ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก - ตอนที่ 28: คาบเรียนพิเศษ
“ ต่อไปเป็นข่าวใหญ่ที่ทุกคนคงจะได้ยินมาบ้างแล้วนะคะ ”
หลังค่ำคืนสุดแปลกพิสดาร มหัศจรรย์และน่าหวาดหวั่นจบลง ยามเช้าราวกับเป็นอีกด้านหนึ่งของผิวจันทราก็มาเยือนชินอีกครั้ง
เช่นเคย… ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างการเดินทางไปเรียน พร้อมกับฟังข่าวสารยามเช้าช่องประจำของชินในระหว่างเดินทางบนรถไฟฟ้า
“ เหตุจลาจลกลางเมืองสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ณ ปัจจุบันยังไม่มีแถลงการณ์ใด ๆ จาก URI ประจำเขตที่ 66 ของเราเลยครับ ”
“ แต่แน่นอนว่าทางเราไม่ได้นิ่งเฉยหรอกนะคะ… จากการสอบถามกับผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุเมื่อคืนรวมถึงการสำรวจสถานที่เกิดเหตุแล้ว… ”
ผู้ประกาศทั้งสองดำเนินรายการอย่างกระตือรือร้น น้ำเสียงอันจริงจังถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจน บางทีหากดูพวกเขาผ่านทางจอทีวีสีหน้าเองก็คงจะตึงเครียดไม่น้อย
และในส่วนของเนื้อหาข่าวที่เป็นเรื่องจริงจังทั้งยังเป็นเรื่องที่ต้องิตดตามอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว จึงไม่แปลกที่ผู้ประกาสทั้งสองจะจริงจังมากกว่าปกติ
ไม่สิ ไม่ใช่แค่ผู้ประกาศข่าวเท่านั้น… หากชำเลืองมองไปรอบตัว เหล่าผู้ที่กำลังใช้โฮโลวอชทุกคนที่อยู่บนขบวนรถไฟฟ้าต่างก็กำลังติดตามข่าวนี้กันหมดทุกคน หากไม่ใช่การนำเสนอข่าวแบบถ่ายทอดสดก็เป็นบทความ หรือหากไม่ใช่ไลฟ์สตรีมของผู้เชี่ยวชาญที่กำลังวิเคราะห์สถานการณ์ก็เป็นคอมเมนต์ใต้หัวข้อข่าวเรื่องเดียวกัน
แต่ก็เข้าใจอยู่ล่ะนะ… สำหรับประชาชนทั่วไป เหตุการณเมื่อคืนมันเป็นเรื่องใหญ่มาก
ความเสียหายกินวงกว้างเกือบ 1 กิโลเมตร แถมศูนย์กลางอย่างห้างสรรพสินค้าประจำเมืองยังเละไม่เหลือซากอีก
และที่สำคัญที่สุด… คือไม่มีวี่แววใด ๆ ที่ใช้บ่งบอกว่าคนร้ายในเหตุการณ์นี้ต้องการอะไร เป็นใคร
และจะก่อเหตุแบบนี้อีกครั้งรึเปล่า? นั่นคงเป็นเรื่องที่ประชาชนคนทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรต้องกังวล
ชินคิดแบบนั้นในขณะที่เก็บรายละเอียดจากผู้ประกาศทั้งสองในข่าว กระนั้นข้อมูลที่ถูกเปิดเผยออกมาไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการคาดเดาอย่างที่ชินประเมินไว้ แม้ว่าสำนักข่าวนี้จะมีความสามารถในการติดตามและนำเสนอมากที่สุดในประเทศแล้วก็ตามที
แต่เรื่องนั้นก็ว่ากันไม่ได้… เพราะหากจะว่ากันตามตรง คนที่เก็บหลักฐานได้อย่างแนบเนียนน่าจะเป็นคนก่อเรื่องอย่างพวกราชากับพวกอัศวินจากจีน กับ URI ที่ยังไม่ยอมเปิดเผยหลักฐานที่เจอต่างหาก
“ เริ่มเช้าวันจันทร์ด้วยสถานการณ์ที่ตึงเครียดไม่เบาเลยนะครับเนี่ย ”
“ นั่นสิคะ คงทำเอาหลายคนขวัญหนีดีฝ่อไม่น้อย แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปล่ะนะคะ ”
ก็นั่นสินะ…
ชินคิดเห็นด้วยอย่างไร้ข้อกังขากับสถานการณ์แบบนี้
สถานการณ์ที่ทำเอาทุกคนแทบจะขวัญผวาไม่เป็นอันเรียน ทำงานหรือดำเนินชีวิตตามปกติ ความรุนแรงของเหตุการณ์นี้ ไม่แปลกเลยที่จะถูกสั่งเคอร์ฟิวภายในไม่กี่ ชม. นี้ แต่ที่ทำให้ทุกคนยิ่งกังวลเข้าไปใหญ่คือการที่ภาครัฐหรือ URI ไม่เคลื่อนไหวใด ๆ นั่นแหล่ะ
