ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก - ตอนที่ 21: นักเรียนใหม่ (เริ่มบทที่ 1)
เปลี่ยนโลก… ช่างเป็นคำที่มีความหมายคลุมเครือในตัวเองเสียจริง ๆ
เพราะแม้ความหมายนัยตรงของมันจะหมายถึง “การที่โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง” ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเพราะมันสามารถตีความได้หลายอย่างขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน
และหากจะให้ชี้ชัดลงไป… จะเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า “แล้วโลกต้องเปลี่ยนแปลงไปถึงขนาดไหนล่ะถึงจะเรียกว่าเปลี่ยนโลก?”
เพราะโดยพื้นฐานของคำว่าเปลี่ยนนั้น ไม่ได้หมายถึงการที่ภาพรวมของสิ่งนั้น ๆ เปลี่ยนไปเท่านั้น
อย่างเช่นรถยนต์ที่เสียหายจนต้องเปลี่ยนวัสดุภายในบางอย่าง องค์ประกอบที่เปลี่ยนแปลงนั้นเองก็นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนเช่นเดียวกัน เพราะงั้นโดยหลักการแล้วก็สามารถพูดได้ว่ารถคันนี้เปลี่ยนไปแล้ว
และหากลองเปลี่ยนสถานการณ์เสียใหม่… หากเราเปลี่ยนสีรถยนต์แทน ทำให้ภาพลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน นี่เองก็เป็นการเปลี่ยนเช่นกัน
ทว่าการเปลี่ยนแปลงแบบแรกนั้น หากตัดสินด้วยความรู้สึกทุกคนย่อมตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “รถคันดังกล่าวยังไม่เปลี่ยนไปเลย” ทั้งที่จริง ๆ มันเปลี่ยนไปแล้ว… ต่างกับแบบที่สองซึ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ารถเปลี่ยนไปแล้ว
แล้วมันต่างกันตรงไหน? คำตอบก็คือ “การถูกสังเกตจากบุคคลอื่น”
ทุกคนจะสามารถบอกได้ว่ารถคันนึงเปลี่ยนไปแล้วก็ต่อเมื่อ “ทุกคนสังเกตเห็น” จึงจะเรียกว่า “เปลี่ยน”
และในทางกลับกัน… หาก “ไม่มีคนที่สังเกตเห็น” ก็ไม่อาจบอกได้ว่าสิ่งนั้น “เปลี่ยน” นั่นคือความหมายในทางปฏิบัติของคำว่าเปลี่ยน
ดังนั้น หากนำทฤษฎีดังกล่าวมาปรับใช้กับบางสิ่งที่ใหญ่กว่ารถล่ะ… อย่างเช่นโลก
ความหมายของคำว่าเปลี่ยนโลกจะชัดเจนขึ้นมาทันที… นั่นคือ “การที่โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงจนทุกคนสามารถสังเกตและรับรู้ได้”
ด้วยเหตุนั้น การที่องค์ประกอบเล็ก ๆ ของโลกเปลี่ยนไปตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการมีคนใจดีเก็บขยะที่ตกพื้นลงถัง ชายนิรนามเสียชีวิตลงข้างถนน ไอศกรีมของเด็กสาวที่เดินจูงมือแม่ไปตามทางเท้าได้หล่นลงพื้นจนละลาย… เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ทำให้โลกเปลี่ยน
