ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก - ตอนที่ 22: คู่หมั้นอันตราย
“ ลืมหน้าคู่หมั้นของตัวเองไปแล้วรึยังไงกันคะ… ท่านองค์ชายชินยะ นัวรอย โซลเลน ”
คำตอบอันไม่คาดคิดออกมาจากปากของหญิงสาวที่เพิ่งพบหน้า แทบจะทำให้หัวใจของชินหยุดเต้น
ในจังหวะที่เข็มทิศของความได้เปรียบกลับตาลปัตร ชินได้แต่ขมวดคิ้วเข้าด้วยกันแน่นในขณะที่มองซูซานผู้เผยรอยยิ้มแฝงเล่ห์ร้อยพันแปดมาทางตนก่อนที่เจ้าตัวจะผละมือออกมา
“ แหม… ตกใจน่าดูเลยนะคะ ” ซูซานพูดออกมาด้วยสีหน้าระรื่น ดูเหมือนเธอไม่ได้คิดซักนิดว่าจะปิดบังเจตนาตัวเองตั้งแต่แรก นั่นคงเป็นเหตุผลที่เธอไม่กำจัดสิ่งที่อาจทำให้เธอถูกสงสัย
ทว่าชินไม่ได้สนใจท่าทีของซูซานในตอนนี้ซักนิด เพราะกำลังคิดหาสาเหตุของการถูกเปิดโปงอยู่ในหัวเพียงอย่างเดียว
ได้ยังไง? ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ไม่สิ… ก่อนอื่นต้องใจเย็นก่อน
ชินที่รู้สึกคล้ายกับจะสติหลุดรีบดึงสติของตัวเองกลับมา ซึ่งท่าทางลุกลี้ลุกลนนั้นไม่ได้แปลกอะไร เพราะความลับที่ชินเป็นเจ้าชายผู้สืบบัลลังก์จากราชาแวมไพร์เอลานอร์ ดักลาส โซลเลนผู้ซึ่งถูกคนทั่วทั้งโลกเกลียดชัง ในมุมมองของสาธารณะนั้น เขาเสียชีวิตไปตั้งแต่เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ราชาแวมไพร์เมื่อ 12 ปีก่อนไปแล้ว
หลังจากตั้งสติได้จึงเริ่มทบทวนความคิดอีกครั้ง ก่อนพินิจพิเคราะห์ถึงข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน
“ คู่หมั้น ” คำดังกล่าวติดค้างในหัวของชินซักพัก… และไม่นานนักจนกว่าที่ชินจะนึกถึงเรื่องที่ลืมไปแล้วขึ้นมาได้
“ ชงหยวน(聪圆)… ”
ชินเอ่ยชื่อจริงของซูซานอันเป็นชื่อปลอม… ชงหยวน
ทางสาวเจ้าที่ได้ยินเช่นนั้นกลับฉีกยิ้มยกมุมปากขึ้นสูงด้วยความพอใจ และเป็นสิ่งยืนยันว่าคำตอบของชินนั้นถูกต้อง เพราะเช่นนั้นจึงทำให้ชินคิดย้อนเรื่องราวระหว่างเขากับเธอขึ้นมาได้
ครั้งสมัยที่ยังมียศศักดิ์เป็นองค์ชาย หากชินจำไม่ผิดน่าจะสักราว ๆ 15 ปีก่อนเห็นจะได้
เมื่อครั้งที่ทุกประเทศยังยำเกรงพลังอำนาจของเอลานอร์ ดักลาส โซลเลน ได้มีชาติมหาอำนาจชาติหนึ่งตั้งใจจะเกี่ยวดองและคงไว้ซึ่งสภาพพันธมิตร และประเทศดังกล่าวก็คือเขตประเทศที่ 86 ที่ซึ่งเป็นเขตประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ผู้นำของทางนั้นได้ส่งลูกสาวของผู้นำประเทศมาเป็นเครื่องราชบรรณาการ และไม่ว่าเบื้องบนจะเจรจากันด้วยเรื่องอะไร แต่สุดท้ายการหมั้นหมายระหว่างเจ้าชายกับเจ้าหญิงก็เป็นอันยุติไร้ข้อโต้แย้งใด ๆ แม้ว่าชินจะคัดค้านเรื่องนี้ก็ตามที