ถ้าเรามีอำนาจพอจะทำอะไรกับสถานการณ์แบบนี้ได้ มันจะเป็นยังไงกันนะ
ความคิดแบบนั้นผลุบเข้ามาในหัวของชินในตอนที่ประตูของขบวนรถไฟฟ้าเปิดออก เพราะมาถึงสถานีเป้าหมายอย่างโรงเรียนมัธยมปลายเซนต์ลอเลนซ์พอดิบพอดี
❖❖❖❖❖
“ โถ่เว้ย… น่าเบื่อชะมัดยาดเลย ”
ทันทีที่มาถึงในห้องเรียนแล้วนั่งลงตรงที่ประจำของตัวเอง เคนเนธที่นั่งอยู่ด้านหน้าของชินก็บ่นอิดออดแบบนั้นออกมาในทันที ก่อนที่จะเอาหน้าราบไปกับพื้นโต๊ะด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายอย่างที่ท่าทางได้แสดงออกมา
“ เมื่อวานเล่นเกมแพ้รึไง ” ชินหยอกไปแบบนั้น
“ เรื่องนั้นก็ใช่อยู่หรอก ” เคนเนธตอบกลับมาพร้อมกับทำหน้ามุ่ยอยู่ใต้แขนตัวเอง
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันอยากรู้นะ… ชินอยากจะบ่นแบบนั้นออกมาเหมือนกัน เพราะเขาถามโดยคาดหวังจะได้รับเหตุผลที่เจ้าตัวรู้สึกเบื่อต่างหาก
“ ก็แหม… พอคิดว่าต้องเรียนไปจนกว่าจะถึงวันศุกร์มันก็เหนื่อยแล้วอ่ะ ”
“ เรื่องนั้นหรอกเหรอ ”
กะแล้วเชียว… ชินทำสีหน้าแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเคนเนธเสียทีเดียว เพราะแม้เจ้าตัวจะเป็นพวกขี้เกียจสันหลังยาว แต่ก็เป็นประเภทที่สนุกกับการใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนอย่างเต็มที่ ไม่ใช่พวกที่จะบ่นโอดโอยกับการมาเรียนตามปกติ
แต่ที่เขาบ่นแบบนี้ คงเป็นเพราะเหตุสืบเนื่องมาจากการประกาศหยุดเรียนเพราะเหตุจลาจลจากการกระทำของเฮเดอร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ก็จริงที่มันทำให้เกิดวันหยุดขึ้น 2 วัน แต่ก็ทำให้เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมากลายเป็นวันเรียนชดเชยของสองวันที่หยุดไป ดังนั้นหากกล่าวถึงวันที่ต้อเรียนโดยรวมนับจากวันที่เปิดเรียนหลังหยุดชดเชยก็คือ วันศุกร์ที่ผ่านมาไปจนถึงวันศุกร์นี้รวม 8 วัน
มองในแง่นั้นคงเป็นเรื่องปกติที่เคนเนธจะบ่น
“ แต่หลังจากนั้นจะเป็นวันหยุด แล้วจันทร์หน้าก็จะได้ไปทัศนศึกษานะ ”
“ เห้ย จริงด้วย! ลืมเรื่องนั้นไปซะสนิทเลย ” พอได้ยินเรื่องกำหนดการสัปดาห์หน้าเข้าไป เคนเนธก็เหยียดหลังตรงแด่วด้วยความตื่นเต้นทันที
ยังกับไมยราบ แต่เป็นไมยราบที่พอโดนแตะแล้วจะบานน่ะนะ… ชินแอบคิดแบบนั้นเมื่อได้เห็นท่าทางของเคนเนธที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
แต่เอาเถอะ ร่าเริงขึ้นก็ดีแล้ว
“ อรุณสวัสดิ์ชิน เคนเนธ ” นั่นเป็นจังหวะที่เกวนเข้ามาในห้องพร้อมกับทักทายทั้งคู่พอดิบพอดี
จริง ๆ ชินก็รู้ตัวตั้งแต่เธอเข้ามาในห้องแล้วนั่นแหล่ะ เพียงแต่กำลังสนใจเคนเนธอยู่เท่านั้นเลยไม่ได้แสดงท่าทีสนใจตามปกติ
“ อรุณสวัสดิ์นะ ” ชินยิ้มตอบตามธรรมชาติเหมือนแคย
“ โอ้! ยังสวยไม่สร่างเหมือนเดิมเน่อ! ” เคนเนธทักทายเกวนอย่างร่าเริงเหมือนเคย
“ ฮุฮุ ร่าเริงจังนะ ทั้งที่ก่อนจะโดนชินปลอบยังหงอยเป็นไมยราบถูกแตะอยู่เลยแท้ ๆ ”
“ ง่ะ ”
แต่ดูเหมือนที่แซวเกวนไปจะไม่ได้ผล หากเป็นตามปกติฝ่ายหญิงถูกหนุ่มหล่ออย่างเคนเนธหยอดไปแบบนั้นคงอายม้วนต้วนไปแล้ว
ได้ยินที่คุยกันเมื่อกี้ด้วยแฮะ
