ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก - ตอนที่ 20 : ก่อนรุ่งสางของคืนวันที่จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล (จบ Prologue)
- Home
- ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก
- ตอนที่ 20 : ก่อนรุ่งสางของคืนวันที่จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล (จบ Prologue)
ท่ามกลางหมู่เมฆและดวงดาราแลดูสงับเงียบ ภายใต้สิ่งงดงามเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยซากปรักหักพังของบ้านเรือนในเขตเก่าอันไร้ผู้คน ทว่าที่เด่นสะดุดตาที่สุด ก็เห็นจะเป็นกล่องแก้วขนาดมหึมา มันทอแสงจันทราดุจคริสตัล
ทว่ากล่องนั้นหาได้มีสมบัติอยู่ภายในไม่ เสียงสะท้อนอันรุนแรงกึกก้องที่อยู่ภายในคือสิ่งบ่งบอกว่าสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้น
นอกเสียจากหมู่เมฆและดวงดาว ก็มีแต่ลิงสาวคนนึงนั่นแลที่เฉิดฉายอยู่เหนือพื้นดิน
หญิงสาวผู้สวมชุดเกราะเบา แต่แฝงวัฒนธรรมอย่างกระโปรงกี่เพ้า และสาเหตุที่ดูคล้ายลิง นั่นเพราะเธอคนนี้กำลังสวมหน้ากากลิงอันถูกวาดด้วยผู้กันแต่งแต้มสี
นั่นมันอะไรกันเนี่ย
เธอผู้ซึ่งยืนสังเกตการณ์อยู่บนยอดตึกร้างมาตลอดรำพึงอยู่ในใจด้วยความประหลาดจิต
แท้ที่จริงแล้ว เธอผู้นี้เฝ้าติดตามศึกสามทางระหว่างรัสเซีย จีนและออสเตรเลียอยู่ห่าง ๆ มาตลอด กระนั้นพอสคัลซึ่งเป็นขุนพลมือหนึ่งถอนกำลังกลับ เธอจึงถูกฮ่องเต้… ราชาของจีนสั่งให้ตามเขาไป เพราะทิศทางที่มันมุ่งไปไม่ใช่รัสเซียบ้านเหย้าเรือนเกิดของเขา หากแต่เป็นที่อื่น
และแล้วก็บิงโก… สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นกลับกลายเป็นสคัลมุ่งหน้าไปยังมาเลเซียเพื่อกำจัดตัวละครใหม่ในเกมผู้ซึ่งไม่มีใครคาดเดาการกระทำได้อย่างแองกริคราวน์
เธอจึงเฝ้าสังเกตการณ์การต่อสู้ครั้งนี้มาตลอดจากระยะปลอดภัยซึ่งอยู่ไปหลายกิโลเมตร กระนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นปัญหากับลิงสาวคนนี้แม้แต่น้อย
มองไม่เห็นข้างในเลย… เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นกันเนี่ย
ลิงสาวบ่นอุบแบบนั้นอยู่ในใจ เพราะหลังจากที่สคัลดื่มบางอย่างเข้าไปจนเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ไนท์ของเขาก็ทำลายหมู่บ้านรอบ ๆ จนเสียโฉม กลายสภาพเป็นบ้านเมืองหลังผ่านพ้นภัยพิบัติก็มิปาน
แล้วพอสิ่งนั้นเกิดขึ้น กล่องคริสตัลก็ถูกสร้างขึ้นถัดจากนั้นไม่นาน ทว่าสิ่งที่สะท้อนออกมากลับไม่ใช่ภาพข้างในกล่องแต่เป็นข้างนอก ดูเหมือนสคัลจะรัดกุมอยู่พอควรที่สร้างมันไว้ไม่ให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน
“ สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ” เสียงมาจากหูฟังที่ไว้สำหรับติดต่อสื่อสารกับสหายที่แผ่นดินใหญ่ เสียงที่ยังหนุ่มแน่นถามออกมาด้วยความสงสัยใครรู้ไม่ต่างจากจากลิงสาวผู้เป็นปลายสาย
หากจะให้ชี้เฉพาะ… คนที่สื่อสารมาเองก็เป็นหนึ่งในพรรคพวกของเธอที่สวมหน้ากากวัว เขาผู้ซึ่งเป็นตัวกลางในการติดต่อระหว่างลิงและฮ่องเต้ ต่างลุ้นผลลัพธ์ภายในกล่องคริสตัลกันแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้
“ สถานการณ์ยังเหมือนเดิ——ดะ เดี๋ยวก่อนนะ! ”
ในตอนที่กำลังจะยืนยันสถานการณ์ ลิงสาวก็ต้องชะงักประโยคลงเพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
กล่องคริสตัลที่เคยตั้งตระหง่าน แม้จะดูเปราะบางแต่จากที่เห็นจากการต่อสู้ ดูยังไงมันก็แข็งแกร่งเทียบเท่าเพชร สมกับเป็นพลังของขุนพลอันดับหนึ่งแห่งรัสเซียอยู่พอควร
ทว่าสิ่งที่แข็งแกร่งตามคำเล่าลือนั้นกลับแตกสลายลงตรงหน้า แหลกสลายคล้ายเม็ดทรายยามชายหาดถูกพัดปลิวไปตามสายลมยามค่ำคืน
สิ่งที่เห็นว่าน่าตกใจแล้ว แต่สิ่งที่สังเกตได้ถัดไปยิ่งน่าตกใจเข้าไปอีก
นั่นคือภาพของแองกริคราวน์ผู้ซึ่งกำลังอุ้มหญิงสาวโกลเด้นด็อกอันโด่งดังผู้เป็นคู่หูไว้ด้วยท่าเจ้าหญิง กำลังเดินจากไปในทิศตรงข้าม ที่ซึ่งมีร่างอันเต็มไปด้วยเลือดของสคัลนอนสงบนิ่งอยู่
“ เกิดอะไรขึ้น ” เพราะเห็นว่าลิงสาวนิ่งไปเสียนาน วัวหนุ่มจึงถามย้ำจนลิงสาวได้สติ
“ ยะ ยืนยันข้อมูล… แองกริคราวน์โค่นสคัลได้แล้ว…”
ลิงสาวตอบกลับแบบนั้นพลางกลืนน้ำลายลงคอ ตระหนักได้อีกครั้งว่าสมญานามที่ถูกเรียกขานว่านักฆ่าอันดับหนึ่งของโลกไม่ได้มีไว้ตั้งโชว์
“ เขาโค่น… ขุนพลของรัสเซียลงแล้วค่ะ ”
ปลายสายเองก็เงียบเป็นเป่าสากเพราะทุกคนที่รู้ต่างตกตะลึงไปตาม ๆ กันและได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้เจอแองกริคราวน์ในสนามรบ
ชิ!
มีเพียงเด็กสาว… ฮ่องเต้เท่านั้นที่เดาะลิ้นเสียงดังพร้อมกับกัดเล็บอย่างรำคาญใจให้กับผลลัพธ์ที่จะส่งผลสร้างความยุ่งยากตามมาให้เธอในอนาคตอันใกล้
❖❖❖❖❖
อือ…
เสียงของหญิงสาวเอลฟ์ครางเบาราวลูกแมวนอนบนฟูก
แต่หากจะเทียบกันแล้วหญิงสาวคนนี้… โอลิเวียน่าจะเป็นแมวที่กำลังนั่งหลับพิงพนักอยู่บนเก้าอี้เครื่องบินเสียมากกว่า
!!!?
