ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก - ตอนที่ 24: คณะกรรมการจัดงาน
หลังจากที่เลย์ล่า หญิงสาวผู้เป็นอาจารย์และเป็นเสมือนแม่คนที่สองของชินได้มาเยี่ยมเยียนเมื่อวาน ทำให้มีหลายประเด็นตกค้างอยู่ในหัวของชินในขณะที่เขาเดินทางไปโรงเรียนตามปกติ
แน่นอนว่าเรื่องนั้นก็คือ เรื่องการแก้แค้นและเรื่องต่อจากนั้นของชิน
ก็ใช่ว่าจะไม่เคยคิดหรอกนะ ว่าการทำแบบนี้มันไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เกิดขึ้น สิ่งที่สูญเสียไปแล้วก็ไม่มีทางกลับคืนมา
แถมการทำแบบนี้ก็มีแต่จะทำให้คนที่ยังอยู่พลอยเป็นอันตรายตามไปด้วยอีก แต่ถึงอย่างงั้นเราก็ยังไม่อาจปล่อยวางสิ่งที่เกิดขึ้นได้
หากเป็นกรณีทั่วไป หลังจากที่คนร้ายถูกลงทัณฑ์ตามกฎหมายเรื่องก็คงจบ แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ไม่มีความยุติธรรมไหนที่อยู่เคียงข้างเรา เราถึงต้องเป็นคนลงทัณฑ์ด้วยตัวเอง
และที่สำคัญที่สุด… หากเจ้าตัวตลกนั่นเกิดมีเป้าหมายในการสังหารเราขึ้นมา โอลิเวียจะเป็นอันตรายอย่างแน่นอน เพราะถึงเธอจะเป็นอมตะ แต่หากใช้วิธีจองจำไว้ชั่วกัปชั่วกัลป์มันคงเลวร้ายกว่าตายซะอีก
เพราะงั้นทางเลือกที่เหลืออยู่ของฉันจึงไม่มีนอกเสียจากต้องฆ่ามันก่อนที่เราจะเป็นฝ่ายโดยเล่นงานเสียเอง
ชินใคร่ครวญเหตุผล หรืออีกนัยนึงมันอาจเป็นข้ออ้างในการก่อการของเขาตลอดมาก็เป็นได้
เพราะใช่ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เลย์ล่าหรือโอลิเวียบอกแกมขอร้องให้เขาปล่อยวางเรื่องนี้แล้วใช้ชีวิตที่เหลืออย่างปกติสุขเสียมันคงจะดีกว่า
และทุกครั้ง… ชินก็คิดว่าน้ำหนักของเหตุผลในการล้างแค้นนั้นมีมากกว่าเหมือนทุกครั้ง
แต่จะว่าไป… ทำไมเจ้านั่นมันถึงไม่ฆ่าเรากับโอลิเวียกันนะ
ความคิดนั้นแลบเข้ามาในหัวของชิน ซึ่งจะว่าไปมันก็เป็นเรื่องน่าสงสัยมาตั้งแต่แรกแล้ว
หน้ามืดตาลายเพราะความโกรธา… นั่นคงเป็นคำที่เหมาะกับชิน แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ตระหนักถึงเรื่องพื้น ๆ แบบนั้นได้เสียที
ไม่สิ… เดิมทีเจ้านั่นสังหารท่านพ่อได้ยังไง เราเองก็ไม่เคยสงสัย
เพราะต่อให้ท่านพ่อจะชราภาพเพราะอยู่มานานหลายพันปี แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังเป็นแวมไพร์ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ดี
หรือว่าเรื่องนี้ จะมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าที่เราคิด———
“ อรุณสวัสดิ์ค่ะชิน ”
ในระหว่างที่อยู่ในห้วงความคิด เสียงของเด็กสาวก็ดังขึ้นไล่หลังมาทำให้ชินจำต้องลืมข้อสงสัยในหัวไปก่อน
เพราะเด็กสาวคนที่ทักชิน ไม่ใช่คนที่รับมือง่ายเช่นนั้น