ว่าแต่… หมอนี่เหมือนไมยราบจริง ๆ ด้วยสินะ
“ มะ มีอะไรรึเปล่า? ฉันดูแปลกเหรอ? ” เกวนที่ถูกชินจ้องทำท่าทางลุกลี้ลุกลนแบบนั้นออกมาอย่างเอียงอาย แต่ก็แค่เพราะมุกที่เธอเล่นมันตรงกับที่ชินคิดแค่นั้นเอง
“ เปล่า ๆ ”
“ โถ่ แบบนี้มันคาใจนะ ”
กลับกลายเป็นเกวนที่ทำแก้มป่องใส่ชิน แต่ท่าทางเขินอายของเธอยังไม่ได้เลือนหายไปจนหมด เป็นที่น่าแปลกใจสำหรับชินเหมือนกันที่เธอดันเขินอายกับการถูกเขาจ้องแทนที่จะเป็นเคนเนธ
“ อ้าว ๆ นั่งที่ได้แล้วพวกเธอ ”
ในจังหวะที่เกวนนั่งลงด้านข้างชินเหมือนทุกที อาจารย์ประจำชั้นสาวของพวกชินอย่างอาจารย์เลน่าก็เข้ามาในห้องพอดิบพอดี
…พร้อมกับปึกเอกสารหนาเตอะแบบที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก จากนิสัยของเจ้าตัวแล้ว ปกติเธอแทบจะมามือเปล่าทั้งที่ควรจะหยิบสมุดเช็คชื่อมาแท้ ๆ นั่นเป็นจุดสังเกตหลัก ๆ ที่ทำให้
“ อะไรกันเนี่ย ยังมากันไม่ครบเหรอ ” และจุดสำคัญอีกอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาก็คือ เธอมาเร็วกว่าปกติ นักเรียนบางคนจึงยังมาไม่ถึงห้องเรียน
ซูซานเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ อาจารย์เลน่ามาเร็วแบบนี้มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ ” เกวนใส่ใจข้อสงสัยของทุกคนจึงเป็นตัวแทนถามออกแบบนั้น แต่อาจารย์เลน่ากลับทำหน้ามุ่ยกลับมา
“ เดี๋ยว ๆ พูดแบบนั้นเหมือนกับว่าปกติฉันมาสายเลยไม่ใช่เหรอ? ”
ก็ใช่น่ะสิ!
ทุกคนอยากจะตะโกนโพล่งแบบนั้นใส่อาจารย์สาวผู้ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แต่แน่นอนว่าไม่มีใครพูดอะไรออกไปนอกจากเผยยิ้มเจื่อนออกไป
“ แบบว่า… มีเรื่องน่ารำคาญน่ะสิ ” อาจารย์พูดจบแล้วก็ถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียด ภาพลักษณ์ของอาจารย์สาวแสนสวยแต่ไร้ความรับผิดชอบไม่มีทางแย่ลงไปกว่านี้อีกแล้ว
“ เรื่องน่ารำคาญกว่าทัศนศึกษาสัปดาห์หน้าเหรอครับ? ”
“ ก็ทำนองนั้นแหล่ะ แต่ขอพูดทีเดียวตอนทุกคนมาก็แล้วกัน ”
พอได้ยินคำถามเร่งเร้าของชิน เจ้าตัวก็ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะอาจารย์หน้าห้องด้วยความเหนื่อยหน่ายไปอีก ดูท่าหากต้องการจะได้คำตอบคงมีแต่ต้องรอท่าเดียว
เวลาผ่านไปไม่นานนัก นักเรียนคนที่เหลือก็เริ่มจะทยอยมา รวมถึงซูซานเองก็ด้วย
ท่าทางแคลงใจของเธอในพริบตาที่สังเกตเห็นความตึงเครียดของนักเรียนในห้องเป็นที่สังเกตของชิน
ดูเหมือนเหตุการณ์นี้จะไม่เกี่ยวกับเธอสินะ ไม่งั้นคงไม่มีเหตุผลที่ต้องแสดงท่าทีประหลาดใจโดยไม่จำเป็นแบบนั้นออกมา เธอเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ของตัวเองด้านหลังของชินโดยไม่ได้คำนึงถึงจุดนั้น
“ อรุณสวัสดิ์นะคะชิน เกวน ” ซูซานทักทายชินกับเกวนด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ
“ อืม อรุณสวัสดิ์ ”
“ อรุณสวัสดิ์จ่ะซูซาน ”
ซึ่งชินกับเกวนก็ทำแบบเดียวกัน
ทางชินเลือกแสดงความเย็นชาออกมาเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ระยะห่างถูกร่นมากเกินไป แต่ดูเหมือนว่าเกวนจะคิดต่างตรงที่เข้าหาด้วยความร่าเริงอย่างเป็นธรรมชาติไว้ก่อนแม้ว่าซูซานอาจจะเป็นตัวอันตราย