หรือการที่ตึกสูงระฟ้าถล่มเพราะภัยธรรมชาติ น้ำท่วมหลากคร่าชีวิตผู้คน หรือเหตุก่อการร้ายที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ล้มตาย… แม้จะมีคนที่รู้สึกว่าโลกเปลี่ยนไปจริง แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะคิดแบบนั้น เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนั้น
ใช่… สำหรับบุคคลทั่วไปที่ใช้ชีวิตธรรมดาสามัญ เขาอาจไม่ได้รู้สึกว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปเลยซักนิดก็เป็นได้
โลกนั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในทางทฤษฎี… ทว่าในทางปฏิบัติมันยังกลับเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
นั่นถึงเป็นความย้อนแย้งอย่างที่สุดของคำว่าเปลี่ยนโลก เป็นคำที่สร้างความน่ารำคาญให้ไม่น้อย เพราะมันแทบไม่มีทางเป็นไปได้ในทางปฏิบัติอย่างที่บอก …ราวกับวิมานในอากาศ
อย่างน้อยนั่นก็เป็น ความคิดของฉันที่มีมาตลอด
ไม่ว่าจะตอนที่ยังเป็นเจ้าชายผู้สืบสายเลือดจากราชาผู้ยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียวของเหล่าแวมไพร์ หรือตอนที่เป็นนักเรียน ม. ปลาย ธรรรมดาในประเทศเกือบอีกซีกโลกนึงของบ้านเกิด
ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ ความคิดของฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย… แม้แต่น้อย
❖❖❖❖❖
“ วันนี้พวกเราจะมีนักเรียนย้ายมาใหม่นะ ”
ทันทีที่คาบโฮมรูมเริ่มขึ้น อาจารย์ประจำชั้นสาวผมสีน้ำตาลเข้มก็พูดแบบนั้นออกมาด้วยท่าทางเหนื่อย ๆ คล้ายกับคนที่มีอาการเมาค้าง แต่ที่นักเรียนในห้องไม่รู้สึกแปลกใจนั่นเป็นเพราะอาจารย์สาวคนนี้มีแสดงอาการดังกล่าวเป็นปกติอยู่แล้ว
อนึ่ง หากจะให้ชี้ชัด… นี่เป็นคาบโฮมรูมในเช้าวันที่ชินเพิ่งกลับมาจากศึกยามค่ำคืนและเพิ่งได้รู้ความจริงของศึกที่ว่า รวมถึงความจริงของโลกใบนี้จากเกวนผู้นั่งอยู่ตรงโต๊ะติดกันทางด้านขวาของเขามาหมาด ๆ
“ อาจารย์เลน่า! นักเรียนใหม่เป็นผู้หรือเมียอ่ะคร้าบ! ”
ในจังหวะนั้น เคนเนธ… เพื่อนสนิทชายของชินก็ยกมือขึ้นสูงพร้อมกับตะโกนถามอย่างร่าเริง และดูเหมือนมันจะเป็นคำพูดแทนความคิดของทุกคนในห้อง ทุกคนถึงได้จ้องอาจารย์ประจำชั้นสาว… เลน่ากันทั้งห้อง
“ เฮ้อ… น่าเสียดายที่ไม่ใช่หนุ่มหล่อ เซ็งชะมัดเลย ” อาจารย์เลน่าพูดด้วยน้ำเสียงแห้งผากในขณะที่โรยตัวจนแทบจะแนบกับโต๊ะแลดูเหนื่อยอ่อนจนน่าเป็นห่วง แต่ดูเหมือนยังมีแรงพอจะหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องตามปกติของเธอได้อยู่
“ โอ้วววววว!!!!!! ”
“ แจ่มไปเลย! ”