“ อรุณสวัสดิ์ซูซาน ” ชินเอ่ยทักทายกลับไปด้วยรอยยิ้ม (แต่แน่นอนว่ามันเกิดจากการปั้นแต่ง) ให้กับซูซานหรือชงหยวนที่เข้ามาทักทายเขาในจังหวะที่กำลังก้าวผ่านประตูรั้วโรงเรียนพอดิบพอดี
“ ว่าแต่กำลังคิดอะไรอยู่เหรอคะ มีเรื่องลำบากใจอะไรรึเปล่าเอ่ย ”
ดูท่าเจ้าตัวจะสังเกตเห็นจังหวะที่ชินครุ่นคิดถึงได้ถามออกมาด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง แต่สำหรับชินแล้ว คงคล้ายกับปีศาจเพรียกกระซิบข้างหูเสียมากกว่า
แต่ไม่ว่าซูซานจะต้องการคำตอบแบบไหน นั่นก็ไม่ใช่ธุระของชินที่ต้องบอกความจริงไปอยู่ดี
“ กำลังคิดเรื่องงานพิเศษนิดหน่อยน่ะ ” ชินตอบในทำนองเดียวกันทุกครั้งเมื่อถูกถาม เพราะเพื่อน ๆ ของเขารู้ดีว่าชินอาศัยอยู่คนเดียวด้วยการทำงานพิเศษ
“ หืม… เป็นงั้นสินะคะ ” ซูซานเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกเพื่อนในห้องเล่าถึงชินให้ฟัง
แต่นั่นคงเหมือนกับการเอามะพร้าวห้าวไปขายสวนเสียมากกว่า เพราะเช่นไรก็ตาม ซูซานที่เป็นอดีตคู่หมั้นย่อมรู้เรื่องของชินดีกว่าเพื่อนในห้องอยู่แล้ว
“ เป็นเจ้าชายตกอับนี่ลำบากเหมือนกันนะคะเนี่ย ”
ซูซานแอบกระซิบให้ได้ยินเฉพาะแค่ชินคนเดียว รอยยิ้มอันแสดงถึงความเหนือกว่าของไพ่ในมือปรากฏบนใบหน้าของซูซาน แต่ชินก็ทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจท่าทางนั้นในขณะที่เดินไปจนถึงห้องเรียนตามปกติ
❖❖❖❖❖
“ ชินดูเหนื่อย ๆ นะ เป็นอะไรรึเปล่า? ”
ในตอนที่มานั่งรอโฮมรูม(โดยที่ซูซานนั่งอยู่โต๊ะตัวด้านหลังของชิน)
เกวนที่มาทีหลังก็เริ่มทักทายชินก่อนเหมือนเดิม แต่สาเหตุที่เกริ่นเช่นนั้นคงเพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของซูซานที่มีต่อชินด้วย
…แต่แน่นอนว่าจริง ๆ เธอแค่ถามในเชิงรู้กันว่า “ซูซานไม่ได้ทำให้นายเหนื่อยใช่ไหม” เสียมากกว่า
“ ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก ” ชินตอบกลับพลางยิ้มตอบ อย่างน้อยชินก็รู้สึกสบายใจหากอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้อย่างเกวน เพราะอย่างน้อยทั้งคู่ก็รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังกันในระดับนึง
“ โอ๊ะโอ๋! ทำท่าทางแบบนั้นแต่เช้า เดี๋ยวก็หม่นไปทั้งวันหรอก ”
เช่นเดียวกับเคนเนธที่นั่งอยู่ด้านหน้าของชิน… เพื่อนสนิทชายของชิน ผู้ซึ่งเป็นไม่กี่คนที่ชินสบายใจและไม่ต้องระแวดระวังในการวางตัว
และจากนิสัยเข้ากับคนง่ายของเคนเนธยิ่งทำให้ชินยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติได้ง่ายขึ้น