พริบตาที่เกิดเสียงดังรวมถึงเกิดการสั่นสะเทือน ดวงตาของเธอก็รีบเบิกโพลงขึ้นมาทั้งรวดเร็วและเป็นอัตโนมัติ ก่อนจะควานสายตาไปทั่วในพริบตาเพื่อหาอาวุธตามสัญชาตญาณ
ทว่าโชคดีนักที่สิ่งที่เธอเห็นเป็นอย่างแรกไม่ใช่ศัตรู และกลับกัน… สิ่งที่เธอเห็นในพริบตาที่ตื่นคือสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกสงบใจได้ และแน่นอนว่าเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากชิน
“ พักต่อก็ได้นะ ” ชินพูดแบบนั้นด้วยสีหน้าอ่อนโยน
ในตอนนี้ตัวเขาและเธอไม่ได้สวมหน้ากากอีกแล้ว แถมยังอยู่บนเครื่องบินลำเดียวกับที่นั่งมายังมาเลเซียด้วย โอลิเวียสามารถยืนยันเรื่องนั้นได้จากกลิ่นที่ยังติดอยู่ที่เดิมของทั้งตัวเองและชิน
หลังจากที่การต่อสู้อันดุเดือดระหว่างกรและสคัลจบลงจึงสามารถติดต่อกับอัลเฟรดได้อีกครั้งอย่างสบายใจ ทว่า…
“ ถอนกำลังกันเถอะครับ ” นั่นคือคำพูดของอัลเฟรด แต่ชินก็เดาได้แล้วตั้งแต่ที่จุดนัดพบถูกกำหนดให้เป็นสนามบินที่พวกเขาเพิ่งนั่งกันมา
เพราะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมากมาย แถมยังรู้จากศึกนี้ด้วยว่าอินโดนีเซียถูกเล็งจากทั้งสามอำนาจใหญ่ในตอนนี้ และในส่วนของสามอำนาจใหญ่นั้นหมายความถึง ราชาของจีน อเมริกาและรัสเซีย การฝืนบุกสุ่มสี่สุ่มห้าต่อไปทั้งอย่างนี้มีแต่จะเสียกำลังเปล่า อัลเฟรดจึงต้องยกเลิกแผนเนื่องจากประเมินแล้วว่ากำลังของเราในตอนนี้ยังเข้าไปตะลุมบอนกับสามอำนาจนั้นไม่ไหว ซึ่งชินเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนั้น
สิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้จึงมีแค่การให้มิวรักษาฐานที่มั่นเขต 60 หรือมาเลเซียไว้ไม่ให้ถูกรุกล้ำ แต่แน่นอนว่ามิวที่ถูกรู้ตัวจริงแล้วคงไม่สามารถอยู่ที่ฟากนี้ได้อีกต่อไป หลังจากเตรียมการหลาย ๆ อย่างจบ อัลเฟรดก็ได้ทำเรื่องย้ายที่อยู่ของมิวมาที่ฝั่งของประเทศไทยแทน
“ เข้าใจสถานการณ์แล้วค่ะ ” โอลิเวียพูดขึ้นหลังฟังบรรยายสรุปจากชิน ในมือของเธอมีแก้วน้ำที่กำลังอุ่น ไว้ช่วยให้สติตื่นตัวเร็วขึ้น
“ แล้วจากนี้จะเอายังไงต่อเหรอคะ? ” โอลิเวียเอ่ยถามออกมา ชินก็ได้แต่ส่ายหน้าเบา ๆ เพราะไม่รู้คำตอบเช่นกัน
“ โอ๊ะ รู้สึกตัวแล้วสินะครับ ” ในขณะที่บทสนทนาขาดช่วง อัลเฟรดในชุดนักเรียน(ซึ่งแน่นอนว่าเป็นคนละแห่งกับที่ชิน โอลิเวียและเกวนอยู่)ก็โผล่ออกมาจากที่นั่งด้านหลัง ราวกับรอจังหวะอยู่ยังไงอย่างงั้น
“ ผมเองก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้ไป ดูเหมือนคงต้องตัดใจจากอินโดนีเซียซะแล้วล่ะนะครับ ” อัลเฟรดว่าพลางยักไหล่ รอยยิ้มร่าเริงขัดกับสิ่งที่พูดซึ่งเผยมาจากเจ้าตัวทำให้ชินสงสัยเอาการ แต่แน่นอนว่าชินไม่ได้สนใจ
“ แล้วจะเอายังไงต่อ ”
ชินตัดบทอัลเฟรดเข้าสู่เรื่องที่โอลิเวียถามค้างไว้ อัลเฟรดเลยได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ
จริงจังตลอดแบบนี้เดี๋ยวก็เหนื่อยตายหรอกครับ… ท่าทางของอัลเฟรดบ่งบอกออกมาแบบนั้นแต่ไม่ได้พูดออกมาเพราะรู้กันอยู่ว่าชินคงไม่สะเทือนกับคำพูดจิกกัดทำนองนี้
อัลเฟรดจึงเปลี่ยนท่าทีของตัวเองให้จริงจังขึ้นก่อนจะตอบกลับ
“ นั่นสินะครับ… หลังจากที่คุณชินโค่นสคัลลง ตอนนี้ราชาทุกคนคงจะต้องเฝ้าระวังคุณเป็นพิเศษ นั่นหมายความว่ากลุ่มของเรากำลังถูกจับตามองอยู่ โดยเฉพาะราชาของรัสเซียที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากศึกนี้ ”
ทันทีที่อัลเฟรดพูดแบบนั้นออกมา สายตาของทุกคนในกลุ่มอันประกอบด้วยเกวน ริว หมิงเซียน ไดอาและมิวที่นั่งอยู่ที่นั่งอีกฝั่งของชินก็จริงจังมากขึ้น พร้อมกับคิ้วที่เริ่มขมวดอย่างกังวลใจ
“ ทุกคนจะเป็นแบบนั้นก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะราชาของรัสเซียคือคนที่มีเขตแดนมากที่สุดในบรรดาราชาทั้งหมด เรียกได้ว่าเป็นตัวเต็งในสงครามนี้เลยก็ไม่ผิดหรอกครับ ” อัลเฟรดเห็นชินสังเกตท่าทางของทุกคนจึงชิงพูดแบบนั้นออกมา และเรื่องที่พูดออกมาก็เป็นข้อมูลสำคัญเสียด้วย
ไม่สิ… เขาอาจจะพยายามบอกมาตลอดเพียงแต่ไม่มีจังหวะดี ๆ ก็ได้ กระนั้นสาเหตุที่ไม่หาจังหวะมาบอกก็ทำให้ชินรู้สึกกังขาอีกเช่นเคย
“ เหรอ ”
แต่ท่าทางของชินกลับแตกต่างจากที่อัลเฟรดคาดไว้ เขาแสดงสีหน้าแปลกใจออกมาอย่างซื่อตรง นั่นอาจเป็นครั้งแรกที่ชินได้เห็นความรู้สึกจริง ๆ ของอัลเฟรด
และก็เช่นเคยที่ชินหาได้สนใจไม่ เพราะจะทั้งสงครามยามค่ำคืนอันดูเหมือนจะไร้ความหมาย เขตแดนที่กำลังจะสูญเสียและได้รับ หรือแม้แต่ผลงานในการโค่นขุนพลของหนึ่งในสามราชันย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ชินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นแม้แต่น้อย
เช่นไรก็ตาม สุดท้ายเป้าหมายของชินก็มีเพียงอย่างเดียว
…นั่นคือการควานหาตัวผู้ที่สังหารพ่อและแม่ของเขาไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ไม่ว่าศัตรูจะเป็นแค่เศษสวะเดินดินหรือดาวค้างฟ้า ชินก็จะลากคอมันมาและมอบบทลงโทษที่สาสมให้กับมัน
นั่นแหล่ะคือทั้งหมดที่ชิน ‘คิดว่า’ ตัวเองต้องการ
“ ไม่สนใจเรื่องพวกนั้นเลยสินะครับเนี่ย ” อัลเฟรดพูดแบบนั้นด้วยความชื่นชมพอเห็นท่าทางไร้กังวลของชิน
ไม่สิ… แม้แต่ทุกคนเองก็ตาม พอเห็นว่าชิน ซึ่งในตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดไร้ความหวาดกลัว กำลังใจของพวกเขาก็มากขึ้นตามไปด้วย เห็นได้ชัดจากสีหน้าของทุกคนที่ถูกแต้มด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ
…ยกเว้นอัลเฟรดที่ยิ้มอย่างขม ๆ กับเกวนที่ทำสีหน้าลำบากใจออกมาเล็กน้อยจนยากจะสังเกต
❖❖❖❖❖
หลังจากนั้นเที่ยวบินก็ไม่มีการสนทนาอะไรกันต่อ นอกจากเป้าหมายต่อไป
ไม่สิ… น่าจะเรียกว่ากำหนดการณ์ต่อไปเสียมากกว่า เพราะสิ่งที่อัลเฟรดบอกให้ทุกคนทำคือ ‘รอจังหวะ’ เนื่องจากชิน หรือที่รู้จักกันในนามแองกริคราวน์ได้โค่นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสงครามลง พร้อม ๆ กับการยืนยันว่าแองกริคราวน์อยู่ในสถานะพรรคพวกกับราชาอัลเฟรด นั่นทำให้ตอนนี้พวกออัลเฟรดไม่สามารถบุ่มบ่ามทำอะไรได้
จะเคลื่อนไหวอย่างโจ่งแจ้งก็ไม่อาจทำได้ แม้จะหาช่องเพื่อชิงดินแดนคนอื่นในจังหวะที่เผลอก็เป็นไปไม่ได้ เพราะหลังจากการจู่โจมสายฟ้าแลบเมื่อคืนบวกกับการที่แองกริคราวน์ นักฆ่าอันดับหนึ่งของโลกได้ลงสังเวียนแข่ง