“ จะได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วโว้ย! ”
เหล่านักเรียนชายวัยกำหนัดตะโกนโห่ร้องลั่นด้วยอารมณ์ตื่นตัวจนเนื้อเต้นตรงตามตัวอักษรทุกประการ ภาพดังกล่าวทำเอาสาว ๆ ในห้องทั้งรู้สึกหงุดหงิด ขยะแขยงและขำขันไปพร้อม ๆ กัน
ทั้งที่บรรยากาศในห้องกำลังครึกครื้นได้ที่… ทว่าชินและเกวนกลับยังคงสงบ ไม่สิ… ทั้งสองคนพูดอะไรไม่ออกเพราะกำลังจมอยู่กับความคิดตัวเองต่างหาก
นักเรียนย้ายมาใหม่งั้นเหรอ ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ
ชินคิดพลางขมวดคิ้วเล็ก ๆ มีเพียงเกวนที่อยู่ข้าง ๆ กันเท่านั้นจึงสังเกตเห็น
และเพราะแบบนั้นเลยทำให้สายตาประสมกังวลของแต่ละฝ่ายผสานกัน และยังทำให้รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายเองก็กำลังกังวลซึ่งเผลอ ๆ อาจจะเป็นเพราะคิดแบบเดียวกันอยู่ก็เป็นได้
“ อ้าว ๆ เข้ามาเลย ๆ ” อาจารย์เลน่าส่งเสียงเรียกคนที่อยู่นอกห้องเรียน ก่อนจะควักมือเรียกด้วยท่าทีเนือย ๆ
เด็กสาวในชุดนักเรียนแบบเดียวกับทุกคนในห้องจึงก้าวเท้าเข้ามาตามคำเอ่ย
เธอผู้มีเรือนผมสีดำสนิทและมีใบหน้าคมดูสะสวย นัยน์ตาสีทองเป็นประกายราวอำพันนั้นราวกับเป็นเนตรของกอร์กอนผู้ซึ่งมีผมเป็นงูพิษ หากแต่ไม่ได้สาปส่งผู้ที่จ้องให้เป็นหิน กลับกัน… สิ่งนั้นทำให้ผู้ที่จ้องมองต้องมนต์เสน่ห์จนยากจะถอนใจ ทั้งผิวที่ขาวเนียนและรูปร่างอันสมส่วน
จากองค์ประกอบที่ได้กล่าวไป… เด็กสาวผู้ซึ่งเป็นนักเรียนใหม่คือสาวงามในระดับที่สามารถสะกดสายตาของทุกคนก็ถูกหยุดไว้ที่เธอได้หมดไม่เว้นแม้แต่ชินและเกวน
…แม้ความจริงแล้ว ชินและเกวนจะจ้องเธอด้วยสาเหตุที่ต่างจากทุกคนในห้องก็ตาม
“ สวัสดีค่ะ ฉันชื่อซูซ่าน(淑善) จะมาเรียนห้อง 5-B ตั้งแต่วันนี้ค่ะ เพื่อน ๆ ชอบเรียกฉันว่าซูซาน ฝากตัวด้วยนะคะทุกคน ”
เด็กสาว… ซูซานเอ่ยพร้อมกับแจกรอยยิ้มสดใสส่องประกายให้กับทุกคนในห้อง ความงดงามนั้นประทับลงในหัวใจของชายหนุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ทั้งยังสร้างความสบายใจและเปิดช่องว่างให้กับนักเรียนหญิงเข้ามาทำความรู้จักได้ง่าย
“ วันแรกอาจจะปรับตัวลำบากหน่อย งั้น… ไปนั่งด้านหลังหมอนั่นก็แล้วกันนะ ”
อาจารย์เลน่าพูดแบบนั้นด้วยท่าทางรำคาญใจเหมือนที่เป็นมาตลอดก่อนจะใช้สมุดเช็คชื่อในมือชี้ไปยังนักเรียนชายคนหนึ่งที่นั่งติดหน้าต่าง
…ชี้ไปยังชินที่กำลังขมวดคิ้วแน่นแต่พยายามเก็บสีหน้าอยู่
“ เดี๋ยวนะอาจารย์ ทำไมต้องเป็นผมล่ะครับ ”
ชินเอ่ยด้วยสีหน้าราวกับรู้สึกรำคาญใจ ซึ่งในมุมมองคนอื่นก็คงเห็นแบบนั้น ทว่าแท้จริงแล้วเขากำลังอ่านสถานการณ์อยู่ในหัว