“ เอ้อ! จะว่าไปได้ข่าวลือนั่นกันป่ะ? ที่ว่าจะเลื่อนทัศนศึกษามาเป็นสัปดาห์หน้าน่ะ? ” เคนเนธเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาพร้อมกับเปลี่ยนท่านั่งมาคร่อมเก้าอี้ฝังคางเหมือนเคย
“ ทัศนศึกษาเหรอคะ? ”
ซูซานที่นั่งอยู่ด้านหลังเอ่ยถามด้วยความสนใจ ทำให้ชินต้องเบี่ยงตัวไปพิงผนังฝั่งติดหน้าต่างให้วงสนทนามองเห็นซูซานได้ด้วยตามมารยาท
“ ทัศนศึกษาประจำปีน่ะ… โรงเรียนเซนต์ลอเรนซ์ของเรามีการไปเยี่ยมชมต่างประเทศเพื่อสานสัมพันธ์กับเพื่อนต่างห้อง แล้วก็เป็นการศึกษาวัฒนธรรมต่างชาติปีละครั้ง ประมาณนั้นแหล่ะ ” เกวนอธิบายพร้อมกับวาดนิ้วไปมาอย่างน่ารักน่าชัง ท่าทางนั่นดูเป็นมิตรเอามาก ๆ
“ แต่เอาจริง ๆ มันก็คือการไปเที่ยวนั่นแหล่ะนะ! ค่าอาหารค่าที่พักก็ฟรี โครงการเรียนฟรีนี่มันดีจริง ๆ เลยน้อ! ” เคนเนธเอ่ยพร้อมกับยิ้มแย้มไปด้วย บางทีในหัวของเขาคงกำลังนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปีก่อนที่ได้ไปทัศนศึกษาแบบเดียวกับที่กำลังจะเกิดขึ้นอีก
ท่าทางราวกับเด็ก ๆ นั่นทำให้ทั้งกลุ่มอมยิ้มออกมา
“ อ้าว ๆ นั่งที่ได้แล้วเจ้าพวกตัวป่วนทั้งหลาย ”
เสียงเนือย ๆ ราวกับไม่ได้หลับไม่ได้นอน มาจากอาจารย์ประจำชั้นสาวเลย์น่าคนเดิม
ท่าทางของเธอที่เดินเหมือนจะเซล้มได้ทุกเมื่อทำให้ทุกคนยิ้มแหย ๆ ออกมากันเพราะเห็นเป็นปกติแต่ก็ไม่ชินเสียที
ไหวไหมเนี่ยจารย์… สายตาของทุกคนบ่งบอกแบบนั้นออกมา ในขณะที่มองอาจารย์เลย์น่าเดินขึ้นแท่นสอน
“ ทำไมถึงดูเหนื่อย ๆ ล่ะครับจารย์ ”
“ นั่นสิ ไม่สบายรึเปล่าคะ? ”
เด็กนักเรียนนั่งหน้าห้องเอ่ยถามด้วยความสงสัยครึ่งนึงกับความเป็นห่วงอีกครึ่งนึง แต่นั่นกลับยิ่งทำให้อาจารย์เลย์น่าถอนหายใจออกมาเสียยืดยาวราวกับเหนื่อยหน่ายใจถึงขีดสุดไปอีก
“ ก็แหม… จู่ ๆ เจ้าพวกฝ่ายบริหารมันก็เลื่อนวันทัศนศึกษาเข้ามาน่ะสิ! งานตอนนี้ก็ล้นมือจะแย่อยู่แล้ว ยังจะโยนงานเพิ่มมาให้ทั้งที่ไม่ได้เงินเดือนเพิ่มอีก มันน่าหงุดหงิดสุด ๆ เลยใช่ไหมล่ะ! ”
อาจารย์เลย์น่าบ่นปานเก็บกดมานาน แต่ในส่วนเนื้อหาที่พูดก็ทำเอานักเรียนในห้องหลายคนเสียวสันหลังจนเผลอมองลอดออกไปนอกห้องว่ามีใครแอบฟังรึเปล่า เพราะไม่งั้นคงงานเข้าเป็นแน่
แต่ก็ยังมีคนที่ไม่ได้คิดแบบนั้นอยู่คนนึง
“ อาจารย์คร้าบ! งั้นถ้าได้ไปทัศนศึกษา อาจารย์ก็มีโอกาสหาผู้ชายรวย ๆ เร็วขึ้นไม่ใช่เหรอคร้าบ! ”
ราวกับปลาติดเบ็ด… ทันทีที่เคนเนธเล่นมุกอย่างจงใจแบบนั้น สายตาของอาจารย์เลย์น่าที่เคยแห้งผากยังกับปลาตายก็กลับเปล่งประกายขึ้นไปเสียอย่างงั้น
หากนี่เป็นการ์ตูนคงมีเสียงเอฟเฟ็กต์ ชะวิ้ง! ดังขึ้นมาเป็นพื้นหลังของอาจารย์สาวโสดคนนี้อย่างแน่นอน