เหตุการณ์ในคืนนี้จึงทำให้สถานการณ์ของราชาทุกคนแทบไม่ต่างกัน นั่นคือทุกคนต่างระแวดระวังภัยมากขึ้นเป็นหลายเท่า นั่นรวมถึงความร้อนใจด้วย เพราะศึกเมื่อคืนชี้ให้เห็นแล้วว่าการต่อสู้นับจากนี้หากมัวแต่งอมืองอเท้าหรือเอาแต่เก็บไพ่ตายไว้ อาจจะตายก่อนที่จะได้ใช้ก็ได้
…หลังจากการตายของราชันย์ผู้ปกครองโลกคนก่อนอย่างเอลานอร์ เวลาได้ล่วงเลยไปกว่า 10 ปีโดยที่ไร้ท่าทีว่าสงครามยามค่ำคืนนี้จะจบลง เพราะทุกคนพากันใช้ไม้อ่อนกันหมด
ตัวยุ่งยากอย่างแวมไพร์หายไปแล้ว หลังจากนี้ไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่อไปแล้ว… นั่นคือสิ่งที่ทุกคนคิด และเป็นสาเหตุที่ทำให้การปรากฏตัวของตัวตนอย่างชินทำให้ราชาทุกคนตื่นตัว
หากจะกล่าวโดยสรุปก็คือ… การลงสนามรบของชินคือการจุดระเบิดปะทุสงครามเย็นที่มีมานานให้กลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบและมันจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปตลอดกาล
…นั่นคือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ หากแต่ไม่มีผู้ใดที่คาดการณ์ถึง
❖❖❖❖❖
หลังจากที่มาถึงสนามบินก็เป็นเวลา 5.30 น. โดยประมาณ และพรุ่งนี้ก็เป็นวันธรรมดา ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเช้านี้ทุกคนต้องกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต นั่นคือการไปโรงเรียน
บางทีอัลเฟรดก็คงคาดเดาได้อยู่แล้วจึงได้สวมชุดนักเรียนของตัวเองไว้รอตั้งแต่บนเครื่อง แน่นอนว่าชินเองก็คิดแบบนั้น ต่างแค่ว่าชินไม่มีชุดจะเปลี่ยน ในตอนที่คิดแบบนั้นอัลเฟรดก็มอบเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนเซนต์ลอเรนซ์ที่ซึ่งพวกชินเรียนอยู่มาให้
เป็นชุดสำหรับนักเรียนชาย 1 ชุดและนักเรียนหญิง 2 ชุด สำหรับชิน โอลิเวียและเกวน ทั้งสามคนรับชุดที่เตรียมไว้ให้พร้อมสรรพก่อนจะลงจากเครื่อง และเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตทุกคนจึงแยกย้ายกันไปคนละทางตามที่ตัวเองไปโรงเรียนปกติ นอกจากอัลเฟรดกับไดอาที่มีธุระประปรังอย่างอื่นต้องไปสะสาง
“ แบบนี้มันก็น่าตลกดีเหมือนกันนะคะ ” โอลิเวียพูดขึ้นในระหว่างที่เดินเคียงไปตามทางเปลี่ยวกับชินสองคนซึ่งเป็นช่องแคบระหว่างตึกรามบ้านช่องเพื่อหาจังหวะแยกกันเหมาะ ๆ
แต่สีหน้าของเธอกลับอมทุกข์ไม่น้อยหลังจากที่พูดแบบนั้น
“ หมายถึงอะไรเหรอ ” ชินจึงเอ่ยถามกลับด้วยความเป็นห่วง นั่นเพียงพอจะทำให้โอลิเวียยิ้มออก
“ นั่นสินะคะ… ถึงจะใช้ชีวิตแบบคนละขั้วในแต่ละคืนวัน แต่มันก็อดสงสัยไม่ได้เลยว่าเวลาไหนกันแน่ที่เป็นตัวเราจริง ๆ ” โอลิเวียพูดแบบนั้น กระนั้นสายตาของเธอกลับจดจ้องมายังชิน
นั่นอาจหมายความว่า สิ่งที่เธอกำลังพูด ไม่ได้หมายถึงตัวของเธอเอง แต่หมายถึงชิน
“ ชินต้องการใช้ชีวิตแบบนี้จริง ๆ งั้นเหรอคะ ”
โอลิเวียเอ่ยถามย้ำ สายตาที่นิ่งสงบแลเย็นเยือกของเธอพุ่งตรงมาที่เขา กระนั้นยังแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น ชินจึงเริ่มขมวดคิ้วเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โอลิเวียเอ่ยถามอะไรแบบนี้
ดูท่าเรื่องเมื่อคืนจะทำให้โอลิเวียเป็นห่วงสินะ
ชินคิดในขณะที่มองตาของเธอกลับไป และอย่างที่ได้กล่าว… นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โอลิเวียเอ่ยทำนองนี้ออกมา
สำหรับโอลิเวียที่ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชิน เธอคิดเสมอว่าอยากให้ชินเลิกทำเรื่องอันตรายแล้วใช้ชีวิตปกติไปเสีย แบบนั้นย่อมดีกว่าสำหรับชิน กระนั้นพอนึกถึงความทรมานของชินกับเรื่องที่ไม่อาจสะสางจนเก็บไปฝันร้ายตลอดก็ทำให้เธอไม่อาจเอ่ยอะไรได้มากนัก
ดังนั้นการที่เธอพูดออกมาแบบนี้ แสดงว่าเหตุการณ์เมื่อคืนทำให้โอลิเวียเป็นห่วงชินมากกว่าเดิมเสียอีก มากเสียจนเก็บความเย็นใจเอาไว้ไม่อยู่
“ ฉันถอยกลับไม่ได้ ” ชินหลบสายตาก่อนจะตอบกลับราวกับรู้สึกผิด โอลิเวียจึงได้แต่พยักหน้ารับเบา ๆ เหมือนเคย
เว้นเสียแต่มือที่กำแน่นด้วยความเจ็บใจ เพราะไม่อาจเป็นเหตุผลให้ชินทิ้งความแค้นในอดีตไปได้… เหมือนทุกที
“ ชิน ”
ในตอนที่โอลิเวียเงียบลง เสียงของเด็กสาวอีกคนก็ดังขึ้นมาจากด้านข้างของอีกซอกตึก เสียงนั่นมีเจตนาที่จะให้ได้ยินก่อนแสดงตัวเพื่อแสดงความเป็นมิตร
และแน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากเกวน เพื่อนสนิทสาวและเพื่อนร่วมชั้นของชินในชุดนักเรียนแบบเดียวกับโอลิเวีย
อนึ่ง แท้จริงทั้งชินและโอลิเวียต่างรู้ตัวอยู่แล้วว่าเกวนใช้เส้นทางอ้อมตามปกติ แต่สุดท้ายก็เลี้ยวตามมาหาพวกตนอยู่ดี แม้จะไม่รู้สาเหตุแต่เกวนก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำเรื่องอย่างการลอบโจมตีพวกตน ชินและโอลิเวียจึงปล่อยให้เกวนทำตามใจ
“ มีธุระอะไรกับมาสเตอร์เหรอคะ ”
“ อะ เอ่อ ”
แม้จะสัมผัสได้ว่าเจ้าตัวไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่สัญชาตญาณลูกผู้หญิงของโอลิเวียได้ทำให้เธอขยับเข้าไปขวางระหว่างชินและเกวนไปเอง ทำเอาเกวนแปลกใจเช่นเดียวกัน
แต่ดูเหมือนว่าเรื่องที่เกวนจะบอกนั้นมีความสำคัญมากกว่าท่าทีของโอลิเวียที่มีต่อตัวเอง เธอจึงปรับลมหายใจตัวเองใหม่ก่อนจะมองมาทางชินด้วยสายตาจริงจัง
อย่างน้อยเกวนก็คิดแบบนั้น… เธอค่อยย่างเข้าหาชินแต่สายตากลับไปจดจ้องที่อื่น ราวกับพยายามทำตัวตามปกติเสมือนไม่มีใครอยู่ตรงนี้นอกจากเธอ
“ สิ่งที่ฉันจะพูดต่อจากนี้ คิดว่าฉันพูดคนเดียวได้ไหม ”
เกวนเปิดปากพูดแบบนั้นออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด ดูเหมือนนั่นจะเป็นครั้งแรกที่ชินเห็นเกวนจริงจังขนาดนี้ จึงทำได้แค่พยักหน้ารับ เช่นเดียวกับโอลิเวียที่ขยับหลบ แต่แน่นอนว่าอยู่ในตำแหน่งที่ปกป้องชินได้เสมอ
“ อัลเฟรดเขาตั้งใจใช้นายเป็นนกต่อ ” เกวนพูดพร้อมกับกำมือแน่น
“ หมายความว่ายังไงกันคะ ” โอลิเวียเป็นคนแรกที่ถามออกมา เป็นครั้งแรกที่เกวนสัมผัสได้ถึงความโกรธจากสายตา แต่นั่นไม่ได้ทำให้เกวนรู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด
นั่นเพราะเกวนเองก็กำลังรู้สึกแบบเดียวกัน เธอขมวดคิ้วก่อนจะเดินขนาบข้างชินแล้วพิงหลังตัวเองกับกำแพง
“ โดยพื้นฐานแล้วอัลเฟรดไม่ใช่คนเลวหรอกนะ แต่เรื่องนั้นกับความเจ้าเล่ห์มันก็มีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่ ”
เกวนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเสียดายเล็ก ๆ ดูเหมือนส่วนนึงเธอจะไว้ใจอัลเฟรดพอควร