“ พูดอะไรน่ะ นายได้ที่หนึ่งของห้อง แถมได้ที่สองของชั้นปีไม่ใช่เหรอ? ซูซานเค้าเป็นเด็กใหม่ ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็จะได้ถามเธอได้ไง ”
“ เอ่อ… แต่นั่นมันหน้าที่อาจารย์ไม่ใช่เหรอครับ ”
ชินเอ่ยด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายของจริง กระนั้นสิ่งที่ได้รับกลับมาดันเป็นการผิวปากทำเป็นทองไม่รู้ร้อนของอาจารย์สาวสวยเสียของคนนี้เสียได้
“ ยะ ยังไงก็เถอะ ต่อจากนี้ก็เป็นเพื่อนกันดี ๆ ล่ะ… เอ้า! จบโฮมรูม จบโฮมรูม! ”
หลังจากฝากฝังเด็กใหม่ให้อยู่ภายใต้การดูแลของชิน(ด้วยการมัดมือชก) เจ้าตัวก็เผ่นแน่บออกจากห้องเรียนไปในบัดดล เห็นภาพแบบนั้นได้แต่ทำให้ชินต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายอีกครา
แต่ว่าแบบนี้… โชคอาจจะเข้าข้างเราก็ได้
ชินคิดแบบนั้นในขณะที่มองซูซานเดินเข้ามา ผ่านโต๊ะของเกวนแล้วอ้อมมาด้านหลังของชินก่อนจะนั่งลง ท่าทางของเขานั้นราวเหยี่ยวรอบินโฉบตะปบอสรพิษยังไงอย่างงั้น
“ ฝากตัวด้วยนะคะ ”
“ เช่นกัน ”
ซูซานทักทายด้วยรอยยิ้มสดใสอีกครา ทางชินที่มองตามเธอมาตลอดเลยพยักหน้าให้เบา ๆ หนนึงกลับไปอย่างมีมารยาท
ขณะที่ในหัวกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว
❖❖❖❖❖
หลังจากที่คาบโฮมรูมจบลงอาจารย์ประจำวิชาคาบแรกก็เข้ามาในห้องทันที และวิชาเรียนดังกล่าวนั้นเป็นวิชาภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาประจำเขตที่ 66 แห่งนี้
ย้ายมาวันแรกก็เจอกำแพงภาษาซะแล้ว… เพื่อนในห้องอดคิดแบบนั้นไม่ได้ เพราะหากสังเกตเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ซูซานน่าจะเป็นชาวจีนหรือใกล้เคียง ถึงแม้การแนะนำตัวก่อนหน้านี้จะทำได้คล่องแคล่วราวกับเจ้าของภาษา ทว่าการเรียนนั้นต่างกันเพราะเจาะลึกไปถึงโครงสร้างภาษา และโชคร้ายอีกชั้นก็คือ ภาษาไทยนั้นเรียกได้ว่าเป็นภาษาที่ยากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งยังเป็นภาษาประจำชาติที่ใช้แค่เฉพาะในเขต 66 เท่านั้นอีกด้วย
ทว่า… ทุกคนกลับคิดผิดถนัด
นั่นเพราะซูซานผู้น่าเป็นห่วงในสายตาของเพื่อนร่วมชั้น กลับสามารถตามเนื้อหาการเรียนการสอนได้ทันหรืออาจจะมากกว่านักเรียนบางคนในห้องเสียด้วยซ้ำ นอกจากนั้นยังสามารถยกมือตอบคำถามของอาจารย์ได้อีกต่างหาก และความน่าตกตะลึงยังไม่จบเพียงเท่านั้น
คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์… วิชาเฉพาะทางทั้งหลายที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจเป็นหลัก แต่ซูซานก็ยังแสดงศักยภาพให้เห็นด้วยการตอบคำถาม/สื่อสารกับอาจารย์ด้วยภาษาไทย