“ เอ๋!!! แล้วฉันล่ะ ฉันเองก็อยากเป็นเพื่อนด้วยเหมือนกันนะ ” ในตอนนั้นเคนเนธก็พูดโพล่งขึ้นมา
“ ฮุฮุ งั้นก็อรุณสวัสดิ์นะคะเคนเนธ ” แต่ทางซูซานวางท่าเรียบร้อยก่อนจะตอบกลับเกินคาด
“ โอ้! อรุณสวัสดิ์ ”
ทางเคนเนธได้ยินแบบนั้นก็ตอบกลับอย่างร่าเริงแจ่มใส ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตที่ซูซานทำเหมือนยังไงก็ได้กับเขาเลย แต่ในมุมมองของชินก็เข้าใจได้ เพราะเป้าหมายที่เธอมาเรียนที่นี่ไม่ใช่การเสพชีวิตวัยรุ่น แต่เป็นการเค้นตัวจริงของเขา จะไม่ให้ความสำคัญกับคนอื่นโดยไม่จำเป็นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่หากมองในแง่นั้น… การที่เธอเข้าหาเกวน แสดงว่าเธอลงความเห็นว่าเกวนเองก็มีส่วนกับเรื่องนี้เหมือนกันรึเปล่า
ความคิดแบบนั้นเข้ามาในหัวชินอีกครั้ง แต่การจะยืนยันเรื่องนั้นให้ได้ก็ดูท่าจะยังไม่สามารถทำได้ในเร็ววัน แล้วในระหว่างที่คิดแบบนั้นเพลิน ๆ นักเรียนทุกคนก็เข้ามาจนครบพอดิบพอดี
“ อืม ๆ… ดูท่าจะครบซักทีนะ ” อาจารย์เลน่าพูดยืนยันหลังจากมองกวาดไปทั่วห้อง
“ ขี้เกียจพูดยาวอ่ะนะ เพราะงั้นจะสรุปสั้น ๆ เลยละกัน ”
อาจารย์เลน่าใช้นิ้วกรีดกระดาษพร้อมกับตัดเข้าประเด็นหลักเหมือนทุกที ถึงแม้จะดูขอไปทีเกินไปหน่อย แต่นักเรียนส่วนใหญ่ก็ชอบใจไม่น้อยเพราะไม่ทำให้เสียเวลาส่วนตัวก่อนเริ่มเรียนคาบแรก
“ เพราะเรื่องที่เกิดเมื่อวาน ที่ระเบิดเมืองกันตูมตามนั่นแหล่ะ… ดูเหมือนทาง URI เขาจะจัดคาบเรียนพิเศษสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อสอนหลักสูตรการรับมือจลาจลให้นักเรียนที่อยู่ในเขตเสี่ยงน่ะ ”
พอได้ยินเรื่องแบบนั้น นักเรียนในห้องก็เริ่มคุยกัน
เห็นด้วยกับอาจารย์เลยแฮะที่เรื่องนี้มันยุ่งยาก… ชินบ่นอุบแบบนั้นอยู่ในใจ
“ เงียบก่อน ๆ ” อาจารย์เลน่าพูดเตือนทุกคนก็เงียบตามที่บอก อย่างน้อยทุกคนก็ฟัง
“ เรื่องนี้ไม่ได้บังคับหรอกนะ เดิมทีสถานการณ์แบบนี้มันควรจะประกาศเคอร์ฟิวแล้วหยุดเรียนไปแล้วด้วยซ้ำ ” อาจารย์เลน่าพูดพลางถอนหายใจ ความอ่อนโยนที่แสดงออกมาเพราะความเป็นห่วงนักเรียนในฐานะอาจารย์ เป็นหนึ่งอย่างที่เธอจริงใจพอให้นักเรียนทุกคนสังเกตจนเคารพเธอ
ถึงจะเปลี่ยนความจริงที่เธอเหลาะแหล่ะไม่ได้ก็ตามที
“ จะว่าไปเขาได้บอกเหตุผลที่ไม่ประกาศหยุดรึเปล่าครับ ” ชินยกมือถามเมื่อได้จังหวะ
และดูเหมือนจะเป็นจังหวะที่เลน่าพูดจบแล้วพอดี เธอถึงไม่ได้แสดงท่าทีหงุดหงิด
“ ปัญหาภายในน่ะ โอเค๊? ” อาจารย์เลน่าพูดแบบนั้นพร้อมกับทำนิ้วชี้ติดกับนิ้วโป้ง
งั้นเหรอ… ก็จริงที่ถ้าเกิดหยุดบ่อย ๆ เข้าจะมีเวลาเรียนไม่ครบจนอาจทำให้ประเมินผลการเรียนไม่ได้
มีทางเลือกอย่างการเรียนออนไลน์เหมือนกัน แต่ถ้าจะเปลี่ยนรูปแบบก็ต้องทำการคืนเงินค่าเทอมส่วนที่ไม่ได้เรียน ซึ่งใช้เวลาในการดำเนินการมาก
และประเด็นหลักก็คือ สถานการณ์จลาจลในปัจจุบันยังขาดข้อมูลที่ชัดเจนในการตัดสินใจนั่นแหล่ะ ถ้าตัดสินให้หยุดเรียนแล้วสถานการณ์คลี่คลายลงก็ต้องเปลี่ยนรูปแบบกลับมาเป็นปกติ
แต่ถึงจะมีเหตุผลร้อยแปด ทว่าการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักเรียนก่อนมันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เหรอ?