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น… เจ้าหญิงชงหยวนก็มักจะแวะมาเยี่ยมเยือนชินอยู่บ่อยครั้งตามธรรมเนียม ซึ่งชินเองก็รับน้ำใจเธอด้วยมารยาทอย่างที่ควรตลอดมา นั่นจึงทำให้ทั้งคู่ได้เจอหน้ากันบ่อยครั้ง
และเรื่องราวที่เป็นจุดพลิกผันก็คือเหตุการณ์ที่ทั้งปราสาทของเขตประเทศที่ 40 ถูกลอบโจมตีจนราชา ราชินีถูกสังหาร โดยเหลือรอดแค่ชินกับโอลิเวียเพียงสองคน และไม่รู้ว่าทางฝั่งเจ้าหญิงได้ถูกรังควาญโดยผีตัวเดียวกันหรืออย่างไร เพราะหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเพียงหนึ่งสัปดาห์ เขตประเทศที่ 86 ก็ได้ประกาศข่าวอันน่าสลดที่ว่า “ เจ้าหญิงชงหยวนทรงเสด็จสวรรคตเนื่องจากพระอาการประชวร ” ออกมา
แม้นั่นจะไม่ใช่สิ่งที่ชินปรารถนาให้เกิด ทว่าสิ่งที่ชินได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ก็คือ จำนวนคนที่รู้ความลับเรื่องชาติกำเนิดของตัวเองเหลือเพียงแค่สองคน คือ โอลิเวียกับอาจารย์ผู้สั่งสอนเขามาแต่เล็กจนกระทั่งหลังจากนี้
…นั่นจึงสร้างความประหลาดใจให้กับชินมาก เมื่อมาทราบภายหลังในอีก 12 ปี ว่าข่าวดังกล่าวเป็นเพียงข่าวปลอมเพื่อปกปิดตัวตนของชงหยวนเพียงเท่านั้นเอง แต่จะด้วยเหตุผลอะไรนั้นชินเองก็ไม่อาจคาดเดาได้
“ ทำหน้าเหมือนกับเห็นผีเลยนะคะ ” มุกตลกร้ายออกมาจากปากของซูซาน ทำให้ชินถึงกับเหงื่อตกด้วยความกังวล ทว่าก็ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก่อนจะทำใจให้เย็นลง
“ …ต้องการอะไรจากฉัน ”
ชินพุ่งประเด็นไปยังสิ่งที่ควรถามในทันทีอย่างไม่ลังเล
เพราะหากจะว่าไป… หากชงหยวนมีเจตนาที่จะสังหารชินจริง ๆ เพียงแค่เธอเปิดเผยเรื่องที่ชินเป็นองค์ชายออกไป เขาก็จะถูกรุกฆาตในทันที หรือแท้จริงแล้วจะมีสาเหตุที่ทำแบบนั้นไม่ได้
ไม่เช่นนั้นก็เป็นเพราะว่าชงหยวน มีเหตุผลที่จะไม่ทำเช่นนั้น
“ แหม พูดอะไรกันคะ! นี่มันก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นแหล่ะค่ะ! ” ซูซานเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนจะปรบมือเข้าด้วยกัน ท่าทางของเธอราวกับเด็กสาวผู้ซึ่งดีใจเพราะได้กลับมาเจอเพื่อนสมัยเด็กยังไงอย่างงั้น
…แต่แน่นอนว่านั่นเป็นการเสแสร้ง
ไม่คิดจะบอกล่ะสินะ
ชินคิดแบบนั้นก่อนจำต้องยอมถอยออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะการฝืนรุกคืบเข้าไปทั้งที่ไม่รู้ว่าข้างหน้ามีอะไรรออยู่มันไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย เขาจึงลุกขึ้นจากม้านั่งในทันทีเพราะไม่มีเหตุให้ต้องอยู่
“ เย็นชาจังเลยนะคะเนี่ย ” ซูซานเอ่ยด้วยแววตาคมกริบอีกหน กับประโยคลองเชิงแบบนั้นไม่ได้ทำให้ชินหวั่นใจแม้แต่น้อย
เขาเมินคำพูดของซูซานอย่างจงใจเพราะไม่ใช่เวลาเผยเจตนาของตน ก่อนจะเริ่มออกเดินนำไปอย่างช้า ๆ เพื่อกลับเข้าห้องเรียน