เห็นได้ชัดว่านอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่งดงามปานบุปผาแรกแย้มของเธอแล้ว ปัญญาของเธอเองก็เฉียบราวคมมีด ทำให้ภาพลักษณ์ของซูซานกลายเป็นสาวสวยสมบูรณ์แบแล้วนี่บไปเสียแล้ว
“ ซูซานพูดไทยเก่งจังเลย! ”
“ ใช่ ๆ! แล้วนี่ไปฝึกที่ไหนมาเหรอ? หรือว่าเคยอยู่โรงเรียนต่างจังหวัดมาก่อน ”
หลังจบคาบที่สามในช่วงเช้าแปรเปลี่ยนเป็นคาบพักทานอาหารกลางวัน โต๊ะของซูซานที่อยู่ด้านหลังชินก็ถูกรายล้อมด้วยนักเรียนหญิงในห้องเต็มไปหมด มากเสียจนนักเรียนชายไม่มีโอกาสแทรกเข้าไปสนทนาด้วยเลยทีเดียว
“ เพราะคุณพ่อของฉันเปลี่ยนงาน ก็เลยย้ายมาจากจังหวัดน*รศรีธรรม*าชน่ะค่ะ ”
ซูซานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
และไม่ทราบว่าเธอชินกับบรรยากาศแบบนี้แล้วหรือกระไร เพราะการที่มีคนจำนวนมากรุมล้อมไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกลำบากใจเลยแม้แต่น้อย
“ ลำบากแย่เลยเนาะ จะว่าไปชินเองก็ย้ายมาเพราะคุณแม่เปลี่ยนที่ทำงานเหมือนกันนี่นา ” นักเรียนหญิงคนนึงหันหน้ามาถามชินที่อยู่ด้านหน้า ทำให้ซูซานเองก็ชำเลืองมองตามไปด้วย
“ ก็นะ พอถู ๆ ไถ ๆ ไปได้อยู่หรอก ” ชินตอบกลับด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ แสดงอาการของคนที่เผชิญกับความยากลำบากผิดกับที่พูด
…แต่ก็แน่นอนอยู่แล้วว่ามันเป็นแค่การแสดงของเขา
“ ตายจริง… บังเอิญจังเลยนะคะเนี่ย ”
ซูซานว่าแบบนั้นด้วยรอยยิ้ม ทว่ามีน้ำเสียงที่ดูลุ่มลึกทุ้มต่ำกว่าปกติ กอปรกับสายตาที่ดูคมกริบกว่าปกติทำเอาชินรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
“ อ๊ะ! จะว่าไปซูซานยังไม่รู้จักโรงเรียนเลยไม่ใช่เหรอ? ” ในจังหวะนั้น เกวนที่นั่งอยู่ข้างชินก็แทรกบทสนทนาเข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกับปรบมือเสียงดังราวกับต้องการรีเซ็ทบรรยากาศ ซึ่งถือว่าทำได้ดีเอามาก ๆ
ไม่เลวนี่เกวน
ชินเอ่ยชมเพื่อนสนิทสาวที่รู้ใจเขาราวกับอ่านใจได้อยู่ในใจ ก่อนจะวางแขนเหนือพนักพิงหันหน้าไปทางซูซาน
“ นั่นสินะ… เพิ่งย้ายมาถ้าหลงทางคงแย่ เดี๋ยวฉันพาแนะนำสถานที่ให้เอาไหม? ” ชินเอ่ยด้วยรอยยิ้มมาดผู้ดี
อนึ่ง หากซูซานเป็นประเภทที่สร้างแรงกระเพื่อมให้กับเหล่านักเรียนชายในห้องได้ ชินก็เป็นประเภทตรงข้ามเพราะรอยยิ้มของเขาเองก็มีเสน่ห์ดึงดูดมากพอให้เหล่านักเรียนหญิงที่อยู่รอบ ๆ ซูซานหลงจนตาเป็นรูปหัวใจได้เช่นกัน