ถึงการจัดวิชาเรียนให้จะมีความเหมาะสมมากกว่าเพราะไม่รู้ว่าเหตุจลาจลแบบนั้นจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ เลยทำได้แค่สอนวิธีรับมือให้ก็เถอะ แต่ก็เห็นกันชัด ๆ อยู่ว่าการรอเวลาในสถานการณ์แบบนี้มีแต่จะสร้างความอันตรายให้กับนักเรียน
สิ่งที่ผูกมัดความปลอดภัยของนักเรียน กลับเป็นผลประโยชน์ของเหล่าผู้ที่อยู่บนห่วงโซ่อาหารที่เหนือกว่า
…น่ารังเกียจ
เป็นอีกครั้งที่ชินรู้สึกเบื่อหน่ายกับกลไกของโลกใบนี้ที่ขึ้นอยู่กับอำนาจของคนกลุ่มน้อยซึ่งใช้ขับเคลื่อนคนหมู่มาก แม้ตามหลักตรรกะแล้วคนกลุ่มใหญ่ควรจะมีอำนาจเพื่อเคลื่อนไหวมากกว่าก็ตามที
เข้าใจเลยว่าทำไมใคร ๆ ถึงไม่พอใจแล้วอยากจะเปลี่ยนโลกกัน… ชินคิดแบบนั้นขึ้นมาจริง ๆ
“ ก็… คาบแรกเขาบังคับเข้าเรียนน่ะนะ ถูกจองวิชาเรียนไว้ที่คายแรกของวันนี้ แต่วันต่อ ๆ ไปจะขึ้นอยู่กับความสมัครใจ ” พอได้ยินอาจารย์เลน่าขยายความ นักเรียนหลายคนก็เริ่มจะยิ้มแก้มปริ
“ แต่คนที่ไม่เข้าเรียนวิชานี้จะโดนหักจิตพิสัยนะเอ้อ ”
จนกระทั่งเผยรอยยิ้มของปีศาจขี้แกล้งออกมานั่นแล ทุกคนถึงอ้าปากค้างพลางถอนหายใจไปพร้อมกันหมดทุกคน
“ สุดท้ายก็เหมือนมัดมือชกให้เรียนนี่นะ ”
“ นะ นั่นสินะ ”
เกวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงหวั่นไหวมากกว่าปกติเท่าที่ชินสังเกตได้จากการพูดคุยตามปกติ แต่ใช่ว่าชินจะไม่รู้สาเหตุของเรื่องนี้จึงไม่ได้เอ่ยถามออกไป
ไม่สิ… เพราะรู้ต่างหากถึงพูดเรื่องแบบนั้นที่นี่ไม่ได้
“ น่าสนุกเหมือนกันนะคะเนี่ย ได้ยินว่าต่างประเทศที่มีเหตุจลาจลเองก็เปิดสอนวิชานี้ในโรงเรียนเหมือนกัน ” แต่ดูเหมือนในบรรดาคนที่กำลังกลัดกลุ้ม ก็ยังมีคนที่ตื่นเต้นกับสถานการณ์แปลกใหม่อยู่
ซูซานกับเคนเนธเป็นสองคนจากในตัวอย่างนั้นที่มีอยู่น้อยนิด
“ นั่นสิเนาะ… ยังไงคนที่ชอบก่อเรื่องแบบนั้นก็ไม่มีทางหายไป คงต้องทำแบบนี้เท่านั้นแหล่ะ ” เกวนเอ่ยตอบซูซาน
ก็จริงที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่จึงทำได้แค่ป้องกัน หากมองในแง่นั้นก็เข้าใจได้ว่าบางที URI คงมองในระยะยาว เพราะเหตุจลาจลที่เกิดขึ้นถี่ในช่วงนี้
…แต่การทำแบบนี้ก็ทำเอานักเรียนหลายคนอดคิดกังวลไม่ได้ ว่าเหตุจลาจลที่เหมือนกับเมื่อคืนอาจเกิดขึ้นอีกหรือรุนแรงกว่า
❖❖❖❖❖
