจเพราะแบบนั้นก็ได้ ชินถึงได้ผ่อนคลายลงมาก แต่แน่นอนว่ายังไม่ถึงขั้นปล่อยปละละเลยเผยข้อมูลสำคัญ
“ลำบากน่าดูเลยล่ะ”
“ฟุ… พูดอะไรกัน ของแบบนั้นมันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ” ดูเหมือนคำตอบชองชินจะสั้นเกินไป ทำให้ชงหยวนแสดงความไม่พอใจ แต่ก็ไม่รู้ทำไมเธอถึงหัวเราะออกมาด้วย
บางทีคงคิดว่าเป็นมุกตลกมั้ง ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจแท้ ๆ ว่าชินไม่ถนัดของแบบนั้น
…แต่พอชินมานึกดู การพูดเรื่องที่มันแน่นอนอยู่แล้ว ก็อาจถือเป็นตลกร้ายอย่างนึงเช่นกัน การที่ชงหยวนจะรู้สึกขบขันก็คงไม่แปลกอะไร แม้นั่นจะไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะสื่อในหนแรกก็ตามที
“หรือว่าบอกไม่ได้กันล่ะคะ” ชงหยวนถามต่อ ใบหน้าของเธอยื่นขึ้นใกล้กว่าปกติ ต้องขอบคุณที่เธอนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยมีโต๊ะกั้นอยู่ จึงไม่อาจเข้ามาใกล้กว่านี้ได้
“…ก็เอาเป็นว่ามันลำบากนั่นแหล่ะ” อย่างไรก็ตาม ชินคงบอกไม่ได้ว่าหลังจากที่ประเทศถูกทำลาย เขากับโอลิเวียก็หนีไปฝึกวิชาแล้วก็ตามล่าหาตัวการมาตลอดในฐานะแองกริคราวน์
ทางชงหยวนได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มแห้ง ๆ ออกมาเพราะก็เป็นไปดังคาดอยู่แล้ว เพราะหากสถานการณ์กลับกัน เธอเองก็ไม่คิดจะปริปากเช่นเดียวกัน
“แล้วเธอเองล่ะ” ชินพยายามเบี่ยงประเด็นไปทางอื่น และแน่นอนว่าไม่พ้นเรื่องของชงหยวน
“ตอนที่ได้ยินข่าวว่าเธอป่วยตายพวกเราก็ตกใจกันมาก… แต่มาถึงตอนนี้คงต้องพูดว่า ‘เชื่อสนิทใจ’ น่าจะถูกกว่าล่ะมั้ง” ชินว่าแบบนั้น เพราะพอมานึกดูเขาเองก็หลงเชื่อข่าวนั่นสนิทใจ
“หืม? ‘พวกเรา’ เหรอคะ?”
ในขณะที่ชงหยวนรู้สึกติดใจบางอย่างไปแทน นั่นทำให้ชินเครียดขึ้นเล็กน้อยเพราะกลัวว่าเธอจะคิดถึงตัวตนอื่นนอกจากเขากับโอลิเวีย เพราะสายตาของเธอดูแหลมคมมากทีเดียว
“ผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอคะตกใจกับการตายของฉัน”
ทว่า ดูเหมือนชินจะคิดกังวลมากเกินไป เพราะคนที่ชงหยวนหมายถึงก็โอลิเวียนั่นเอง มิใช่เลย์ล่าผู้เป็นอาจารย์ของเขาเสียหน่อย
อย่างไรก็ตาม ท่าทางของชงหยวนก็ดูจริงจังมากทีเดียว แถมพอพูดจบประโยคยังเดาะลิ้นเสียงดัง ไม่ระวังมารยาทที่ตัวเองสร้างภาพลักษณ์มาตลอดเลยสักนิด ซึ่งหากนั่นไม่ใช่การจงใจ คงจะเป็นเพราะเธอกำลังหงุดหงิดจนลืมตัวอยู่เป็นแน่
…แต่สาเหตุนั้น เป็นเรื่องที่ชินไม่อาจเข้าใจได้
“ดีใจอยู่ล่ะสิไม่ว่า”
กับชงหยวนที่สบถแบบนั้นออกมาในลำคออย่างกริ้วโกรธก็มีอย่างหนึ่งแน่ ๆ ที่ชินมั่นใจ นั่นคือชงหยวนดูท่าทางจะไม่ถูกกับโอลิเวีย
แต่ไม่สิ พอมานึกดูแล้ว ในอดีตครั้งที่โอลิเวียยังเป็นสาวใช้ส่วนตัวของเขากับชงหยวนที่เป็นคู่หมั้นทางการเมือง ทั้งสองคนต่างก็มักจะหาเรื่องทะเลาะกันอยู่เป็นนิจมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ที่ลืมไปอาจเพราะมันนานจนอยู่ในซอกหลีบของความทรงจำเสียมากกว่า
…รวมถึงตัวชิน ไม่คิดว่าบรรยากาศแบบนั้นจะกลับมาอีกแล้วก็ด้วย