“ แต่จะดีเหรอคะ ฉันคิดว่ามันอาจจะเป็นการรบกวนมากเกินไป… ” ซูซานพูดพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ ออกมา บางทีเธอคงหวนนึกถึงท่าทางไม่พอใจ(การแสดง)ของชินก่อนหน้านี้
“ ไม่รบกวนหรอก ฉันเองปกติก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ถ้าจะเอาเวลาส่วนนั้นไปใช้กับเธอก็ไม่ได้เสียหายอะไรเลย ”
ชินพูดพร้อมกับปล่อยรอยยิ้มพิมพ์ใจอีกครั้ง หนนี้แม้แต่เกวนเองยังพลอยตกหลุมพรางนั้นแบบไม่รู้ตัวตามคนอื่นไปด้วย
ในขณะที่ซูซานเองก็ทำท่าทางบิดตัวเอียงอายอย่างขัดเขินเช่นกัน
“ คะ ค่ะ… ถ้าอย่างงั้นก็รบกวนหน่อยนะคะ ”
เธอตอบกลับด้วยรอยยิ้มและแก้มที่แดงระเรื่อ เช่นเดียวกับชินที่พยักหน้าตอบกลับด้วยรอยยิ้มอีกหน
❖❖❖❖❖
หลังจากนั้นชินก็นำซูซานไปยังแหล่งสำคัญ ๆ ในโรงเรียนราวกับเป็นไกด์ทัวร์
เริ่มจากโรงอาหารเป็นแห่งแรก เพราะจะว่าไปแล้วทั้งสองคนก็ยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงจึงแวะซื้อกินไปด้วยในขณะที่พาชมโรงเรียนต่อ
จากนั้นตามด้วยสนามกีฬาของโรงเรียน ต่อด้วยสนามกีฬาในร่ม ห้องปฏิบัติการต่าง ๆ รวมถึงห้องชมรมหลังเลิกเรียน ห้องสมุดประจำโรงเรียน และสุดท้ายคือบริเวณสวนหย่อมขนาดใหญ่ราวกับสวนสาธารณะขนาดย่อม และเป็นจังหวะเดียวกับที่ชินเห็นสมควรว่าต้องพัก กอปรกับเวลาที่เหลือก่อนจะเริ่มคาบบ่ายทำให้การทัวร์ต้องหยุดลงที่การนั่งพักตรงม้านั่งตัวหนึ่งกลางสวนหย่อม
“ สะดวกสบายดีนะคะเนี่ย ทำเอาคิดเลยล่ะค่ะว่าตัวเองเป็นพวกบ้านนอกเข้ากรุง ” ซูซานพูดพร้อมกับทำเป็นแลบลิ้นออกมาเล็ก ๆ ท่าทางนั้นพาลให้คิดว่าเป็นปีศาจน้อยผู้น่ารักสำหรับนักเรียนที่เดินผ่านไปมา
…ทว่าสำหรับชินที่ไม่ได้สังเกตจุดนั้นกลับพยักหน้ารับ เป็นท่าทางที่ซูซานเห็นก็ไม่เข้าใจ จนกระทั่งชินเอ่ยปากถามออกมาเอง
“ งั้นเหรอ… มิน่าล่ะถึงไม่ได้สวมโฮโลวอช ” ชินเอ่ยแบบนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงธรรมดา ทว่าจังหวะเวลานั้นตรงเผงราวกับตั้งใจจ้วงแทงอีกฝ่ายในจังหวะที่เผลอ
อนึ่ง โดยปกติโฮโลวอชมาตรฐานที่คนใช้ทั่วไปจะมีจำนวนฟังก์ชั่นหลายอย่างขึ้นอยู่กับราคา และโดยปกติจะเชื่อมโยงข้อมูลจากฐานข้อมูลหลายแห่งเพื่อให้อำนวยความสะดวกได้อย่างรวดเร็ว จึงมีตั้งแต่การสนทนากับเพื่อน ส่งข้อมูลมัลติมีเดียระหว่างประเทศ ตลอดจนใช้ทำธุรกรรมทางการเงินในโฮโลวอชรุ่นกลางไปจนถึงไฮเอนด์
ในขณะเดียวกันโฮโลวอชรุ่นต่ำนั้นมีความสามารถพื้นฐานเพียงแค่การใช้งานระบบเครือข่าย ทำธุรกรรมต่าง ๆ และสวัสดิการของรัฐบาล อาทิเช่น หลักประกันสุขภาพหรือข้อมูลการศึกษา ซึ่งราคาดังกล่าวถือว่าถูกพอสมควรหากเทียบกับรุ่นกลางและฟังก์ชั่นที่ได้