“ จริงด้วย! ถ้าพูดถึงงานทัศนศึกษามันก็ต้องนึกถึงการตกผู้ชา——— ต้องนึกถึงการเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพียงไม่กี่ครั้งในช่วงที่ยังเป็นวัยรุ่น! ใช่แล้ว การทัศนศึกษาคือความทรงจำที่พวกเธอจะต้องจดจำไว้ไม่มีวันลืมยังไงล่ะ! ”
แล้วอาจารย์เลย์น่าก็เริ่มโหวกเหวกอย่างครื้นเครงไปเองคนเดียว อาการหนักมากเสียจนคิดว่าอจารย์แกไปโดนตัวไหนมาเลยทีเดียว
“ โอ๊ะ! พอพูดถึงทัศนศึกษาก็ต้องนั่นสินะ! คณะกรรมการจัดงานไง ”
และดูเหมือนอาจารย์เลย์น่าจะฉุกคิดอะไรอบางอย่างได้จึงได้พูดออกมาราวกับเพิ่งนึกออก
ซึ่งอันที่จริงนั่นคงเป็นหัวข้อหลักในโฮมรูม แต่เจ้าตัวก็ดันลืมไปเหมือนทุกทีแน่ ๆ… นักเรียนทุกคนคิดกันแบบนั้นแต่ไม่มีใครพูดออกมา
“ เวลาเองก็กระชั้นชิดมากซะด้วยสิน้า ” อาจารย์เลย์น่ากลับมาทำหน้ามุ่ยบ่นอุบ หากเธออายุอ่อนกว่านี้สักสิบปี นั่นคงเป็นสีหน้าน่ารักน่าชังที่ทำเอาหนุ่ม ๆ หลงน่าดู
“ งั้นก็เอาแบบปีที่แล้วไหมล่ะครับ เจ้าหมอนี่เองก็งานดีอย่างที่รู้กันอยู่แล้ว ”
เคนเนธเอ่ยแบบนั้นขึ้นมาในขณะที่ชี้ไปทางคนที่นั่งอยู่ด้านหลังของเขาอย่างชิน
อนึ่ง เมื่อปีที่แล้วซึ่งเป็นตอนที่ชินอยู่ชั้น ม.4 เขาเองก็เป็นคณะกรรมการจัดงานทัศนศึกษา ด้วยคะแนนโหวตแบบเป็นเอกฉันท์จากทั้งห้อง ซึ่งทางชินที่เสนอตัวเองก็ทำด้วยเหตุผลที่ว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ง่ายกว่า ในแง่ที่ว่าการเป็นคนวางแผนการเดินทางของคนในห้อง จัดหาอาหารหรือเวรยาม ทำให้ชินมีข้อมูลของทุกคนในมือ เพื่อที่จะสามารถใช้เวลาที่เป็นช่องโหว่แอบไปทำธุระกลางดึกเหมือนทุกทีได้
…แต่หนนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และต้นเหตุก็คือซูซานที่เป็นคนจ้องจับตามองชินนี่เอง แถมข้อมูลในมือของเธอก็มากพอจะทำให้ชินเคลื่อนไหวลำบากแม้จะอยู่ในสถานะกรรมการจัดงาน
“ นั่นสินะ เอาแบบนั้นก็แล้วกัน ” แต่ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่ชินเดาไว้ เพราะเมื่อปีที่แล้วทำผลงานในการดูแลเพื่อน ๆ ไว้ดี ปีนี้การจะถูกเลือกแบบเดิมอีกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เดิมทีที่ชินตั้งใจปฏิบัติหน้าที่กรรมการจัดงานก็เพื่อการันตีว่าปีถัด ๆ ไปจะถูกรับเลือกอีก
แต่ก็เป็นอย่างที่รู้กัน ว่าความพยายามนั้นได้หันด้านคมมาใส่ชินไปเสียแล้ว
“ แต่ปีนี้จะพิเศษหน่อยน่ะนะ ดูเหมือนตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปโรงเรียนจะต้องการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนต่างห้องด้วยกันด้วย จากเดิมที่เคยมีคณะกรรมการห้องละคนเลยต้องมีคนละสองคนเพื่อให้การประสานงานของแต่ละห้องง่ายขึ้น ”