แต่นั่นก็คงเป็นเรื่องปกติเพราะอัลเฟรดเป็นราชาของเธอ กลับกันแล้ว ชินสงสัยเสียมากกว่าว่าทำไมเกวนถึงได้พยายามช่วยเขาลับหลัง หากมองเผิน ๆ นี่นับเป็นการทรยศนายตัวเองได้เลยแท้ ๆ
แน่นอนว่าคนที่รู้เหตุผลดังกล่าวมีแค่เจ้าตัวอย่างเกวน และโอลิเวียที่มีสัมผัสลูกผู้หญิงด้วยกันจึงเข้าใจได้ทันทีจากสายตาของเกวนที่มองชินแบบเดียวกับที่ตัวเองมอง
“ ชินตอนนี้น่ะถูกทุกคนจับตามอง… ตั้งแต่วันนี้ ไม่สิ ตั้งแต่เมื่อคืน ราชาทุกคนต้องพลิกแผ่นดินหาตัวนายอย่างแน่นอน พอเป็นแบบนั้น อัลเฟรดก็จะสามารถทำอะไรได้สะดวกขึ้น เพราะต่อให้แองกริคราวน์อยู่กับใครก็ไม่สำคัญหรอก ก็ตัวแองกริคราวน์น่ะดูท่าจะเป็นปัญหามากกว่าราชาคนอื่นด้วยซ้ำนี่นา… แล้วพอเกิดเรื่องเมื่อคืนก็เท่ากับตอบคำถามก่อนหน้านี้ได้เลยว่าศัตรูที่ต้องรีบจัดการน่ะ ไม่ใช่ราชาของแองกริคราวน์ แต่เป็นตัวแองกริคราวน์เองต่างหาก ” ชินฟังอย่างเงียบแต่ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเป็นเรื่องที่เจ้าตัวเอ่ยปากบอกมาเองแล้ว
และแม้จะไม่บอกจุดประสงค์รอง แต่โดยพื้นฐานชินก็ไม่ได้ไว้ใจอัลเฟรด นั่นจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินคาดเดา
ท้ายสุดการวัดคุณค่าของคนเราก็อยู่ที่ปัจเจคบุคคลมากกว่ากลุ่มที่สังกัดอยู่ดีสินะ
ชินคิดติดตลกพลางยักไหล่อย่างหน่าย ๆ
“ แล้วอัลเฟรดก็ไม่ได้บอกความจริงของสงครามนี้ให้นายรู้ด้วย ” คำพูดต่อไปทำให้เกิดความสนใจอัตโนมัติ ทั้งชินและโอลิเวียต่างตั้งใจฟังคำพูดถัดไปจากปากเกวน
“ อย่างแรก มันมีกฎพิเศษอยู่ข้อนึง… หากราชาถูกอัศวินของตัวเองฆ่าตาย ตราราชันย์จะย้ายไปอยู่กับอัศวินคนนั้นแทน ”
“ เดี๋ยวนะ ราชาที่อยู่ในเขตตัวเองจะไม่ถูกโจมตีจากคนอื่นไม่ใช่เหรอ ”
ชินนึกย้อนกลับไปตอนที่อัลเฟรดอธิบายกฎให้ฟังเมื่อวันก่อนจึงเกิดข้อขัดแย้งดังกล่าวขึ้น ทำให้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม แต่เกวนก็ไม่ได้เปลี่ยนท่าที เธอยังคงเล่าต่อราวกับคิดอยู่แล้วว่าชินจะต้องถาม
“ นั่นคือกฎอีกข้อนึงของสงครามนี้ล่ะชิน… มีแค่อัศวินเท่านั้นที่สามารถโจมตีราชาของตัวเองได้ นั่นถึงเป็นเหตุผลที่จำนวนอัศวินของราชาไม่ได้มีมากมาย นั่นเพราะสิทธิ์ในการเป็นราชาก็ขึ้นอยู่กับอัศวินของตัวเองด้วยยังไงล่ะ ”
ยึดอำนาจงั้นเหรอ… ฟังดูเป็นเกมที่ล้ำลึกกว่าที่คิดนะ
เข้าใจล่ะ นี่คงเป็นระบบที่สร้างขึ้นเพื่อจำกัดจำนวนอัศวินไม่ให้มากเกินไป เพื่อลดโอกาสที่คนนอกจะมีส่วนเกี่ยวข้องสินะ
แถมนอกจากจะช่วยจำกัดกลุ่มคนที่ตัวเองไว้ใจแล้ว ยังต้องเป็นคนที่มีทัศนคติคล้ายคลึงกันด้วยถึงจะสามารถเชื่อใจให้ฝากดาบซึ่งสามารถใช้นำมาจ้วงแทงตัวเองได้แบบนี้
ชินจับคางครุ่นคิดครู่นึง จากนั้นก็เริ่มจะเอะใจถึงสิ่งที่เกวนต้องการจะเตือนให้เขารู้
“ หมอนั่นไม่ไว้ใจฉันสินะ ”
ชินเอ่ยสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกมาตรง ๆ และคำตอบของเกวนยิ่งแม่นตรงกว่าเมื่อเธอพยักหน้าให้กับชินในทันที
เพราะอัลเฟรดไม่มีท่าทีจะให้ชินเป็นอัศวินของเขาเลยซักนิด ทั้งที่การทำแบบนั้นจะทำให้ตัวชินมีพลังมากขึ้นอีกโขและกลายเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกก็คงไม่เกินเลยนัก
ในหนแรกชินคิดเพียงแค่โล่งใจ เพราะหากอัลเฟรดเอ่ยขอแบบนั้นออกมา ความลับที่ตัวชินเองก็มีตราราชันย์อยู่คงแตกแน่ แบบนั้นจะกลับกลายเป็นว่าตัวเขาจะต้องเพชิญหน้ากับเพื่อนสนิทแสนใจดีอย่างเกวนคนนี้ในฐานะศัตรู ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ชินไม่พึงประสงค์
“ แสดงว่าเขากลัวชินจะรู้กฎข้อนี้ แล้วหันมาเล่นงานตัวเองเลยพยายามปกปิดไว้สินะคะ ”
“ ใช่แล้วค่ะ ” เกวนพยักหน้าตอบโอลิเวีย
“ แล้วถ้าเกิดชินรู้เข้า อัลเฟรดคนนั้นคิดจะทำยังไงกับชินคะ? ”
โอลิเวียเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง กระนั้นสิ่งที่เกวนทำกลับเป็นการเผยสีหน้าเคร่งเครียดกังวลจนเหงื่อตกออกมาแทน
คำตอบนั้นไม่ต้องเอ่ยก็เข้าใจได้
“ แต่ว่าเรื่องนั้นอัลเฟรดตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำนะ เพราะชินเหมือนจะต้องการล้างแค้นมากกว่าการเปลี่ยนแปลงโลก เขาเลยไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัวว่าชินจะแทงข้างหลังตัวเอง ”
เกวนพูดแบบนั้นออกมาด้วยอาการวิตก เพราะไม่อยากให้ชินทำอะไรผลีผลาม แน่นอนว่าเธอเองก็คิดแบบเดียวกับชินว่าไม่อยากเป็นศัตรู
แต่คำพูดนั้นของเกวนเชื่อถือได้แน่นอน… ชินคิดเช่นนั้นเพราะจังหวะที่เธอเล่าเรื่องพวกนี้มันช่างเหมาะเจาะ
ในความหมายก็คือ เกวนจงใจหาจังหวะบอกความลับนี้หลังจากศึกจริงที่แองกริคราวน์ลงสนามแรกทั้งที่สามารถบอกชินได้ก่อน ที่ทำแบบนั้นเพราะรู้อยู่แล้วว่าอัลเฟรดกำลังประเมินทัศนคติของชินกับศึกในครั้งนี้ แล้วพอผลออกมาว่าตัวชินสนเพียงแค่การล้างแค้น ทำให้ข้อมูลเบื้องตนที่ว่าไป แม้จะถูกชินรู้เข้า ชินก็จะไม่เป็นอันตรายใด ๆ
ซึ่งหากเกวนเลือกที่จะบอกชินตั้งแต่ก่อนหน้าศึกจริง ทัศนคติที่ชินแสดงออกมาจะไม่ใช่ในมุมมองของคนที่เป็น ‘ผู้เล่นที่รู้กฎ’ แต่เป็น ‘ผู้เล่นที่รู้กติกาอย่างถ่องแท้’ ทัศนคติเบื้องหลังการกระทำของชินจึงไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าแท้จริงแล้วคิดอะไรอยู่
พูดให้ง่ายเข้า… หากชินรู้อยู่ก่อนแล้วว่าการสังหารราชาของตัวเองจะทำให้ได้ตราราชันย์มาครอง ท่าทีที่เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนการล้างแค้นมากกว่าสงครามยามค่ำคืนนี้อาจเป็นการหลอกกันก็เป็นได้
แต่หากชินไม่รู้กฎ เขาย่อมเผยทัศนคติพื้นฐานของตัวเองออกมา และแน่ใจได้ว่าไม่เป็นอันตรายหากตัวชินไม่ได้สนใจที่จะเป็นผู้ชนะสงคราม มองในจุดนี้ชินต้องให้คะแนนอัลเฟรดมากทีเดียวที่อ่านใจเขาได้ถึงขนาดนี้โดยไม่รู้ตัว
“ งั้นเหรอ… แต่ก็จริงที่ฉันไม่สนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงโลกอะไรนั่นหรอก ความสัมพันธ์ในตอนนี้ระหว่างฉันกับอัลเฟรดก็เป็นแค่น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า เป็นความสัมพันธ์ที่ร่วมมือกันเพราะมีศัตรูคนเดียวกันเท่านั้น ”
ถ้าจะให้ชี้จุด… เรื่องการเปลี่ยนแปลงโลกอะไรนั่นมันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
ถึงจะบอกว่าสงครามยามค่ำคืนนี้จะหาผู้ชนะมาเพื่อเป็นผู้ปกครองโลกก็เถอะ แต่ในทางปฏิบัติมันเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่รึไง?