ด้วยเหตุนั้นมันจึงเป็นของที่สามารถแทนที่สมาร์ทโฟนได้อย่างรวดเร็วเร็ว ทั้งในแง่ของความครบครัน ความสะดวกต่อการพกพาหรือประสิทธิภาพการทำงานที่สามารถแสดงผลภาพ 3 มิติได้เร็วพอ ๆ กับ 2 มิติ
“ ก็สมาร์ทโฟนที่คุณพ่อซื้อให้มันยังใช้งานได้ดีอยู่เลยนี่คะ จะให้ซื้อใหม่มันก็ดูสิ้นเปลืองเกินจำเป็นนะคะฉันว่า ” ซูซานเอ่ยตอบคำถามพร้อมกับล้วงกระเป๋ากระโปรงหยิบสมาร์ทโฟนที่ว่าให้ชินดู ชินที่เห็นแบบนั้นก็พยักหน้าให้เบา ๆ ด้วยรอยยิ้ม
“ เห… คนมัธยัสถ์แบบเธอนี่หายากเอาการอยู่นะเนี่ย ”
“ แหม! ชมกันแบบนี้ก็เขินแย่สิคะเนี่ย ”
กับคำชมด้วยรอยยิ้มของชิน ซูซานก็เริ่มบิดตัวไปมาอย่างเอียงอายอีกครั้งอย่างน่ารักน่าชังก่อนจะเก็บสมาร์ทโฟนเข้ากระเป๋าดังเดิม
ในขณะที่สายตาของชินกลับคมกริบขึ้นไปอีกระดับ
อย่างที่รู้กันว่าโฮโลวอชนั้นถูกสร้างมาเพื่อแทนที่สมาร์ทโฟน เรียกได้ว่าจำนวนคนที่ยังใช้สมาร์ทโฟนในปัจจุบันนี้ มีพอกันกับจำนวนของคนที่ยังใช้เพจเจอร์ในช่วงเวลารุ่งโรจน์ของสมาร์ทโฟน
สิ่งหนึ่งที่มันทำได้ดีกว่าสมาร์ทโฟนนั้น ไม่ใช่แค่การแสดงผลแบบ 3 มิติเท่านั้น แต่เป็นการเข้าถึงสิทธิและใช้งานสวัสดิการของรัฐได้ต่างหาก
เป็นนโยบายของทาง UR ให้มีการบันทึกข้อมูลปัจเจคบุคคลของทุกคนตั้งแต่เกิดลงในฐานข้อมูลกลาง
ซึ่งการใช้งานโฮโลวอชและเปิดใช้งานเป็นครั้งแรกก็จำเป็นต้องลงทะเบียนยืนยันตัวตนจากฐานข้อมูลกลางและทะเบียนราษฎร์ของเขตประเทศนั้น ๆ ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้สามารถระบุตัวผู้ใช้งานได้โดยง่ายในกรณีที่ใช้ทำเรื่องผิดกฎหมาย กอปรกับระบบเครือข่ายของโฮโลวอชนั้นมีไฟล์วอลรัดกุมหนาแน่น ใช้กรองข้อมูลจากเครือข่ายเดิมมาสร้างเป็นเครือข่ายเฉพาะของตัวเองทั่วโลก ระบบจึงมีความปลอดภัยสูงขึ้นตาม
และทั้งหมดทั้งมวล… ประเด็นสำคัญนั้นอยู่ตรงที่ “การสวมโฮโลวอช” จะสามารถระบุ “ตัวตนจริง ๆ” ของผู้สวมได้ในกรณีที่ถูกแจ้งเกิดตามกฎหมาย
หรือต่อให้เป็นผู้ที่ไม่ได้ถูกแจ้งเกิดแต่หากมีความต้องการจะใช้โฮโลวอช ยังไงก็ต้องทำเรื่องยืนยันตัวตนกับทะเบียนราษฎร์ก่อนอยู่ดี
…แม้ในกรณีของฉันจะเป็นกรณีเฉพาะเพราะมีลู่ทางก็เถอะ
แต่สำหรับคนอื่นแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะปลอมแปลงข้อมูลทะเบียนราษฎร์ เพราะต่อให้เป็นประเทศด้อยพัฒนาขนาดไหน ยังไงก็ต้องลงทะเบียนกับ UR ที่เป็นองค์กรระหว่างประเทศก่อนอยู่ดี
ด้วยเหตุนั้น… การที่เธอคนนี้ไม่ได้สวมโฮโลวอชจึงน่าสงสัยเป็นอย่างมาก
แม้ไม่รู้ว่าตัวจริงของเธอคนนี้เป็นใคร? มีจุดประสงค์อะไร? หรืออยู่ฝ่ายไหน?