หลังจากนั้นอาจารย์เลน่าก็นำนักเรียนทุกคนไปที่โรงยิมที่ใช้ทำกิจกรรม ซึ่งเป็นสถานที่นัดของตัวแทนจาก URI ที่จะมาเปิดคาบเรียนพิเศษในโรงเรียน จากคำบอกเล่าของอาจารย์เลน่า โรงเรียนเซนต์ลอเลนซ์นี้เป็นโรงเรียนแรกที่ URI จะเข้ามาพูดคุยและหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้
…และการเลือกที่นี่เป็นโรงเรียนแรกของ URI เป็นข้อสังเกตนึงที่ชินไม่ปล่อยผ่าน ในขณะที่เดินเข้ามาถึงโรงยิม ซึ่งเต็มไปด้วยนักเรียนคับคั่ง ส่วนอาจารย์นั้นนั่งแยกอยู่ที่ฝั่งริมหน้าต่าง
อนึ่ง แม้นักเรียนทุกคนจะคุยกันเป็นว่าเล่น แต่ที่นี่ทุกคนได้รับการอบรมระเบียบวินัยในระดับที่เหมาะสม จึงสามารถไว้ใจได้ว่า หากแขกผู้เกียรติใกล้จะมาถึงก็จะมีการประกาศให้เตรียมเข้าแถวต้อนรับล่วงหน้า
เวลานี้จึงเป็นอิสระที่นักเรียนจากต่างห้องจะได้คุยเล่นกันในระดับนึง
“ เจอกันอีกแล้วนะคะชิน ”
นั่นเป็นตอนที่มีนักเรียนสาวเผ่าเอลฟ์เดินเข้ามาทักทายชิน… โอลิเวียผู้เป็นขวัญใจหญิงสาว และเป็นเป้าสายตาของเด็กหนุ่มทุกคนตั้งแต่ที่เข้ามาในโรงยิมนั่นเอง
“ อรุณสวัสดิ์โอลิเวีย ”
“ ค่ะ อรุณสวัสดิ์เช่นกันนะคะ ”
ทั้งชินที่เป็นคนตอบกลับและโอลิเวียที่เป็นเริ่มบทสนทนา ต่างกลายเป็นเป้าสายตาของทุกคนในโรงยิมกันหมด ที่หนุ่มหล่อซึ่งหญิงสาวหลาย ๆ คนในโรงเรียนหมายปองอย่างชินกับสาวงามเผ่าเอลฟ์อันดับหนึ่งของโรงเรียนได้เริ่มพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มและความหวานชื่น
…อย่างน้อยนั่นก็เป็นฟิลเตอร์ที่ผ่านสายตาของเหล่านักเรียนชายและนักเรียนหญิงมาแล้ว
แต่ความจริงทั้งสองคนก็ปล่อยบรรยากาศแบบนั้นออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
“ แหม… ดูเหมือนคอเสื้อจะยับอยู่นิดหน่อยนะคะเนี่ย ”
“ !? ”
โอลิเวียที่ขยับเข้ามาจนใกล้ ตามข้อตกลงระยะ 1 เมตรคือจุดที่ไม่แสดงให้เห็นว่าสนิทกันเกินไป แต่เจ้าตัวก็กลับขยับเข้ามาใกล้(เกิน) แถมยังหาข้ออ้างมาจัดคอเสื้อเพื่อเข้าใกล้(ทั้งที่ความจริงมันก็ไม่ได้ยับอะไร)
เจอแบบนั้นต่อให้เป็นชินก็ตกใจ ไม่สิ… เพราะอีกฝ่ายเป็นโอลิเวียต่างหาก ชินถึงได้ตกใจ
แล้วในขณะที่ทั้งสองคน(เผลอ)เข้าโลกส่วนตัวของตัวเองไป สาว ๆ ที่เห็นแบบนั้นก็เริ่มกรี้ดวี๊ดว๊ายกับคู่จิ้นอันดับหนึ่งของโรงเรียนไปเองโดยไม่รู้ตัว
และดูเหมือนทางฝั่งของเพื่อนชินเองก็ด้วย
“ อุหวา… เกิดเรื่องใหญ่แล้วนะนั่น ”
“ นะ นั่นสิ ”
เพื่อนสาวของเกวนเข้ามาเกาะไหล่ สายตาเกาะติดสถานการณ์ เกวนเองก็แสดงอาการหวั่นไหวให้เห็นเหมือนกัน
เอ๋!!!!!!!?