อาจารย์เลย์น่าเริ่มอธิบายยรายละเอียดเบื้องต้นของการทัศนศึกษาด้วยท่าทีทะมัดทะแมง แม้ปกติจะเห็นเธอเหลาะแหล่ะ แต่เอาเข้าจริงอาจารย์เลย์น่าก็เป็นอาจารย์ที่นักเรียนพึ่งพาได้
“ เพราะแบบนั้นแหล่ะ มีใครสนใจอยากจะจับคู่กับพ่อหนุ่มหล่ออย่างชินบ้างไหมล่ะ? ” และในส่วนของเนื้อหา… แน่นอนว่าเป็นการขออาสาสมัครในการเป็นผู้ช่วยกรรมการจัดงานของชิน
อันที่จริง ก่อนหน้าที่อาจารย์เลย์น่าจะพูดล้อเล่นแบบนั้นออกมาก็มีนักเรียนหญิงหลายคนทำท่าจะยกมือขึ้นเกือบยกห้อง แต่ก็เพราะการพูดหยอกเลยทำให้ทุกคนรู้สึกประหม่าไปแทน
กลับกัน… อาจารย์เลย์น่ากลับยิ้มออกมาราวกับเด็กวางแผนแกล้งเพื่อนสำเร็จยังไงอย่างงั้น
แต่เช่นไรก็ตาม… ยังมีคนขออาสาเหลืออยู่สองคน
“ โอ้! มีผู้ท้าชิงสองคนเลยแฮะ เกวนกับซูซาน… งั้นเหรอ ๆ ” ไม่รู้ว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่อาจารย์เลย์น่ายิ้มอย่างขี้แกล้งในขณะที่มองมาทางชิน
ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังเล่นสงครามจิตวิทยากันอยู่เงียบ ๆ
หากจะให้สาธยายรายละเอียดเพิ่มเติม เกวนนั้นยกมือขึ้นช้ากว่าซูซาน หรือในอีกนัยนึงก็คือซูซานนั้นยกมือเสนอตัวก่อนชิน และจากที่เกวนรู้มาจากชินก่อนหน้านี้แล้วว่าเธอคนนี้ค่อนข้างอันตราย เกวนจึงพยายามช่วยเหลือในแบบของเธอ
…แต่ในตอนที่เกิดเหตุการณ์ยกมือซ้อนขึ้น ชินก็ส่ายหน้าเบา ๆ ราวกับบอกแก่เกวนว่า “ไม่จำเป็น”
“ งั้นจะเอาไงกันดีล่ะทั้งสองคน? ” เป็นจังหวะเดียวกับที่อาจารย์เลย์น่าเอ่ยถามออกมาพอดิบพอดี
“ ถ้าอย่างงั้นให้ซูซานทำก็ได้ค่ะ ”
“ โอ… ”
ไม่รู้ว่าเพื่อน ๆ ในห้องมองสถานการณ์นี้ในแง่ไหนถึงได้ส่งเสียงยับกับเชียร์มวยออกมาในจังหวะที่เกวนประกาศยกธงขาวตามความต้องการของชิน
“ ไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อยน่า! ซูซานเขายังไม่ค่อยชินกับเพื่อนในห้องนี่นา ถ้าได้คอยช่วยเหลือทุกคนจะต้องสนิทกับทุกคนเร็วขึ้นแน่ ๆ ไม่ใช่เหรอ! ” เกวนออกปากอย่างลนลานราวแก้ตัว แต่ชินก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเกวนจะสูญเสียความเยือกเย็นเพราะท่าทางของคนในห้องไปทำไม
“ เอาเถอะ งั้นก็ตกลงกันตามนี้ก็แล้วกัน… คณะกรรมการจัดงานทัศนศึกษาประจำปีนี้คือชินกับซูซาน เอ้า ๆ! ปรบมือหน่อย ”
หลังจากเสร็จงานท่าทีเกียจคร้านของอาจารย์เลย์น่ากูถูกเผยอีกครั้ง แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์ที่ทำให้นักเรียนว่านอนสอนง่ายอยู่บ้าง ทุกคนถึงได้ปรบมือตามอย่างสนุกสนานให้กับการเริ่มต้นเล็ก ๆ ของส่วนนึงของกิจกรรมที่จะเติมเต็มชีวิตวัยรุ่นของพวกเขาให้สมบูรณ์
❖❖❖❖❖
หลังจากคาบเช้าสิ้นสุดลงนักเรียนทุกคนก็เริ่มแยกย้ายกันไปทานข้าวบ้างหรือทานข้าวอยู่ที่ห้องบ้าง