❖❖❖❖❖
หลังจากนั้นพวกเราก็กลับมาที่ห้องตรงเวลาเริ่มเรียน แน่นอนว่าทันทีที่กลับมาเราสองคนต่างก็กลับมาแสดงท่าทีปกติ
ถึงพูดไปจะเสียมารยาทก็เถอะ… แต่พอได้เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกโล่งอกไม่เบาที่การหมั้นหมายระหว่างฉันกับชงหยวนไม่มีอีกแล้ว
ชินคิดแบบนั้นในขณะที่เริ่มคาบบ่าย
จนถึงตอนนี้ ในหัวของชินเอาแต่คิดถึงความเป็นไปได้ถึงสาเหตุที่ชงหยวนเพ่งเล็งมาที่เขา เพราะแบบนั้นจึงพอจะมองเห็นความเป็นไปได้อยู่สองอย่างใหญ่ ๆ
อย่างแรกคือ ความเป็นไปได้ในกรณีที่เธอรู้แค่ว่าฉันเป็นองค์ชาย
ถ้าเป็นแบบนั้นสาเหตุที่เข้าหาฉันบางทีคงต้องการให้ฉันทำงานบางอย่างให้ เพราะถึงจะบอกว่าเป็นองค์ชาย แต่ชงหยวนก็พอจะรู้ฝีมือของฉันอยู่ และรู้ด้วยว่าฉันมีไนท์สองอย่าง จากที่ได้มาตั้งแต่เกิดกับที่ได้รับสืบทอดมาจากท่านพ่อ แต่ก็ไม่ได้รู้ลึกถึงขนาดที่ว่าเป็นไนท์ที่มีพลังแบบไหน ในกรณีนี้ฉันคงเป็นเครื่องมือชั้นเยี่ยมสำหรับเธอ เพราะเป็นแวมไพร์สายเลือดแท้ที่ได้รับการสืบทอดไนท์เพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่
และความเป็นไปได้อย่างที่สองที่เป็นไปได้มากพอกัน คือกรณีที่ชงหยวนรู้ว่าฉันมี ‘ตราราชันย์’
ถ้ามาด้วยสาเหตุนั้นล่ะก็ จุดมุ่งหมายของเธอต้องเป็นการสังหารฉันแน่นอน 100% เพราะงั้นประเด็นนี้เธออาจจะแค่กำลังสงสัยอยู่
จริง ๆ ก็ไม่อยากจะคิดถึงความเป็นไปได้อย่างที่สามอย่าง ชงหยวนรู้ว่าฉันคือ ‘แองกริคราวน์’ เท่าไหร่นักหรอก ในกรณีนี้คนที่ไม่ควรรู้ที่สุดดันเป็นเธอคนนี้ซะได้
เพราะถ้าเกิดเป็นแบบนั้น ชงหยวนก็จะสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวปะติดปะต่อเองได้โดยง่ายเพราะรู้อยู่แล้วว่าเราคือองค์ชายและหากรู้ว่าเราเป็นแองกริคราวน์ที่เพิ่งลงสังเวียนชิงบัลลังก์เมื่อวาน นั่นย่อมทำให้รู้ไปด้วยว่าเราเกี่ยวข้องกับศึกชิงสิทธิในการปกครองโลก
ถ้าเป็นตัวเลือกแรกฉันยังพอเอาตัวรอดได้
แต่ถ้าเป็นอย่างที่สองก็ไม่ต้องพูดถึง สามก็ยิ่งไปกันใหญ่
ชินจำกัดกรอบความคิดได้เช่นนั้นในหัวระหว่างคาบเรียน สำหรับนักเรียนคนอื่นบางทีคงเห็นแค่ว่าชินกำลังตั้งใจเรียนมองกระดานนิ่ง ทว่าแท้จริงไม่ใช่
และคนที่รู้เรื่องนั้นก็คือคนที่นั่งโต๊ะติดกันทางด้านขวามืออย่างเกวน… เธอกำลังสะกิดแขนของชินเบา ๆ ซึ่งชินเองก็ไม่ทราบว่าเธอทำแบบนั้นมานานเท่าไรก่อนที่ชินจะรู้สึกตัว
ส่วนทางเกวนที่เห็นชินได้สติจากภวังค์ความคิดก็เริ่มเขียนบางอย่างลงในสมุดจดของตัวเอง
‘ เธอน่ารักดีนะว่าไหม
อันที่จริงฉันเองก็อยากไปด้วยนะ
ตอนพักเที่ยงน่ะ
รายโน้น (เคนเนธ) เองก็อยากไปด้วยใจจะขาดเลยนะ 555
รึว่าชินเองก็หลงเสน่ห์ซูซานไปด้วยแล้วล่ะ?