แต่พอได้สติ หัวใจของเธอก็แทบจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเพราะเพิ่งมาสังเกตได้ว่าซูซานที่ควรจะอยู่ข้าง ๆ กลุ่มพวกเธอ ดันไปอยู่ข้าง ๆ ชินกับโอลิเวียที่กำลังเป็นเป้าสายตาของคนทั้งโรงยิมไปซะอย่างงั้น
“ อรุณสวัสดิ์นะคะโอลิเวีย ” ซูซานที่เข้าไปใกล้ทั้งสองคนเหมือนลงกลางดงดอกไม้ที่กำลังผลิบาน ซึ่งนั่นคงไม่แปลกที่จะทำให้ทั้งสองคน โดยเฉพาะโอลิเวียรู้สึกหงุดหงิด แม้จะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าก็ตาม
“ …อรุณสวัสดิ์ค่ะ ”
กระนั้นเธอก็ยังตอบกลับซูซานไปพร้อมกับรักษามารยาท (แม้จะไม่ได้ยิ้มก็ตาม)
“ อันที่จริงก็สังเกตมาตั้งแต่ครั้งที่แล้วอยู่หรอกนะคะ… แต่ทั้งสองคน สนิทกันน่าดูเลยนะคะเนี่ย ”
คำพูดพร้อมท่าทางสงสัยใคร่รู้ของซูซานที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้โอลิเวีย หากมองจากมุมมองของบุคคลที่สามคงจะดูน่ารักน่าชังอย่างที่เธอหวังให้เป็น
แต่จากน้ำเสียงและสายตาที่ส่งมาทางชินและโอลิเวีย ความคมกริบนั้นปานต้องการจะเชือดเฉือนทั้งสองคนให้ดับดิ้นไปตาม ๆ กัน พร้อมแรงกดดันไม่ทราบที่มา หากเป็นคนธรรมดาคงไม่พ้นต้องขวัญหนีดีฝ่อไปตาม ๆ กัน
“ เขาเป็นนักเรียนชายที่ฉันสนิทด้วยที่สุดนี่คะ ”
โอลิเวียตอบอย่างไร้ความเกรงกลัว คำตอบนั่นทำให้ผู้ชมที่อยู่รอบ ๆ รู้สึกตื่นเต้นเหมือนได้เห็นละครแสดงสดตรงหน้า
เว้นแต่ว่า…
“ แล้วก็… อย่างน้อยก็สนิทมากกว่าอดีตคู่หมั้นอย่างคุณล่ะนะคะ ” เว้นแต่เสียงกระซิบของโอลิเวียที่แผ่วเบา จงใจให้ได้ยินเฉพาะซูซาน แต่ทางชินที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกันที่โอลิเวียฉุนเฉียวได้ขนาดนั้น
แม้ว่าชินจะไม่รู้เหตุผลก็ตาม แต่ในเบื้องต้น โอลิเวียก็แค่ไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างให้โดนซูซานข่มตลอดก็เท่านั้นเอง การข่มกลับไปบ้างจึงเป็นสิ่งที่ควรทำในสถานการณ์แบบนี้
ใช่… แค่เบื้องต้น
“ …ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ยัยข้ารับใช้ ”
ซูซานสบถแบบนั้นก่อนจะเดินจากไปทางเกวนในขณะที่ปั้นยิ้มกลับมาเหมือนเดิม ดูเหมือนทั้งสองคนจะแสดงความเป็นศัตรูอย่างชัดเจนต่อกัน
อันที่จริงก็ตั้งแต่เมื่อก่อนที่ชินยังมีสถานะเป็นเจ้าชายอยู่แล้ว เพียงแต่ทำไมหนนี้มันชัดเจนขึ้น ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ชินไม่อาจไขปริศนาได้
“ นักเรียนทุกคน! กรุณาเข้าแถวตามห้องเรียนให้เรียบร้อยด้วยค่ะ วิทยากรพิเศษจาก URI ประจำเขตประเทศที่ 66 กำลังจะเริ่มการบรรยายในอีก 10 นาที ”