โดยปกติชินก็เป็นประเภทที่จะซื้อของกินง่าย ๆ ที่โรงอาหารและเดินไปกินไปแล้วมานั่งรอเรียนคาบบ่ายในทันที แต่หนนี้ชินเลือกที่จะไปนั่งทานที่โรงอาหารแทน
“ โรงอาหารโรงเรียนเป็นแบบนี้เองเหรอคะเนี่ย ” ซูซานเอ่ยขึ้นในขณะที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ชินตรงม้านั่งตัวหนึ่งในโรงอาหาร …และไม่ใช่เพียงเท่านั้น
“ ซูซานไม่เคยกินข้าวโรงอาหารเหรอ? ” เด็กสาวอีกคน… เกวนเองก็นั่งม้านั่งฝั่งเดียวกับชินแต่ขนาบคนละข้างกับซูซานอยู่เช่นกัน
“ ที่โรงเรียนเดิมของฉันเข้าจัดสำรับข้าวมาให้เลยน่ะค่ะ ” ซูซานตอบรับเกวนด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกัน
“ เห… แบบนี้ก็เหมือนเป็นโรงเรียนลูกคุณหนูเลยน่ะสิ ”
“ ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ”
สาว ๆ ทั้งสองคุยกันอย่างออกรสตามประสาผู้หญิงทั่วไป ซึ่งนั่นคงไม่แปลกอะไรหากไม่มีผู้ชายอย่างชินนั่งคั่นกลาง
เป็นช่วงเดียวกับที่สายตาของนักเรียนทั้งหญิงและชายเริ่มจดจ้องมายังโต๊ะของพวกชินมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะอย่างที่เคยได้ยินว่าชินเองก็เป็นที่นิยมในหมู่สาว ๆ เหมือนกับเคนเนธ แต่ออกจะเป็นคนละกลุ่มเป้าหมายเสียมากกว่า
หากเคนเนธเป็นที่นิยมเพราะเข้ากับคนอื่นได้และร่าเริง ชินคงถูกใจสาว ๆ จำพวกที่ชอบความสุขุมเงียบขรึมเสียมากกว่า
ในขณะเดียวกันทางเกวนก็ไม่น้อยหน้า เพราะหากไม่นับเผ่าพันธุ์ที่โกงความงามอย่างเอลฟ์แล้ว เธอคือนักเรียนหญิงที่งดงามที่สุดในโรงเรียนที่ชายหนุ่มสามารถเอื้อมถึงได้(แต่แน่นอนว่าไม่ง่ายอยู่ดี) กอปรกับข่าวลือซึ่งเป็นเรื่องจริง ว่านักเรียนใหม่ของห้อง 5-B เป็นสาวงามแล้วด้วยยิ่งทำให้ทุกคนสนใจเข้าไปใหญ่
…และดูเหมือนนั่นจะยังไม่ใช่ทั้งหมดเสียด้วย
“ ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ ตั้งแต่ช่วงจัดงานปีที่แล้วสินะคะชิน ”
ในตอนที่คนเริ่มเข้ามาในโรงอาหารจนเนืองแน่นคับคั่ง นักเรียนหญิงผู้มีเรือนผมสีเงินเงางามและดวงตาสีเขียวใบไม้สด ก็มายืนอยู่เบื้องหน้าของพวกชิน
…และแน่นอนว่าไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากโอลิเวีย นักเรียนสาวเผ่าเอลฟ์ผู้มีฉายาว่า “ราชินีน้ำแข็ง” และเป็นคนที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในโรงเรียน
อนึ่ง ในส่วนของเนื้อหาที่เปิดบทสนนา เช่นเดียวกับชินที่ได้รับความไว้วางใจเรื่องความรับผิดชอบคนในห้องจึงเลือกเขาเป็นกรรมการจัดการของห้อง ทางโอลิเวียเองก็ได้รับบทบาทเช่นเดียวกัน เมื่อปีที่แล้วทั้งสองคนจึงมีโอกาสเจอกันในครั้งนั้น สำหรับชีวิตหน้าฉาก นั่นคือครั้งแรกและครั้งเดียวที่ชินกับโอลิเวียทำความรู้จักและทำงานร่วมกัน