กับคำพูดของสคัลที่สู้กันไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้ก็ดูเกินจริงไปมาก ทั้งการสร้างประเทศและเปลี่ยนระบบการปกครองของโลก มันสามารถทำแบบนั้นได้หลังจากได้สิทธิปกครองโลกอย่างงั้นเหรอ?
ทำไมทุกคนถึงต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นแบบที่ตัวเองอยากให้เป็นทั้งที่หากชนะก็ทำได้แค่มีสิทธิปกครองเบื้องหลัง
นั่นคือสิ่งที่เราสงสัยมาตลอด และยังเป็นแค่จุดเดียวที่เราคิดว่าไม่สมเหตุสมผลในสงครามครั้งนี้ด้วย
ชินครุ่นคิดแบบนั้นอีกครั้งพร้อมกับหวนนึกถึงจิตวิญญาณนักสู้ของทั้งอัศวินสวมหน้ากากเสือโคร่งผู้เอ่ยออกมาว่ามีคนสำคัญที่ต้องปกป้องทั้งที่สติเรือนราง รวมถึงสคัลที่ปรารถนาอยากจะฟื้นฟูแวมไพร์สายเลือดแท้ขึ้นมาให้รุ่งโรจน์อีกครั้ง
ความปรารถนาของทั้งสองคน ไม่สิ… บางทีคงจะเป็นทั้งราชาและอัศวินทุกคนที่ร่วมศึกนี้ ไม่แม้แต่เกวน ทุกคนต่างแสดงความปรารถนาที่หนักแน่นและเข้มข้น มันหนักอึ้งและมากมายมหาศาล จดอดคิดไม่ได้ว่าหวังเพียงแค่รางวัลเล็กน้อยอย่างการเปลี่ยนแปลงโลกจากในเงา
“ ที่ชินคิดแบบนั้นอาจเพราะไม่รู้ก็ได้ ว่าราชาที่ชนะจะได้รางวัลเป็นอะไร ”
ในระหว่างที่คิดแบบนั้น เกวนก็เอ่ยขึ้นขัดจังหวะความคิดของชิน
และยังเป็นคำตอบที่ชินอยากได้เสียอีก ทว่าก็เป็นคำตอบที่น่าพรั่นพรึงจนขนลุกไปทั่วทั้งตัวเช่นกัน
“ ราชาที่สามารถครอบครองดินแดนทั้งโลกไว้ในมือและกลายเป็นผู้ชนะน่ะ… จะสามารถสร้างโลกที่ตัวเองปรารถนาได้ยังไงล่ะ ”
ชินกับโอลิเวียเบิกตาขึ้นโดยไม่รู้ตัว กระนั้นก็ยังอยากฟังเรื่องราวในหน้ากระดาษต่อไปจากปากของเกวน
“ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของโลก ระบบการปกครอง หรือค่านิยมพื้นฐานของมนุษย์ทั่วไป ไม่แม้แต่สิ่งกายภาพอย่างสภาพภูมิศาสตร์หรือตำแหน่งบนแผนที่… ”
“ เวอร์ไปรึเปล่า ”
ชินอดไม่ได้ที่จะพูดแบบนั้นออกมา เพราะหากที่เกวนพูดออกมาเป็นความจริง แม้มันจะตอบโจทย์ที่ชินตั้งไว้ก่อนหน้านี้ได้ แต่ระดับความอันตรายของศึกนี้จะพุ่งขึ้นสูงเกินกว่าที่ชินคิดไว้เสียอีก
กระนั้นคำตอบที่ตอบกลับมาจากเกวนกลับเป็นการส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งชินและโอลิเวียที่ยังตกตะลึงอยู่จึงได้แต่ยอมรับ เพราะมันสามารถอธิบายทุกอย่างได้ โดยเฉพาะเรื่องที่ผู้เข้าร่วมสงครามอยากจะเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นไปอย่างที่ต้องการ
แต่ว่าถ้าเป็นแบบนั้น แสดงว่าท่านก็ใช้พลังนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกนี้เหมือนกันสินะ
ชินหวนนึกถึงเรื่องของราชาของเผ่าแวมไพร์อย่างเอลานอร์ ดักลาส โซเลน ผู้ที่ได้รับชัยชนะและปกครองโลกมาอย่างต่อเนื่องเกือบสหัสวรรษ และเป็นชายผู้ที่ชินยึดถือเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต
เขาคนนั้นเองก็ใช้พลังนี้ในการเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการด้วยอย่างงั้นเหรอ? ไม่สิ ดูแล้วการที่ทำให้สงครามชิงดินแดนนี้กลายเป็นศึกยามค่ำคืนที่ไม่ดึงผู้บริสุทธิ์เข้ามาข้องเกี่ยวเองก็อาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ราชาเอลานอร์สร้างขึ้นมาเองก็ได้ ชินคิดแบบนั้น
“ สงครามยามค่ำคืนเพื่อเฟ้นหาผู้ชนะจากราชาทั้ง 7 คน เพื่อมอบรางวัลในการเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นไปในแบบที่ตัวเองต้องการ… นั่นแหล่ะคือตัวจริงของสงครามครั้งนี้ล่ะชิน ”
เกวนพูดยืนยันแบบนั้นอีกครั้งเพื่อย้ำถึงความหนักแน่นในภาระที่ตัวเอง ซึ่งตอนนี้มันรวมชินกับโอลิเวียต้องแบกรับเข้าไปด้วย
แม้จะขัดใจอยู่บ้าง แต่ในเมื่อมันสมเหตุสมผล รวมถึงเกวนเองก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะโกหกเรื่องนี้เพื่อให้ชินไขว้เขว ชินรู้ข้อนี้ดีเพราะอย่างน้อยก็เป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ว่า…
“ 7 คน หมายความว่ายังไงน่ะ? ” ชินเอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจปนสงสัยกับคำพูดก่อนหน้านี้ของเกวน
“ เอ๋? ก็ไม่ได้หมายความอะไรลึกซึ้งนี่นา ก็หมายถึงราชาที่ถูกสุ่มมาตอนเริ่มสงครามมีทั้งหมด 7 คนยังไงล่ะ ทำไมเหรอชิน? ” เกวนเอ่ยถามกลับพร้อมกับเอียงคอเล็ก ๆ ด้วยความสงสัย
แต่ความหมายของชินที่ถามออกมาแบบนั้น เห็นทีจะมีแค่เจ้าตัวกับโอลิเวียเท่านั้นที่เข้าใจ
เพราะการมีจำนวนราชาคงที่ตั้งแต่เริ่มแรก นั่นหมายความว่าจำนวนมันจะคงที่ไม่มีการเพิ่มขึ้นในภายหลังจาก 7 เป็น 8 คน หรือต่อให้เหลือแค่ 2 คน ก็ไม่มีทางมีราชาคนที่ 3 ปรากฏขึ้นในภายหลัง
หากเป็นเช่นนั้น มันก็ขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชิน… ก็เพราะชินในตอนนี้เองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีตราราชันย์ แถมยังเพิ่งได้รับมันมาเมื่อไม่กี่วันที่แล้วนี้เอง
“ จะว่าไป ” ในระหว่างที่ทั้งชินและโอลิเวียสับสน เกวนที่จับคางครุ่นคิดมาได้ซักพักก็เหมือนจะนึกอะไรออก
“ จริง ๆ แล้วนอกจากศึกครั้งแรกที่มีราชา 7 คน… ตั้งแต่ศึกครั้งที่สองเป็นต้นไป คนที่ชนะในครั้งก่อนจะมีสิทธิในการเข้าร่วมครั้งต่อไปด้วย เพราะงั้นก็เลยมีผู้มีตราราชันย์รวม 8 คน ”
คำพูดของเกวนทำให้ชินเบิกตาโพลง นั่นน่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาเผลอแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้า ซึ่งโชคยังดีที่เกวนไม่ได้สังเกต