ไม่ได้อะไรหรอกนะ แค่อยากรู้เฉย ๆ น่ะ ’
หลังจากอ่านข้อความดังกล่าว ชินก็ขมวดคิ้วเล็ก ๆ ก่อนจะเขียนตอบกลับเกวนด้วยการเขียนคำตอบลงในสมุดของตัวเอง
‘ ก็นะ… เธอน่ารักมากซะด้วยสิ ’
“ เห… ”
ชินเขียนตอบไปแบบนั้นในขณะที่ชำเลืองมองซูซานที่อยู่ด้านหลัง กับเกวนที่เห็นภาพแบบนั้นถึงกลับยิ้มแย้มแลทำเสียงปานจะล้อเลียนชินไปอีก
“ ขอทีเถอะน่า ”
ชินรำพึงในลำคอเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยหน่ายอย่างอดไม่ได้
❖❖❖❖❖
หลังจากที่คาบเรียนภาคบ่ายจบลง เหล่านักเรียนชายหญิงต่างเข้ารุมล้อมซูซานเพื่อชวนไปเที่ยวในเมืองตามประสา ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายสำหรับพวกเธอที่ซูซานตอบปฏิเสธเพราะมีธุระ มันจึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้
แม้การกระทำนั้นจะเป็นจุดสงสัยของชินและเกวนแต่การเข้าไปก้าวก่ายจะเป็นการเสี่ยงยิ่งกว่า ทั้งสองคนจึงทำตัวตามปกติดูสถานการณ์กันไปก่อน
ชินตัดสินใจได้ดังนั้นจึงขึ้นรถไฟฟ้ากลับหอพักตามที่เคยทำมาตลอด ในระหว่างนั้นก็พยายามทำหัวให้เย็นลงไว้ก่อน เพราะหลังจากนี้หากเป็นไปได้ก็อยากรีบแจ้งข่าวนี้ให้กับโอลิเวียโดยเร็ว คิดแบบนั้นชินจึงอาศัยจังหวะดี ๆ หลบเข้ามุมตึกเพื่อส่งข้อความนัดเจอโอลิเวียเหมือนเคย แต่ว่า…
“ ตอนนี้ดิฉันกำลังอยู่ที่ห้องของชินค่ะ ” โอลิเวียส่งข้อความดังกล่าวกลับมาหาชินแทบจะทันที ซึ่งเป็นตอนที่ชินเดินเท้ามาจนถึงบันไดขึ้นชั้นสองของหอพอดิบพอดี ชินจึงไม่รอช้าที่จะย่ำเท้าขึ้นก่อนจะเคาะประตูห้อง(ตัวเอง)
“ เชิญค่ะ ” เสียงโอลิเวียตอบกลับมาจากด้านในห้องด้วยน้ำเสียงใสกังวานเหมือนเคย
ทางชินที่รีบเปิดประตูเข้ามามองจากโถงทางเดินแล้วสบกับรอยยิ้มของโอลิเวียที่ยังคงสวมชุดนักเรียนหญิงอยู่ก็เผยยิ้มออกมาเองอย่างไม่ตั้งใจ
“ นั่นเป็นคำที่เจ้าของห้องต้องพูดไม่ใช่เหรอ ” ชินเอ่ยก่อนจะหลุดหัวเราะ นั่นน่าจะเป็นชั่วขณะเดียวที่ชินลืมเรื่องทุกอย่างไม่แม้แต่ความกังวลราวไฟสุมอกก่อนหน้านี้
…ท้ายสุดแล้ว สาเหตุที่ชินรีบกลับ ก็แค่ต้องการได้รับรอยยิ้มเยียวยาหัวใจจากโอลิเวียก็เท่านั้นเอง
❖❖❖❖❖
หลังจากที่กลับมาถึง โอลิเวียก็เริ่มชงชาให้กับชินในขณะที่ชินเองก็นั่งลงตรงโต๊ะเล็กตัวเดิม ก่อนจะจิบชาผ่อนคลายจิตใจเสียก่อนจะเริ่มคุยเรื่องตึงเครียด
“ งั้นเหรอคะ ผู้หญิงคนนั้น… ” โอลิเวียพึมพำด้วยน้ำเสียงบางเบาหลังจากที่ชินอธิบายสถานการณ์และสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับเธอฟัง
มือของเธอที่ดูบอบบางสั่นระริก ด้วยความหงุดหงิดโกรธาจากการที่ชินถูกข่มขู่ แต่ในอีกแง่นึงก็หงุดหงิดในความอ่อนแอที่จัดการเสี้ยนหนามนั้นไปจากชินไม่ได้เช่นกัน ทว่าทันทีที่ตั้งสติได้เธอก็กลับมานั่งตัวตรงนิ่งสงบอีกครั้งสมฉายาที่ทุกคนตั้งให้อย่าง ‘ราชินีน้ำแข็ง’ ไม่น้อย
“ ทางดิฉันเองก็ด้วยค่ะ มีนักเรียนชายย้ายมาใหม่ที่ห้องของดิฉันด้วยเหมือนกัน ”
“ เอ๊ะ!? ”
คำพูดของโอลิเวียถัดมายิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับชินมากยิ่งขึ้น ดูเหมือนที่โอลิเวียจงใจเว้นช่วงจังหวะคงเป็นห่วงชินที่ต้องเจอกับเรื่องไม่คาดคิดหลายตลบ
และเรื่องดังกล่าวที่เธอกำลังจะเล่า ก็เป็นเรื่องเกินคาดถึงขนาดรู้ได้เลยว่าต่อให้เป็นคนเยือกเย็นอย่างชินเองก็ต้องจริงจังกับมัน
“ ยังจำอัศวินของราชาจากประเทศจีนที่เราเคยเจอตรงชายแดนเวียดนามได้อยู่ไหมคะ? ” โอลิเวียเอ่ยถามในขณะที่จ้องชินตาไม่กะพริบ
“ ที่ใส่หน้ากากลายเสือน่ะเหรอ? ” ชินเอ่ยออกมาอย่างหวาด ๆ ต่อคำตอบที่จะได้รับ
“ ค่ะ ”
คำตอบรับสั้น ๆ ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความชินก็เข้าใจสถานการณ์ในทันที แม้ใจนึงจะแอบหวังไม่ให้ตัวเองเข้าใจก็ตามที
นักเรียนใหม่ที่ย้ายมาคืออัศวินราชาประเทศจีนที่ฉันเคยเป็นคู่มือให้ กับเจ้าหญิงที่ถูกประกาศว่าสวรรคตไปแล้วของจีนอย่างงั้นเหรอ
ไม่อยากจะคิดไปในทางนั้นเลย แต่ก็ต้องคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อน
เพราะหากเอาสองสถานการณ์มาผนวกเข้าด้วยกัน… นั่นแสดงว่าทั้งสองคนกำลังประสานงานกันอยู่แน่นอน
เพราะการจะย้ายโรงเรียนมาในวันเดียวกันหลังจบศึก แถมทั้งสองคนยังเป็นผู้เกี่ยวข้องระดับสูงแบบนี้หากเป็นความบังเอิญมันก็คงจะน่าตลกจนเกินไป
และหากสถานการณ์กลายเป็นว่าทั้งสองคนกำลังแชร์ข้อมูลกันอยู่… นั่นแสดงว่าตอนนี้พวกมันรู้แล้วว่าเราคือองค์ชาย แต่กำลังพิสูจน์ว่าเราเป็นแองกริคราวน์หรือราชาคนที่ 8 กันแน่
ชินคิดพลางกอดอกขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีกหน ท่าทางนั้นทำเอาโอลิเวียอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเป็นห่วงมากเสียยิ่งกว่าทุกที
ในขณะที่ชินเริ่มจมดิ่งเข้าภวังค์ความคิดเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่ทราบของวัน โอลิเวียก็คืบคลานเข้ามาใกล้ชินจากทางด้านหลังโดยที่เขาไม่รู้ตัว