“ นั่นสินะครับ ตอนนั้นรบกวนไว้มากทีเดียว ” ชินพูดพร้อมกับเผยรอยยิ้มตอบกลับทำทีเหมือนกับเป็นคนไม่รู้จักกันได้อย่างแนบเนียนกันทั้งสองฝ่าย
แต่หากจะมีจุดผิดพลาดเล็ก ๆ แต่ก็ยากจะสังเกต เห็นทีก็คงเป็นรอยยิ้มที่เผยออกมาอย่างแฝงความรู้สึกอันลึกซึ้ง
“ ถ้าไม่รังเกียจขอแชร์โต๊ะด้วยจะได้ไหมคะ? ” โอลิเวียกล่าวด้วยใบหน้านิ่งสงบ แต่คงมีเพียงชินที่สังเกตเห็นริมฝีปากฉีกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ แน่นอน ”
ชินพยักหน้ารับเพราะเดิมทีก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธอยู่แล้ว
กลับกัน… เดิมทีนี่ต่างหากคือสถานการณ์ที่ชินตั้งใจจะให้เกิดขึ้น
“ ว่าแต่ที่อยู่ข้าง ๆ นั่น ” ชินเอ่ยถามถึงคนที่เข้ามานั่งร่วมโต๊ะพร้อมกับโอลิเวีย สำหรับนักเรียนคนอื่นอาจไม่คุ้นหน้า แต่แน่นอนว่าชินรู้จักเขาคนนี้อยู่ก่อนแล้ว
“ เป็นนักเรียนที่ย้ายมาใหม่ในห้องของฉันค่ะ ”
โอลิเวียเอ่ยพร้อมกับเว้นว่างจังหวะให้เจ้าตัวเป็นฝ่ายแนะนำตัวเอง
อนึ่ง โอลิเวียจงใจใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ แทน ‘ดิฉัน’ ตามปกติ แม้ในหัวใจจะรู้สึกขัด ๆ แต่ก็ต้องทำเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
“ หลิ่งจิน(岭金)ครับ เพื่อน ๆ เรียกผมว่าจิน ยินดีที่ได้รู้จัก ”
นามของชายผู้เป็นนักเรียนใหม่ห้องเดียวกับโอลิเวีย และยังเป็นคนเดียวกับที่สวมหน้ากากเสือผู้เป็นอัศวินของราชาจากประเทศจีนคือหลิ่นจิน
…แน่นอนว่านั่นเป็นนามแฝงแบบเดียวกับซูซาน
“ ชินครับ ”
“ ซูซานค่ะ ฝากตัวด้วยนะคะ ”
“ ฉันชื่อเกวนนะ! ”
ทั้งสามคนต่างแนะนำตัวกลับตามมารยาทที่ควร จึงทำให้ทั้งกลุ่มรู้จักชื่อกันแล้วเป็นอย่างน้อย
“ จะว่าไป ทางคุณโอลิเวียได้ข่าวเรื่องคณะกรรมการปีนี้รึยังล่ะครับ ” เช่นเดียวกันกับทางของชินเองก็เลือกใช้คำให้เหมาะสม เพราะสถานะของเอลฟ์สูงกว่ามนุษย์ เป็นค่านิยมของสังคมที่วัดกันจากความสามารถทางกายภาพ
ซึ่งนั่นก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าระหว่างมนุษย์มือเปล่ากับเอลฟ์มือเปล่า(ที่มีเวทมนตร์) คนไหนแข็งแกร่งและน่ายำเกรงกว่า
“ เราอยู่รุ่นเดียวกันเรียกฉันว่าโอลิเวียก็ได้ค่ะ ” โอลิเวียเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่เห็นได้ชัดเจนกว่าเดิม(ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะดีใจหรืออย่างไร) รอยยิ้มคงทำเอานักเรียนชายที่เดินผ่านไปมาหลายคนใจละลายเพราะเป็นสิ่งที่ยากแก่การเห็น
“ เข้าใจแล้วโอลิเวีย ”
ชินจึงจำต้องพยักหน้ารับตามสภาพ อย่างน้อยการเรียกแบบนี้ก็ชินปากมากกว่า