“เอาเถอะ เรื่องของผู้หญิงคนนั้นคิดแล้วก็รู้สึกรำคาญซะเปล่า ๆ” ชงหยวนว่าแบบนั้นแล้วหันมาทางชินอีกครั้ง ดูเหมือนเธอจะพยายามไม่พูดถึงโอลิเวีย เพราะอย่างที่รู้กันว่ามันจะทำให้เธอหงุดหงิดโดยใช่เหตุ
และอันที่จริง การที่โอลิเวียถูกทำเหมือนเป็นตัวน่ารำคาญแบบนั้นก็ทำให้ชินรู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน แต่จะแสดงอารมณ์ออกมาในตอนนี้เห็นทีเรื่องก็จะมีแต่แย่ลงกว่าเดิม
…และแบบนั้นมันคงไม่แฟร์เท่าไหร่ เพราะทางโอลิเวียเองก็หงุดหงิดใส่ชงหยวนแบบไม่มีเหตุผล?อยู่บ่อยครั้งเหมือนกันแท้ ๆ
“จะว่าไปเมื่อกี้คำถามค้างอยู่ที่ว่า ‘หลังจากที่คุณตายไป ฉันเจอกับอะไรบ้าง’ สินะคะ”
ชินไม่ได้สาธยายข้อสงสัยของตัวเองอย่างละเอียดถึงขนาดนั้นก็จริง แต่ใช่… นั่นคือสิ่งที่เขาอยากจะถามกับชงหยวน และเพราะชงหยวนพูดได้ถูกเผง เธอถึงกลับมายิ้มแย้มอย่างพึงพอใจ ท่าทางหงุดหงิดก่อนหน้านี้หายไปแทบจะสิ้นเชิง
“ก็แหม… หลังจากนั้นฉันก็เจอแต่เรื่องแย่ ๆ ทั้งนั้นเลยล่ะค่ะ” ชงหยวนจั่วหัวมาแบบนั้น ท่าทางเรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่ดีเท่าใดนัก แต่นั่นนก็ไม่ได้ยากเกินความคาดเดา
“ตัวฉันกลายเป็นคู่หมั้นของหนึ่งในคนที่ผู้คนจงเกลียดจงชังที่สุดในโลก แล้วก็ถูกคนวงนอกวงในรังเกียจไปด้วยเฉยเลยล่ะค่ะ” ชงหยวนว่าแล้วพลางยักไหล่ แต่หลังจากนั้นแววตาคมกริบของเธอก็แสดงออกมาให้เห็น
“ขอโทษด้วย”
“อะ ฉันไม่ได้โกรธคุณสักหน่อยค่ะ” ชงหยวนส่ายมือ พั่บ ๆ
แต่ที่จริงชินก็แค่ขอโทษไปตามมารยาท
เพราะเดิมทีสายตาโกรธแค้นของชงหยวนเมื่อครู่ไม่ได้มองมาที่เขา แต่เป็นที่ที่ไกลแสนไกลจากที่นี่ต่างหาก
แต่ว่า… พอมานึกดูแล้วมันก็คงเป็นแบบนั้น
เพราะถึงชงหยวนจะมาจากคนละประเทศและเป็นแค่คู่หมั้นกันในนาม แต่ในมุมมองของคนทั่วไป เธอเป็นคนรักของคนที่ทั่วโลกต่างรังเกียจเดียดฉันท์อย่างเรา
การถูกหางเลขไปด้วยแบบนี้ จะบอกว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้มันก็พูดยาก
และหากจะพูดเอาสะดวกว่า อีกฝ่ายแค่พยายามใช้มันเป็นข้ออ้างในการทำลายขั้วการเมืองของพวกชงหยวนก็คงไม่ถูกซะทีเดียว เพราะเดิมทีการเมืองมันก็เป็นแบบนั้น
ชินคิดแบบนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความสับสนกับความเป็นจริงของโลกใบนี้ แต่ก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่คิดเหมือนเคย ว่ามัน ‘ช่างไม่ยุติธรรม’ เอาเสียเลย
“ก็เพราะแบบนั้นแหล่ะค่ะ เพื่อลดคำครหานินทา และเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองใช้จุดนี้เป็นข้ออ้างในการทำลายขั้วอำนาจของท่านพ่อ ดิฉันถูกทำเป็นเสมือนว่าตายเพื่อรักษาฐานอำนาจของท่านพ่อเอาไว้” ชงหยวนว่าแล้วก็ยักไหล่อีกรอบ
“แต่ถึงจะเสียฐานันดรศักดิ์ไป ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองถูกตัดหางปล่อยวัดเสียทีเดียวหรอกนะคะ” ชงหยวนว่าพลางยิ้ม แต่มิอาจทำได้เต็มที่ อาจเป็นเพราะนั่นไม่ใช่ทุกสิ่งที่เธอเปิดเผยออกมา
“แต่ถึงแบบนั้น… ฉันก็อดคิดไม่ได้ล่ะนะคะ ว่าโลกนี้มันช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย คิดแบบนั้นรึเปล่าล่ะคะชิน?”