“ แต่เพราะราชาเอลานอร์ถูกลอบปลงพระชนม์ไปแล้วตราราชันย์ของเขาเลยเสียสิทธิไป ที่จริงก็เคยมีกรณีแบบนี้ในอดีตเหมือนกันนะ… ดูเหมือนว่าคนที่ได้รับตราราชันย์ที่ 8 ต่อไปก็คือเครือญาติของตราราชันย์คนเก่า ” คำพูดของเกวนยิ่งทำให้ชินกำหมัดแน่น
ในหัวของเขาได้คำตอบของคำถามตัวเองแล้ว พร้อมกับโอลิเวียที่รู้สถานการณ์ของชิน เพียงแต่เขาพยายามเก็บมันไว้ไม่ให้แสดงออกมาทางการกระทำหรือสีหน้าอยู่ต่างหาก
“ จริง ๆ ถ้าองค์รัชทายาทหรือลูกชายของท่านเอลานอร์ที่เป็นสายเลือดคนเดียวของท่านยังอยู่ก็คงเป็นคนที่ได้ตราราชันย์ที่ 8 ไปแน่ ๆ แต่ทุกคนก็รู้กันอยู่แล้วว่าเจ้าชายที่ไม่มีใครรู้ชื่อและหน้าคนนั้นสิ้นพระชนม์ไปพร้อมกับราชาเอลานอร์ในคืนเดียวกันแล้ว เพราะงั้นสงครามครั้งนี้ก็เลยมีผู้มีตราราชันย์แค่ 7 คนแบบครั้งแรกยังไงล่ะ บางทีคนที่ลอบสังหารก็คงหวังให้เป็นแบบนี้อยู่แล้วด้วย… ” เกวนอธิบายเสริมด้วยสีหน้าที่หมองลงนิดหน่อย หากชินสังเกตก็คงรู้ได้ว่าเกวนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่มีอคติกับเผ่าแวมไพร์ และคิดว่าเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ใช่เรื่องดีผิดกับที่คนส่วนใหญ่คิดกัน
“ งั้นเหรอ ”
กระนั้นชินก็ทำเพียงแค่ตอบกลับสั้น ๆ เพราะความคิดของชินในตอนนี้แทบจะหยุดนิ่งจนไม่ได้คิดหรือสังเกตอะไรไปแล้ว เรียกได้ว่าขาวโพลนจนนึกอะไรไม่ออกเลยสักอย่างน่าจะเป็นการเปรียบเปรยที่ตรงที่สุด
“ ขอบคุณมากนะคะสำหรับข้อมูลที่สำคัญแบบนี้ ” ในตอนที่ชินเกือบจะดำดิ่งกับห้วงความคิดไปมากกว่านี้ โอลิเวียก็พูดขึ้นขัดจังหวะ ทำให้ชินได้สติคืนมา
“ ไม่หรอกค่ะ ฉันแค่ทำสิ่งที่ควรทำเท่านั้น แล้วฉันก็ไม่ชอบให้ใครมาถูกหลอกใช้ต่อหน้าด้วย ” เกวนพูดแบบนั้นออกมาด้วยสายตาจริงจังอีกครั้ง
หากมองดี ๆ เกวนในตอนนี้ต่างจากปกติ เธอแลดูหนักแน่นมากเมื่อเทียบกับในห้องเรียน บางทีมันคงเกี่ยวข้องกับเหตุผลที่เธอเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ชินรู้ว่าเกวนเป็นเหมือนกันไม่ว่าจะหน้าฉากกลางวันหรือหลังฉากยามราตรี
“ ทำไมถึงบอกเรื่องนี้กับฉันงั้นเหรอ ” ชินเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ส่วนตัว
เกวนที่ถูกถามแบบนั้นเผยรอยยิ้มขมออกมา บางทีเธอคงคิดว่าตลอดมาที่ชินฟังเธอเล่าเรื่องเมื่อครู่ แต่ไม่ได้เชื่อใจเกวนไปเสียหมด นั่นอธิบายท่าทีแปลก ๆ ของชินได้
…แม้ความจริงแล้ว สาเหตุที่ชินทำตัวแปลก ๆ จะเป็นเพราะอย่างอื่นก็ตามที
“ เรื่องที่ถูกต้องจริง ๆ ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ไหนก็จะถูกต้องเสมอ… ใช่ไหมล่ะ? ” เกวนพูดพร้อมกับเผยรอยยิ้มอ่อนโยน เป็นสิ่งเดียวกับที่ชินได้รับจากเธอมาตลอด นั่นคือสิ่งที่เหมือนกันของเกวนไม่ว่าจะอยู่หน้าฉากหรือหลังฉาก
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม มันทำให้ชินสบายใจ ที่เกวนเป็นเพื่อนสนิทของเขาคนเดิม
“ เป็นคนดีมันอยู่ยากนะเกวน ”
“ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? ”
ชินเอ่ยติดตลกไปแบบนั้น และดูเหมือนความรู้สึกของชินจะส่งไปถึง เพราะเกวนยิ้มแป้นตอบกลับออกมา
“ เจอกันที่โรงเรียนนะ ” เกวนเอ่ยด้วยใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มและแก้มที่แดงอ่อน ก่อนจะโบกมือลาและเริ่มเดินจากไปในทิศที่เธอมา
“ อื้ม เจอกัน ”
เช่นเดียวกับชินที่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่สัมผัสของเกวนจะหายไปจากเขตสังเกตการณ์ของทั้งชินและโอลิเวีย นั่นหมายความว่าที่แห่งนี้มีเพียงแค่ทั้งสองคนเพียงลำพังอีกครั้ง
“ ตลกร้ายจังนะคะ… ที่คำพูดของคุณเกวนกลับกลายเป็นข้อเท็จจริงที่เชื่อได้ร้อยเปอร์เซนต์เพราะความลับที่ท่านเก็บงำเอาไว้มาตลอด ” โอลิเวียพูดขึ้นด้วยสีหน้าตึงเครียด
ไม่สิ… ไม่ใช่แค่เธอ แม้แต่ชินเองก็กำลังแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมา นั่นเป็นสีหน้าที่ทั้งคู่นับจำนวนครั้งที่ตัวเองแสดงออกมาได้ด้วยซ้ำ
และสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เสียด้วย
ราวกับต้องการจะยืนยันความคิดของตัวเอง ชินเริ่มเพ่งจิตของตัวเองไปยังมือขวา พริบตานั้นตราสัญลักษณ์ราชันย์พร้อมด้วยออร่าสีแดงโลหิตก็ส่องแสงขึ้นบนหลังฝ่ามือ
ชินค่อย ๆ ปรับการโอนถ่ายจิตเพื่อให้มันส่องแสงน้อยที่สุด เพราะจุดมุ่งหมายไม่ใช่การเผยตำแหน่ง แต่แค่อยากจะรู้รายละเอียดของตรานั้น
“ จะว่าไป ตราของอัลเฟรดมีหมายเลขด้วยสินะ ” ชินเอ่ยพร้อมกับหวนนึกถึงครั้งที่ได้พบกับอัลเฟรดครั้งแรกและได้เห็นตราราชันย์ที่ซึ่งมีหมายโรมันประดับอยู่
สิ่งที่สังเกตได้อย่างชัดเจนก็คือ ตราของชินนั้นไม่มีหมายเลขใด ๆ อยู่เลย
หากอ้างอิงจากเรื่องที่เกวนเล่าให้ฟังเมื่อครู่ บางทีราชันย์คนอื่นคงมีหมายเลขตั้งแต่ 1-7 ส่วนของชินที่ไม่มีหมายเลขนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงแค่อย่างเดียว
“ งั้นมันก็สมเหตุสมผลแล้วล่ะนะคะที่ชินจะไม่มีหมายเลข เพราะถ้าจะว่ากันตามหลักแล้ว ชินก็คือผู้สืบบัลลังก์ที่จะปกครองโลกใบนี้โดยชอบธรรมต่อจากราชาผู้ปกครองโลกคนก่อน ”
โอลิเวียเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา และแน่นอนว่ามันตรงกับที่ชินคิดไม่มีผิดเพี้ยน
“ ใช่ไหมคะ ท่านชินยะ นัวรอย โซเลน… ” คำพูดของโอลิเวียทำให้ชินตระหนักอีกครั้งว่าตัวเองอยู่ในสถานะอะไร