“ เรื่องคณะกรรมการปีนี้ฉันเองก็เป็นเหมือนเดิมค่ะ ”
“ ฉันเองก็เหมือนกัน ลำบากแย่เลยนะ ”
ทั้งชินและโอลิเวียคุยกันด้วยความต่อเนื่องอย่างคุ้นเคยทำเอาทุกคนรู้สึกแปลกใจไม่เบา เพราะมันเข้าขากันเสียจนไม่คิดว่าเพิ่งได้คุยกันเป็นหนที่สอง
และคนที่กระแอมขัดจังหวะเพราะทั้งคู่สร้างบรรยากาศที่เข้าไปแทรกแซงได้ยากก็คือซูซาน
“ ฉันเองก็รับหน้าที่นั้นเหมือนกันค่ะ ฝากตัวด้วยนะคะ ” ซูซานเอ่ยด้วยรอยยิ้มไปแบบนั้น
และนั่นเป็นครั้งแรกที่โอลิเวียหันสายตาคมกริบกลับไปมองซูซาน แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่สังเกตได้โดยง่ายสำหรับคนทั่วไปนัก
“ เรื่องนั้นผมเองก็เหมือนกัน ฝากตัวด้วยนะครับทุกคน ”
ทางจินเองก็เอ่ยขึ้นถัดจากซูซานทันที เพราะจังหวะที่ดีที่สุดในการเปิกเผยเรื่องนี้คงไม่พ้นเวลาเดียวกัน นั่นก็คลับคล้ายคลับคลาจะเป็นการจงใจอยู่ไม่น้อย
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ทั้งชินและโอลิเวียคาดเดาล่วงหน้าได้ไม่ยาก
และเป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ว่าทั้งสองคนที่พยายามเข้าใกล้ชินกับโอลิเวียมีจุดประสงค์แอบแฝงในการล้วงข้อมูลอย่างชัดเจน
“ บังเอิญน่าดูเลยนะคะเนี่ย… นักเรียนมาใหม่ทั้งสองคนได้เป็นคณะกรรมการจัดงานกันทั้งคู่แบบนี้ ”
“ ในฐานะที่เราเป็นรุ่นพี่ เรื่องการจัดงานคงต้องช่วยสอนอะไรหลาย ๆ อย่างให้ ไม่ออมมือหรอกนะ เตรียมใจไว้ให้ดีเถอะ ”
“ นั่นสินะคะ อย่างน้อยพวกเราก็จะพยายามไม่แสดงด้านที่ไม่ดีให้รุ่นน้องเห็นแน่นอนค่ะ ”
ชินกับโอลิเวียพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำจนสังเกตได้ แถมแววตากับบรรยากาศที่แผ่ออกมายังแสดงถึงความเป็นอริศัตรูกันอย่างชัดเจน แน่นอนว่าเป้าหมายของจิตคุกคามนั้นคือซูซานและจิน
“ ไม่ต้องออมมือหรอกครับ พวกคุณจัดเต็มกันมาได้เลย ไม่ว่างานหนักขนาดไหนผมก็รับมือไหวอยู่แล้ว ”
“ แล้วถ้าได้เห็นข้อผิดพลาดของพวกรุ่นพี่ อย่างน้อยก็เป็นข้อมูลให้เราเรียนรู้นี่… แต่ถ้าฉันแอบแกล้งเอาไปบอกคนอื่นคงว่ากันไม่ได้หรอกนะคะ ”
แน่นอนว่าทางจินกับซูซานต่างก็รับคำท้าของชินกับโอลิเวียตรง ๆ
ในตอนที่ทั้งสองปล่อยรังสีฆ่าฟันใส่กันกลางวันแสก ๆ โดยมีเกวนทำสีหน้าลำบากใจตามติดสถานการณ์
การประกาศสงครามระหว่างชินกับซูซาน โดยใช้ถ้อยคำแฝงนัยยะเจตนาท้าทายและไม่ยอมจำนนหรือผ่อนปรนใด ๆ ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงเจตนาชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้ถูกขยี้แต่จะเป็นฝ่ายที่ขยี้ให้เละด้วยตัวเอง
และยังเป็นจุดเริ่มของสงครามในอีกรูปแบบหนึ่งของราชาผู้มีสิทธิในการปกครองโลกทั้งสองคน