ก็จริงที่การสนทนาของโอลิเวียกับซูซานทำให้บรรยากาศรอบตัวชินคุกรุ่น (แต่แน่นอนว่าคนปกติไม่ได้เห็นเป็นแบบนั้น) การที่ผู้ประกาศพูดแบบนั้นขึ้นมาจึงช่วยให้บรรยากาศเย็นลง
แม้จะมีเรื่องที่ยังสงสัย แต่ก็ต้องทำตามประกาศไปก่อน
“ ไว้เจอกันนะ ”
‘ หลังจากนี้อธิบายมาด้วยว่ามันเรื่องอะไร ’
ชินเอ่ยลาด้วยรอยยิ้มตามธรรมชาติ
แต่สายตาที่ขมวดคิ้วเล็ก ๆ ยากแก่ผู้อื่นจะสังเกตนั้นบ่งบอกอีกอย่างนึง
“ ค่ะ ถ้างั้นขอตัวก่อนนะคะ ”
‘ ฮุฮุ ไม่บอกหรอกค่ะ ’
เช่นเดียวกับโอลิเวียที่บอกลาด้วยรอยยิ้มที่แย้มออกมาเล็กน้อยตามมารยาท
แต่ด้วยสายตาขี้แกล้งและอารมณ์ดีสุด ๆ ยากแก่การสังเกตสำหรับบุคคลอื่นนอกจากชิน นั่นถึงทำให้ชินหน้ามุ่ยด้วยความสงสัยไปชั่วเวลานึง
เหตุการณ์เป็นที่ซุบซิบของนักเรียนทุกคนไปเรื่อยจนกระทั่งเข้าแถวจนเป็นระเบียบเรียบร้อยจบก็นั่งเก้าอี้ที่เตรียมไว้แล้วตามแถวห้อง
ส่วนตำแหน่งการนั่งของห้อง A และ B มัธยมชั้นปีที่ 5 นั้นอยู่บริเวณกลางเวทีพอดี และด้วยความที่ชินกับโอลิเวียเป็นตัวแทนของทั้งสองห้อง พวกเขาจึงนั่งด้านหน้าสุดเป็นธรรมดา
“ เอาเรื่องนี่หว่าพ่อรูปหล่อ ”
“ หนอยยย น่าอิจฉาเว้ย ”
ถึงจะบอกว่าบรรยากาศกำลังจะเข้าสู่ความจริงจัง แต่เสียงกระแซะจากเคนเนธและเพื่อนชายหลาย ๆ คนก็ยังมีอยู่ ซึ่งชินก็ทำเป็นไม่สนใจนั่นแหล่ะ
“ การบรรยายแนะนำคาบเรียนพิเศษเพื่อการรับมือเหตุจลาจลกำลังจะเริ่มแล้วค่ะ
ขอเรียนเชิญคุณออก้า วาเลนไทน์ หัวหน้าหน่วยสืบสวนของ URI ประจำเขตที่ 66 กราบเรียนเชิญค่ะ! ”
โดยปล่อยให้บรรยากาศของเด็กเรียนยังคงกระตือรือร้นกับเรื่องของชินกับโอลิเวียกันอยู่ อาจารย์หญิงคนนึงก็เริ่มเปิดการบรรยายเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
“ คนมาเป็นหัวหน้าเลยเหรอเนี่ย ”
“ ทุ่มทุนน่าดูนะเนี่ย แต่ถ้าเป็นฉันก็อยากจะแวบออกมาเล่นที่โรงเรียนอยู่หรอก ”
เกวนกับเคนเนธที่นั่งถัดจากชินไปแอบกระซิบแบบนั้นไล่หลังมา แต่ก็จริงอย่างที่ว่า เพราะในสถานการณ์ที่เพิ่งจะเกิดเรื่องแบบนี้ ไม่เห็นมีเหตุผลที่คนใหญ่คนโตระดับนี้จะต้องมาบรรยายให้โรงเรียน (แม้ว่าโรงเรียนเซนต์ลอเลนซ์จะเป็นโรงเรียนอันดับ 1 ของประเทศก็ตาม)
ซึ่งชินเองก็เห็นด้วย
“ นั่นสินะ เรื่องนั้นก็แปลกจริง ๆ———!!! ”
แต่คำพูดของเขาก็ถูกสะกดโดยบุคคลที่กำลังพินิจพิเคราะห์อยู่นั่น
มันคงไม่มีอะไรแปลกและน่าสงสัยหากคนที่เดินออกมาเป็นข้าราชการสวมชุดพิธีการตามปกติ
แต่ที่ทำให้ชินตาเบิกโพลงกำมือแน่น ทั้งความร้อนรุ่มยังพวยพุ่งเต็มหน้าอกจนแทบอาเจียน ดวงตาสีแดงฉานปรากฏขึ้นตามสัญชาติญาณแห่งความโกรธที่ปะทุอยู่ภายใน
คือหน้ากากตัวตลกที่เขาสวมอยู่… สิ่งนั้นราวกับเป็นตัวจุดระเบิดฉายม้วนเทปในอดีตของชินขึ้นตรงหน้าอีกครั้งยังไงอย่างงั้น