กระนั้นจากเรื่องที่ย้ายโรงเรียนมาอย่างกะทันหันหลังจากที่แองกริคราวน์ลงสนามประลองในศึกชิงสิทธิปกครองโลกยามค่ำคืน ทำให้เชื่อได้เกินกว่าครึ่งว่า “ ราชาคนใดคนนึงเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ”
ประกอบกับเรื่องที่เธอคนนี้ไม่ได้ใช้งานโฮโลวอชแล้ว… นั่นทำให้ความสงสัยของฉันที่มีต่อเธอคนนี้พุ่งขึ้นสูงถึง 80%
แน่นอนว่ายังไม่มีหลักฐานใด ๆ หรือบางทีอาจเป็นแค่การวิตกไปเอง
แต่ว่าเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว สำหรับการเฝ้าระแวดระวังในตัวเธอคนนี้
ชินคิดแบบนั้นทั้งที่ยังยิ้มตอบรับซูซาน เพราะเช่นไร… แม้จะไม่รู้ว่าเธอมีจุดประสงค์อะไรถึงได้เข้าหาตัวชิน แต่หากเธอมีจุดประสงค์นั้นจริง ๆ ชินก็จะไม่เปิดช่องว่างใด ๆ นั่นต่างหากคือประเด็นสำคัญของการเฝ้าระวัง และสำหรับคนที่เข้าหาเพราะหวังใช้ช่องว่างในการเปิดโปงตัวตนหรือใด ๆ ก็ตาม นั่นคงจะเป็นฝันร้ายของซูซาน
ในขณะที่เวลาไหลผ่านไป ผู้คนเองก็เริ่มบางตาลงเพราะใกล้เวลาเริ่มคาบบ่ายตามไปด้วย จนกระทั่งถึงขณะเวลาที่สวนหย่อมแห่งนี้ไร้ผู้คน
“ เฮ้อ… คุณนี่ขี้ระแวงอย่างที่คิดเลยนะเนี่ย ไม่ไหว ไม่ไหว ”
ยามสวมหย่อมสงัดไร้เสียงผู้คน… ซูซานก็แง้มหน้ากากที่สวมมาตลอดออกมาให้เห็นในทันที ท่าทางรำคาญใจแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนทั้งน้ำเสียง สีหน้าและท่าทาง
บิงโก… ชินแอบคิดแบบนั้น และยิ่งระแวดระวังมากขึ้น
“ พูดถึงเรื่องอะไรเหรอ? ” กลับกัน สถานการณ์ที่เข้าทีทำให้ชินเลือกตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติกลับไป
แม้แต่ตอนที่อีกฝ่ายแยกเขี้ยวขู่ แต่ชินก็ยังคงความสุขุมไว้ เพราะหากเล่นไปตามเกม เขาเองก็อาจจะเผลอแสดงใบหน้าใต้หน้ากากออกไปเช่นกัน
ทว่าทางซูซานทีได้ยินแบบนั้นกลับ…
“ เรื่องอะไร… เหรอ ” ซูซานที่ได้ยินแบบนั้นส่งสายตาคมกริบราวเชือดเฉือนเป็นครั้งแรกให้เห็น น้ำเสียงทุ้มต่ำแลเย็นยะเยือกส่งผ่านมาจนสัมผัสได้ทางผิว ทำเอานึกถึงน้ำเสียงของโอลิเวียขึ้นมาตงิด
แต่มีจุดแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างทั้งสองคนในสายตาของชิน… น้ำเสียงซูซานในตอนนี้นั้นปราศจากซึ่งไมตรีและความอ่อนละมุล ต่างกับตัวโอลิเวียอย่างสิ้นเชิง
และไม่รู้ว่าเธอจะตั้งใจทำอะไร ฝ่ามืออันบอบบางของซูซานจึงได้เลื่อนขึ้นมาสัมผัสบริเวณอกของชินไปเสียอย่างงั้น หนนี้มีเพียงความอาฆาตเท่านั้นที่ถูกส่งผ่านมา
และนอกจากความอาฆาตมาดร้าย เธอยังส่งคำตอบของคำถามที่อยู่ในใจของชินออกมาด้วย
“ อะไร… นี่จำกันไม่ได้จริง ๆ สินะคะเนี่ย ”
ทว่าคำตอบนั้น… ไม่ใช่สิ่งที่ชินคาดคิดไว้แม้แต่น้อย
โดยที่ยังไม่รู้ถึงเรื่องนั้น เพราะชินในตอนนี้สัมผัสได้เพียงแค่เสื้อที่ถูกขยำโดยฝ่ามือของซูซานที่จ้องจดเข้ามาในดวงตาของเขาอย่างคมกริบ พร้อมรอยยิ้มมีเลศนัยที่ทำเอารู้สึกขนพองสยองเกล้า
“ ลืมหน้าคู่หมั้นของตัวเองไปแล้วรึยังไงกันคะ… ท่านองค์ชายชินยะ นัวรอย โซลเลน ”