“ ชิน… ขอเสียมารยาทนะคะ ”
“ หืม มีอะไร———!!? ”
ทว่าเสียงปลุกจากภวังค์ของสาวเผ่าเอลฟ์คนนี้ทำเอาชินถึงกับตั้งตัวไม่ติด
เพราะสำหรับชินแล้ว ทันทีที่เสียงใสนั้นดังขึ้นในสติ เขาก็กลับพบว่าตัวเองกำลังถูกโอลิเวียสวมกอดอยู่จากทางด้านหลังไปเสียอย่างงั้น
“ อะ โอลิเวีย——— ”
ชินที่กำลังลนลานเพราะโอลิเวียเข้ามาสวมกอดเขาแน่นถึงขนาดที่ชินสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ถูกกดทับมาจากหลังศีรษะ ทว่าก็เป็นจังหวะเดียวกับที่โอลิเวียเริ่มใช้มือสัมผัสกับผมของชินปานจะปลอบโยน
หัวใจที่ร้อนรุมเพราะความกังวลและแปรเปลี่ยนไปถูกกิเลสเข้าครอบงำก่อนหน้า อ่อนลงกลายเป็นความสงบเย็นเพราะโอลิเวีย
…ให้ตายสิ เรานี่มันใช้ไม่ได้จริง ๆ
ชินกล่าวโทษตัวเองแบบนั้นอยู่ในใจ
“ อย่าทำเหมือนฉันเป็นเด็กสิ ” ชินบ่นอุบราวกับไม่พอใจ
“ ฮุฮุ… ถึงจะเอาเรื่องอายุมาอ้างก็ฟังไม่ขึ้นหรอกนะคะ ” โอลิเวียหัวเราะในลำคออย่างผู้ดีราวกับไม่สนว่าชินจะเก้อเขินหรืออย่างไร
และแน่นอนว่าที่ชินทำแบบนั้นยิ่งเสริมภาพความเป็นเด็กในความคิดของโอลิเวียจนเธอเผยยิ้มกว้างกว่าเดิม และนอกจากโอลิเวียจะไม่รามือแล้ว เธอยิ่งหนักมือขึ้นเสียอีกเมื่อชินไม่มีท่าทีขัดขืนใด ๆ เพราะแม้จะอยากปฏิเสธใจจะขาดกระนั้นในส่วนลึกของจิตใจ ชินไม่คิดจะปฏิเสธความอบอุ่นที่โอลิเวียมอบให้อยู่แล้ว
…และกว่าจะรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปถึง 5 นาที ก่อนที่ทั้งสองคนจะกลับไปนั่งคนละด้านโต๊ะเหมือนเดิม
แต่จะว่าเหมือนเดิมก็คงไม่ใช่ เพราะจากที่สนทนาจ้องตากันด้วยความกังวลในหนแรก กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ทั้งสองคนต้องหลบตาเพราะความเขินอายจากเหตุการณ์เมื่อครู่ไปแทน… จะทั้งชินที่ไม่ขัดขืนก็ดี หรือโอลิเวียที่ทำแบบนั้นไปก่อนที่จะทันได้คิดก็ดี
และไม่ว่ายังไง การที่โอลิเวียทำแบบนั้นไม่ได้เสียเปล่าแม้แต่น้อย กลับกันเสียอีก เพราะนั่นทำให้ชินกลับมาสมองโล่งโปร่งสบายอกสบายใจอีกครา และทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะโอลิเวีย… เหมือนอย่างเคย
“ ขอบคุณนะ… ได้เธอช่วยไว้ตลอดอีกแล้ว ” ชินพูดแบบนั้นด้วยอาการขวยเขินเล็กน้อย ในขณะที่มือยังเลื่อนขึ้นไปเกาแก้มแก้เขินเสียอีก
“ มะ ไม่หรอกค่ะ… ดิฉันน่ะ ถ้าเพื่อชินแล้ว… ” โอลิเวียเอ่ยแบบนั้นทั้งที่ใบหน้ายังคงแดงก่ำ ดวงตาสั่นระริกนั้นจ้องตรงมาที่ชินตาไม่กะพริบ ท่าทางนั้นสะกดสายตาของชินให้หยุดนิ่งตาม