หลังจากที่พูดฝ่ายเดียวมาเสียนาน เธอก็หันมาเอ่ยถามชินกลับ เพราะสำหรับเธอแล้ว มันก็คไม่ยุติธรรมทั้งสำหรับเธอและตัวชิน
เพราะหากจะว่าไป… ชินเองก็ไม่เคนกระทำการใดที่เป็นการรุกรานต่างประเทศเหมือนกับที่ราชาเอลานอร์ผู้เป็นพ่อเคยทำ จึงอาจกล่าวได้ว่าเขาเองก็เป็นผู้ที่ถูกโลกทั้งใบหางเลขไปด้วยก็ได้เช่นเดียวกัน
แต่สำหรับเรื่องแบบนั้น…
“…โลกนี้มันก็ไม่เคยยุติธรรมกับใครอยู่แล้ว” ชินตอบกลับแบบนั้นโดยที่ไม่ต้องคิด
ไม่สิ… เพราะเขาคิดแบบนั้นมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา และไม่เคยได้คำตอบอื่นเลยต่างหาก ถึงไม่จำเป็นต้องคิดคำตอบอื่นนอกเหนือจากนี้
“แต่จะไม่ทำอะไรเลยมันก็ไม่ถูกนี่คะ… เพราะถ้ายอมให้เป็นแบบนี้ตลอด คนที่ถูกเอาเปรียบก็จะโดนเอาเปรียบไปตลอด”
“ที่พูดมามันก็ถูก” ชินไม่ปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ชงหยวนกล่าว เพราะในโลกของความเป็นจริงมันก็เป็นแบบนั้น
คนที่ถูกรังแก หากไม่ลุกขึ้นสู้และแสดงเจตนาต่อต้าน หรือคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนใหญ่คนโตกว่าไม่ยอมแสดงสถานะและความตั้งใจของตัวเอง ก็จะถูกเข้าใจว่าให้เอารัดเอาเปรียบได้ต่อไป
“แต่ฉันว่าเดิมทีความยุติธรรมมันก็ไม่มีอยู่จริงหรอก”
“ในแง่ไหนล่ะค่ะ ฉันอยากฟังจังเลย” แม้จะถูกปฏิเสธแนวคิดแต่ชงหยวนกลับแสดงท่าทีสนใจคำพูดของชินไม่เหมือนกับทุกที
หากไม่ใช่เพราะเธอคิดว่าความคิดของชินน่าสนใจ ก็คงจะเป็นเพราะเธอไม่ได้คิดอย่างที่พูดออกมาตั้งแต่แรก
“ความยุติธรรมอยู่บนพื้นฐานของความต้องการส่วนบุคคล… ยกตัวอย่างเช่นคนที่มีเงินเดือนหนึ่งหมื่นบาทกับคนที่ไม่มีรายได้อะไร ถ้าเรามีเงินหนึ่งหมื่นบาทและอยากจะมอบให้ทั้งสองคนอย่าง ‘ยุติธรรม’ เราก็ต้องแบ่งให้คนที่ไม่มีรายได้เป็นปริมาณที่มากกว่าอย่างเช่น ให้คนทีมีเงินเดือน 3 พันบาท และให้คนที่ไม่มีรายได้ 7 พันบาท”
“ค่ะ ๆ! แล้วยังไงต่อเหรอคะ” ชงหยวนยังคงแสดงท่าทีสนอกสนใจ ท่าทางของเธอแทบจะไม่เหลือเค้าเดิมของท่าทีสงบเรียบร้อยที่พยายามสร้างมาตลอด แต่สำหรับชิน คงคล้ายกับว่าชงหยวนกลับไปเป็นตัวเองเมื่อครั้งอดีตเสียมากกว่า
“แต่การทำแบบนั้นมันไม่ใช่การช่วยเหลือทั้งสองคนนั้นแบบเต็มประสิทธิภาพ ไร้ความจริงใจ แถมไร้ความยุติธรรมในตัวของมันเอง… เพราะแม้จะคิดตามปกติ ว่าคนที่ไม่มีรายได้ ‘น่าจะ’ ต้องการเงินมากกว่าคนที่มี แต่การที่คนเราไปตีค่าว่าใครสมควรได้รับเงินในปริมาณที่มากกว่ากันนั้น มันไม่ยุติธรรมต่อคนที่ถูกตีค่าว่าสมควรได้รับเงินในปริมาณที่น้อยกว่า”
“แหม ก็จริงล่ะนะคะ… แล้วถ้าเป็นชินจะทำยังไงเหรอคะ” ชงหยวนเอ่ยถาม ด้วยสีหน้าคาดหวัง
“ก็จะแบ่งให้ทั้งสองคนเท่ากัน… ถึงแม้จะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่จะไม่ลดทอนคุณค่าของใครคนใดคนนึงและขัดกับคำว่ายุติธรรม”
ชินว่าไปแบบนั้น แต่อันที่จริงเขาก็ไม่ได้จะชี้ชัดว่าเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง 100%