นี่มันเรื่องตลกอะไรกันเนี่ย… ชินคิดราวกับบ่นอุบเช่นนั้น พลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อ 12 ปีก่อน
ใต้ท้องฟ้าที่ตะวันยังไม่ลาลับ… ในพระราชวังที่เต็มไปด้วยคนรับใช้และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และใจดีกับตนอยู่เสมอ นั่นรวมถึงเมดสาวคนสนิทที่เป็นเผ่าเอลฟ์ผมเงินผู้งดงาม และยังรวมถึงชายหญิงที่เป็นพ่อและแม่ของชินผู้เอาจริงเอาจังกับการทำงานเพื่อราชบริพารเหล่าแวมไพร์ในฐานะราชาและราชินี
คืนวันเหล่านั้นถูกพัดปลิวหายด้วยการลอบโจมตี ความสุขและวิถีชีวิต รวมถึงประเทศและผู้คนถูกช่วงชิงด้วยเสียงกระทบของดาบและกลิ่นคาวของเลือด
แน่นอนว่าความแค้นในฐานะที่ถูกช่วงชิงครอบครัวไปเองก็มี แต่ที่ยิ่งกว่านั้น… สำหรับชินที่เป็นองค์รัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวของราชาแวมไพร์คนสุดท้ายอย่างเอลานอร์ ดักลาส โซเลน มันคือความรับผิดชอบที่ต้องนำศัตรูของประเทศมาขึ้นแท่นประหารให้สมกับที่มันทำไว้ อย่างน้อยชินก็คิดแบบนั้น
…นั่นคือบทบาทที่ชินกำลังแบกรับ หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นบทบาทที่โลกใบนี้บังคับให้เขาเป็น
แบบนี้แย่แน่…
ถ้าเกิดมีคนรู้ว่าเรามีตราราชันย์ นั่นก็เท่ากับเป็นการเผยตัวตนว่าแองกริคราวน์คือองค์รัชทายาท ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นถูกแพร่ออกไป จะทั้งสังคมโลกมืดอย่างซิงกูลาริตี้หรือพวกราชาคนอื่น ๆ จะต้องควานหาตัวเราหนักกว่าเดิมอีก
หรือที่แย่กว่าคือมีคนรู้ว่าเราเป็นเจ้าชาย เพราะนั่นก็เท่ากับรู้ว่าเราเป็นทั้งองค์รัชทายาทในมุมมองของคนทั่วไป และสำหรับสงครามครั้งนี้ พวกนั้นก็จะรู้ว่าเรามีตราราชันย์ไปด้วย กรณีนี้ไม่ว่าจะทั้ง URI เดอะซิงกูราริตี้หรือพวกราชาจะต้องไล่ล่าตัวเรามาเสียบประจานแน่นอน
สถานการณ์นี้มันบ้าบอสิ้นดี… ยังกับกำลังจะถูกรุกฆาตอยู่รอมร่อยังไงอย่างงั้นเลย
ชินอดคิดแบบนั้นไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขากำลังแบกอยู่มันหนักหนาถึงเพียงนั้น ไหล่ที่กว้างและกล้ามเนื้อที่ได้มาจากการฝึกสุดโหดยังสั่นสะท้อนเมื่อต้องแบกรับความกดดันเช่นนั้น
“ ไม่เป็นไรหรอกค่ะชิน ” ในตอนที่ความสิ้นหวังเริ่มเข้าเกาะกุมจนหัวใจแทบหยุดเต้น เป็นอีกครั้งที่มันกลับมาสั่นระรัวเพราะความโอบอ้อมของโอลิเวีย
เธอเดินเข้ามาอยู่เบื้องหน้าของชินพร้อมกับกุมมือทั้งสองของเขาไว้แน่น
“ ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไรแน่ค่ะ ” โอลิเวียเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนราวปลอบประโลม สิ่งนั้นช่วยให้ชินรอดพ้นมาได้ทุกสถานการณ์จริง ๆ ไม่แม้แต่ตอนนี้เองก็ตาม
“ …ขอบคุณนะ ”
ชินได้แต่ตอบกลับไปแบบนั้นเหมือนที่ผ่านมาด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจจริงที่เธอผู้นี้ยอมอยู่เคียงเขามาตลอด
ไม่สิ… สำหรับโอลิเวียแล้ว ต่อให้ชินจะไปที่ไหนเธอก็คงตามไปด้วยทุกหนแห่งอยู่แล้ว
…ภายใต้ท้องฟ้าที่กำลังทอแสงจากดวงอาทิตย์เล็กน้อยแลเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม ยามเช้าแสนธรรมดาก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
และชีวิตของทุกคนก็ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออีกครั้ง ความขัดแย้งที่แตกต่างกันสุดขั้วทำให้พวกเขาทุกคนหวนนึกว่ามันอาจเป็นแค่ความฝัน แต่กลิ่นคาวเลือดและความปรารถนานั้นแรงกล้าเกินกว่าจะเก็บมันไว้แค่ตอนนอน
เราถอยหลังกลับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ชินคิดแบบนั้นเพื่อให้ตัวเองตระหนักอีกครั้งถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังแบกรับ พร้อมกับแสงของดวงอาทิตย์ที่เริ่มทอแสงผ่านลงมาในซอกตึกอันมืดมิดมาตลอด ชินกับโอลิเวียจึงถูกอาบด้วยแสงนั้นพร้อมกัน ประหนึ่งความมืดมิดที่เกาะกุมได้ถูกแทนที่ด้วยความหวังอันแสนริบหรี่
…แล้ววันคืนที่จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลของเหล่าเด็กหนุ่มและเด็กสาว ก็ได้เริ่มต้นขึ้นโดยไม่มีวันหวนคืน
❖❖❖❖❖
จบอารัมภบท
The End of the Prologue
❖❖❖❖❖
ในอีกด้านหนึ่งของเมืองที่ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเขตเมืองร้าง และเขตเดียวกับที่อัลเฟรดนัดชินให้มาพบกันที่ตึกร้างครั้งแรก
ในเขตดังกล่าวหากเดินลึกเข้าไปจะมีคฤหาสน์หลังนึงตั้งอยู่ แน่นอนว่ามันเป็นคฤหาสน์ร้าง แต่มิได้ไร้วี่แววของคนเลยเสียทีเดียว กลับกัน… ณ ห้องที่อยู่ชั้นบนสุดแลดูคล้ายกับห้องทำงานของเจ้าของคนก่อนแห่งนี้เป็นที่ซ่อนที่อัลเฟรดใช้ เรียกว่าเป็นฐานลับของเขาก็คงไม่ผิดนัก
และในห้องที่ว่าตอนนี้ก็มีอัลเฟรดกับไดอาอยู่
“ ดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นไปหมดเลยนะเนี่ย ” ไดอาพูดในขณะที่เดินเตาะแตะไปมาในห้อง
“ นั่นสิครับ ผมรู้สึกดีใจจนเนื้อตัวสั่นไปหมดแล้วนะเนี่ย ” อัลเฟรดเองก็พูดด้วยสีหน้าระรื่น กอปรกับการที่เขานั่งเอาเท้าพาดกับโต๊ะอย่างสบายใจ ยิ่งเสริมความรู้สึกดังกล่าวให้เด่นชัดขึ้น
หากจะมีจุดที่ขัดกันก็คงเป็นกระดานหมากรุกที่เป็นตารางแบบแปลก ๆ ที่เป็นรูปทรงแปดเหลี่ยม แถมยังมีตัวหมากรวมแล้ว 8 สีตามด้านของกระดาน
…สิ่งนั่นแลดูแยบยลพอที่จะเปลี่ยนมุมมองต่ออัลเฟรดจากชายหนุ่มอารมณ์ดี ไปเป็นชายหนุ่มจอมบงการและเจ้าเล่ห์ได้ไม่ยาก