ดวงตาที่สั่นระรัวของทั้งคู่ประสานกันสั่นระรัวเข้าจังหวะ ไม่เพียงแค่ความอบอุ่นที่ยังติดค้างเมื่อครู่ หากแต่เป็นความรู้สึกของชายหนุ่มหญิงสาวที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมานานจนเข้าใจอีกฝ่ายได้ดีมากเสียยิ่งกว่าตัวเอง
ทั้งริมฝีปากสั่นระริกของโอลิเวียที่คล้ายกับต้องการจะเอื้อนเอ่ยบางสิ่ง หรือชินที่โน้มตัวไปข้างหน้าราวกับความรู้สึกที่พองโตในอกกำลังจะระเบิดออกมาจนห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้อีกแล้ว———
ปิ๊งป่อง! ปิ๊งป่อง!
ทว่าในจังหวะนั้น เสียงกริ่งห้องก็ดันดังขึ้นมาสองครั้งติดจนทั้งคู่สะดุ้งหลุดจากบรรยากาศแปลก ๆ ไปเสียก่อน
เฮ้อ…
ทั้งสองคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ทั้งด้วยความโล่งใจครึ่งนึงและความเสียดายอีกครึ่งนึงเหมือนกันทั้งสองคน
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกัน ประตูห้องของชินก็ถูกเปิดเข้ามา ซึ่งแน่นอนว่าที่ทำแบบนั้นได้เพราะชินไม่ได้ล็อคห้องไว้อยู่แล้ว และทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะวันนี้เป็นวันที่คนรู้จักของทั้งสองคนจะมาหาตามนัด
…ทว่า เวลาที่มาถึงนั้นช่างขัดจังหวะได้อย่างเหมาะเจาะเสียจริง ๆ ในความคิดของชินและโอลิเวีย
“ อ้าว? มาขัดจังหวะรึเปล่าเอ่ย? ”
เสียงของหญิงสาวดังมาจากหน้าประตู เป็นจังหวะที่ต้นเสียงค่อย ๆ เอื้อมมือไปปิดประตูลงก่อนจะเดินเข้ามา
เธอผู้เป็นหญิงสาววัยผู้ใหญ่ซึ่งหากมองจากภายนอกคงเป็นสาวออฟฟิศอายุราว 20 ปลาย ๆ แม้อายุจริงจะเลยไปไกลแล้วก็ตาม แต่ความงามนั้นยังคงเจิดจรัสอยู่ไม่หาย จะทั้งเรือนผมสีดำสนิทกลัดเกล้าไว้อย่างเรียบร้อยหรือสไตล์การแต่งตัวราวกับวัยรุ่นหลังเลิกเวลาเรียน ต่างเสริมบุคลิกให้เธอเป็นหญิงสาวที่ร่าเริง
กอปรกับประโยคก่อนหน้าที่เอ่ยออกมาของเธอ แล้วตามด้วยรอยยิ้มขี้แกล้งพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างมาทางทั้งสองคน หากให้พูดโดยภาพรวม… เธอคนนี้ให้บรรยากาศไม่ต่างจากคุณแม่ยังสาวที่ชอบล้อเลียนลูกชายเวลาพาแฟนมาบ้านเลยซักนิดเดียว
“ อย่าล้อกันเล่นสิครับอาจารย์… ”
ชินเอ่ยออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายเป็นหนที่เท่าไหร่ไม่ทราบ ให้กับท่าทางขี้แกล้งของหญิงสาวผู้เป็นเสมือนอาจารย์ที่คอยอุปการะตนกับโอลิเวียมาตลอด