เพราะในความเป็นจริง… ตัวแปรที่มองเห็นได้มันก็สามารถใช้ชี้วัดความต้องการส่วนบุคคลของคน ๆ นั้นได้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
…คนรายได้ต่ำต้องการเงินมากกว่าคนที่รายได้สูงกว่า
คนที่กำลังป่วยต้องการความช่วยเหลือมากกว่าคนที่สุขภาพแข็งแรง
การเปรียบเทียบอันชัดเจนนั้น จึงเป็นอีกเครื่องบ่งชี้ว่าเราไม่สามารถใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งในการแก้ปัญหานี้โดยภาพรวมได้ เพียงแต่สำหรับชิน เขามองว่า ‘ความเท่าเทียม’ มันดูเป็นไปได้จริงมากกว่า ‘ความยุติธรรม’ ที่เป็นเพียงอุดมคติ เรื่องมันก็เท่านั้นเอง
“หืม… เป็นแบบนั้นเองเหรอคะ”
และไม่ว่าอย่างไรก็ตาม… คำตอบของชินดึงความสนใจของชงหยวนได้มากทีเดียวเชียว สายตาของเธอที่มองชินในฐานะผู้สังเกตการณ์อ่อนหวานลงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบ ความรู้สึกนั้นราวกับว่าเธอพบผู้ร่วมอุดมการณ์ของตัวเองแล้วยังไงอย่างนั้น
และใช่ บรรยากาศของชงหยวนที่ส่งผ่านมา บางทีก็คงไม่เกินเลยไปกว่านั้นหรอก
สำหรับคนที่ฟังบทสนทนามาตลอดมันก็คงเป็นเช่นนั้น และคงไม่มีทางคิดผิดเป็นอื่นได้
…แต่ไม่ใช่กับคนที่เพิ่งจะมาเห็นในช่วงที่ทั้งสองคนคุยกันอย่างออกรส
“ถึงเวลาประชุมแล้วนะคะทั้งสองคน”
เสียงของหญิงสาวดังขึ้นมาจากประตูเข้าห้องเรียน เป็นเสียงของคนที่ชินคุ้นเคย แต่น้ำเสียงเย็นเยือกที่ต่างจากปกติลิบลับทำให้เขารู้สึกว่ามันอาจไม่ใช่แบบนั้น
“โอลิเวีย” ชินเอ่ยชื่อของเธอไปโดยไม่รู้ตัว และอาจไม่รู้ด้วยว่าในน้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความกังวล
และใช่… ความกังวลเพียงหนึ่งเดียวที่ชินกังวลก็คือ ความกลัวว่าโอลิเวียจะเข้าใจอะไรผิดไปนั่นเอง
ทว่าสำหรับชงหยวนแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นเสียมากกว่า อาจเพราะแบบนั้นเธอถึงเผยรอยยิ้มที่ทั้งเจ้าเล่ห์และเย้าหยอกออกมา
“ตายจริง ดูเหมือนเราจะคุยกันเพลินจนลืมเวลาเลยนะคะเนี่ย” ชงหยวนกล่าวแบบนั้น มองไปยังโอลิเวียที่ยืนอยู่หน้าประตู
แม้จะนั่งอยู่ แต่สายตาที่แสดงจุดยืนอันเหนือกว่าถูกส่งไปยังโอลิเวีย
ไม่รู้ว่าโอลิเวียเองก็รู้สึกแบบนั้นหรืออย่างไร คิ้วของเธอถึงกระตุกอย่างแรงจนสังเกตเห็นได้จากตรงที่ชินนั่งอยู่
“เหรอคะ… ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขออภัยด้วยที่มาขัดจังหวะนะคะ”
โอลิเวียว่าแบบนั้นแล้วก็หันหลังกลับ เดินออกจากห้องไปทั้งแบบนั้นเพื่อไปยังห้องประชุม
…แต่อันที่จริง เธออาจแค่ต้องการออกไปจากที่นี่เสียมากกว่า
บรรยากาศแบบนี้เป็นที่คุ้นเคยสำหรับชินตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตก็จริง
แต่ด้วยความสัตย์… ตัวชินนั้นไม่เคยรู้สึกสบายใจและได้แต่กังวลในทุกครั้งที่เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้น