“ แต่จะดีเหรอ ฉันว่าป่านนี้เกวนคงบอกเรื่องจริงกับชินไปแล้วมั้ง เด็กคนนั้นนี่อ่านง่ายซะจริงเชียว น่ารักจัง ” ไดอาพูดออกมาด้วยรอยยิ้มคล้ายกับพี่สาวห่วงน้องสาวอย่างเกวน กระนั้นมันก็แลดูมีเลศนัยไม่ต่างกับอัลเฟรด
เพราะมันแฝงไว้ด้วยความยุ่งยากและกังวลใจ และแน่นอนว่ามันหมายถึงความกลัวที่แองกริคราวน์จะรู้กฎและความจริงของสงครามแล้วกลายเป็นศัตรูกับอัลเฟรด
“ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ คุณชินเขาสนแค่การล้างแค้นเท่านั้นแหล่ะ ” อัลเฟรดว่าก่อนจะยันตัวขึ้นกวาดสายตามองหมากบนกระดานด้วยความสนอกสนใจ
“ หรือว่าเรื่องที่เกวนจะไปบอกความจริงกับชิน เธอเองก็รู้อยู่แล้วเหรอ ”
“ แหม ๆ ”
ท่าทีนั้นการปฏิเสธใด ๆ… อัลเฟรดที่ยอมรับคำพูดของไดอาไปในตัวเริ่มขยับมือไปจับหมากราชาสีแดงโลหิตขยับไปชนเข้ากับไนท์สีน้ำเงินจนมันล้มลงกลิ้งไปมาบนกระดาน
“ ว่าแต่คุณชินนี่ซวยจริง ๆ เลยนะครับ แค่ลงศึกแรกแต่ก็ดันโดนหมายหัวจากทุกคนเลย ถึงจะเอาชนะคุณสคัลได้อย่างที่คิดเลยก็เถอะ ”
อัลเฟรดพูดจบก็จับหมากราชาสีแดงโลหิตกลับไปในตำแหน่งเดิม พร้อมกับไนท์ของราชาสีแดงโลหิต และไนท์สีแดงกุหลาบซึ่งเป็นสีเดียวกับของตัวอัลเฟรดเอง
สิ่งนั้นอาจหมายถึงการย้ายข้างของใครบางคนจากฝั่งของเขาไปอยู่กับชินและโอลิเวียที่เป็นดังอัศวินของเขา แต่ความหมายแท้จริงก็สุดแท้ที่ใครจะหยั่งถึง
“ คำพูดคำจาร้ายกาจจังนะ ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนปล่อยข้อมูลของเขาให้กับรัสเซียเองแท้ ๆ ”
ไดอาพูดขึ้นพร้อมกับมองอัลเฟรดด้วยสายตาประหนึ่งสงสัยใคร่รู้ ทางด้านอัลเฟรดที่ถูกพูดใส่แบบนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับนอกเสียจากแว่นที่กระทบแสงที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาจนดูน่าพรั่นพรึง
ใช่… สาเหตุที่ชินถูกรัสเซียระบุตำแหน่งได้ก็เพราะมีคนปล่อยลักษณะเฉพาะของแองกริคราวน์ให้เพื่อใช้ AI ของดาวเทียมในการทำ Image Processing ค้นหาบนพื้นโลก
การจะทำแบบนั้นได้ก็มีแต่คนที่รู้รูปร่างลักษณะภายนอกของชินอย่างชุดที่ใส่ในปัจจุบันมากที่สุด รวมถึงมีขอบเขตตำแหน่งที่ชินน่าจะอยู่ในปัจจุบัน
และคนที่จะมีข้อมูลแบบนั้นได้ก็มีแต่คนที่ร่วมงานกับชิน… มีเพียงคนที่ร่วมมืออยู่กับชินเท่านั้นที่จะรู้ว่าชินในตอนนั้นอยู่ที่ใดและมีลักษณะอย่างไร แต่นั่นก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ชินคิดไม่ถึงเช่นกันเพราะเขาเองก็ทำงานด้วยลักษณะแบบนั้นเป็นประจำอยู่แล้ว การที่จะถูกรู้ตำแหน่งไม่ใช่เรื่องแปลกของชิน
เรียกได้ว่าเขาชินกับการถูกพบตัวขณะปฏิบัติการแล้วก็คงไม่ผิดนัก
แหม ๆ ก็ถ้าตายกันง่าย ๆ ด้วยของแบบนั้น บทบาทที่คุณกำลังจะได้รับคงไม่เหมาะสมกันเท่าไหร่
อัลเฟรดคิดพร้อมกับแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมาที่ผลลัพธ์จากการต่อสู้ของชินเป็นที่น่าพึงพอใจ
แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็แสดงว่าเหมาะสมอย่างไร้ติเลยล่ะครับ… ท่านชิน
อัลเฟรดคิดพร้อมกับยิ้มออกมาราวกับนึกสนุก ทั้งยังรู้สึกขนลุกสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นราวกับเป็นตัวตลกที่ไม่ครั่นคร้ามต่อการแสดงใด ๆ
สิ่งที่เสริมบุคลิกดังกล่าวของอัลเฟรดได้ เห็นทีก็คงจะมีแต่ของอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะของเขา
…หน้ากากตัวตลกยิ้ม
❖❖❖❖❖
คุยกันนิดหน่อย
ก็จบลงไปแล้วนะครับสำหรับบทแรกของ Midnight High-School แต่ที่จริงใช้คำว่าจบบทนำมากกว่าบทแรกน่าจะถูกกว่า 555
ยังไงก็ตามขอบคุณมากครับที่ติดตามอ่านกันมาจบถึงตอนนี้
ก่อนอื่นมีเรื่องแรกที่อยากจะพูด จากที่ผมเคยคิดว่าจะเขียนเรื่องนี้ให้จบภาคแล้วจะเปิดขายเป็นรายตอน แต่หลังจากที่ผ่านอะไรหลาย ๆ อย่างมา (สำหรับท่านที่ตามผมทาง Facepage น่าจะทราบดี) ทำให้ผมตัดสินใจที่จะแต่งเรื่องนี้ให้อ่านกันฟรี ๆ โดยเปลี่ยนจากการขายรายตอนเป็นการโดเนทตามแรงศรัทธา(ว่าไปนั่น)แทน
อนึ่ง แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่ผมก็ไม่ได้มีแผนจะเปิดโดเนทในเร็ว ๆ นี้หรอกนะครับ และบอกไว้ก่อนเลยว่าจำนวนเม็ดเงินที่โดเนทเข้ามา ไม่มีผลต่อความเร็วในนการเขียนนะครับ ยอดบริจาคจะ 1 บาทหรือล้านบาทก็ไม่ได้ทำให้ผมเขียนนิยายช้าลงหรือเร็วขึ้นแต่อย่างใด อย่างที่ได้แจ้งไว้ในเพจ ผมหวังให้มันเป็นเหมือนกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จับต้องได้มากกว่า เพราะจุดประสงค์หลักที่ผมอยากเขียนนิยายเพราะผมเขียนแล้วมีความสุข
เพราะแบบนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะเขียนนิยายต่อไป แม้ว่าบางทีจะเผชิญกับปัญหาทางสภาพจิตใจหรือร่างกาย แต่ผมจะเขียนนิยายต่อไปเรื่อย ๆ (ณ ตอนนี้เขียนอยู่ 3 เรื่อง)
ดังนั้นวางใจได้ครับเรื่องผลงาน ผมไม่ทิ้งแน่นอน (คำนี้น่าจะมีน้ำหนักสำหรับคนที่ตามงานผมมาตลอด 555) เพียงแต่บางทีมันสุดวิสัยจริง ๆ เลยทิ้งช่วงนาน
เช่นไรก็ตามผมจะเขียนนิยายไปเรื่อย ๆ อย่างงี้แหล่ะครับ สำหรับคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ก็ขอบคุณมากครับ และหลังจากนี้หากคิดว่าเรื่องนี้สนุกก็ขอฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจและติดตามกันไปยาว ๆ อีกเรื่องด้วยนะครับผม ขอบคุณครับ ^O^
❖❖❖❖❖
Facebook Page : https://www.facebook.com/HatthAnant