ตอนที่ 1: ยามเช้าแสนธรรมดาดังเช่นทุกวัน
‘โลกใบนี้มันไม่ได้ดั่งใจเลย’
คงมีหลายคนที่คิดแบบนั้น
จากทั้งการเอารัดเอาเปรียบ ความเหลื่อมล้ำจากสังคมที่แบ่งแยกชนชั้น ความอยุติธรรมของสังคมที่ตีค่าคนจากเงินในกระเป๋าและอำนาจในมือ
หรือจะเป็นในแง่ของความสัมพันธ์กับผู้คนที่ช่างไร้ความเห็นใจต่อผู้ที่ไม่ใช่พรรคพวก การสร้างความเกลียดชังจากการแบ่งแยกของผู้ที่แตกต่างจากตัวเอง จะทั้งคนละกลุ่ม คนละพวก คนละประเทศ หรือคนละเผ่าพันธุ์
สิ่งนั้นนำมาซึ่งความขัดแย้ง ขยายกลายเป็นความเกลียดชัง… จนในท้ายที่สุดก็กลายเป็นสงคราม
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกอยู่ในโครงสร้างของสังคม เปรียบไปแล้วคงเหมือนกับเชื้อราบนขนมปัง
และเมื่อมันเกิดขึ้นกับตัวเอง ทุกคนจะรับรู้ได้ถึงปัญหา ซึมซับและเข้าใจความเจ็บปวดนั้นเป็นอย่างดี
มนุษย์ทุกคนถึงอยากเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่ตัวเองอยู่โดยหวังว่ามันจะดีกว่านี้
กล่าวคือไม่ว่าใคร… ต่างก็ต้องการโลกที่ดีกว่านี้และอยากจะเปลี่ยนให้มันเป็นอย่างที่ต้องการ
ทว่าน้อยคนนักจะเข้าใจถึงแก่นแท้ของปัญหาที่มองดูอย่างไรก็คงเป็นเพราะโครงสร้างของสังคมที่บิดเบี้ยว แต่แล้วโครงสร้างดังกล่าวมันเกิดขึ้นเพราะใครกันล่ะ? ใครกันล่ะที่เป็นคนออกแบบ ไม่ใช่มนุษย์อย่างพวกเราเองหรอกเหรอ?
เพราะอย่างที่ได้เปรียบเปรยไปว่าปัญหาส่วนใหญ่ มันก็เหมือนกับเชื้อราที่ขึ้นบนขนมปัง
ซึ่งต่อให้หั่นส่วนที่ขึ้นราทิ้งไป มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าขนมปังชิ้นนั้นมันเสียและบริโภคไม่ได้ไปแล้ว
นั่นถึงเป็นเหตุผล ที่บางปัญหาไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้เพียงแค่การตัดบางส่วนออกให้โครงสร้างมันออกมาดูดีอย่างที่ควรจะเป็น
…หากแต่จำเป็นต้องทำลายมันทิ้งเสียทั้งหมดตั้งแต่รากฐาน
เพื่อที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ ให้มันถูกต้องทั้งหมดตั้งแต่แรกเริ่ม
ตู้ม!!!!
เสียงระเบิดที่ดังขึ้นใจกลางเมืองใหญ่ในยามวิกาลที่ผู้คนกำลังพักผ่อนอย่างสงบสุข คือสัญญาณเตือนถึงเรื่องนั้น และมันคือสิ่งย้ำเตือนได้เป็นอย่างดี
…ว่าความสงบสุขที่มีอยู่นี้ มันเป็นเพียงภาพมายา ไม่ว่าจะกับทั้งผู้คนหรือตัวผู้กระทำการ
เสียงระเบิดนั่นดังขึ้นกลางถนนที่โดยรอบเต็มไปด้วยตึกระฟ้า
แต่ถึงแรงระเบิดมันจะรุนแรงและรัศมีกว้างขวางเพียงใด แต่มันก็ถูกคำนวนไว้แล้วว่าจะไม่สร้างความเสียหายไปจนถึงจุดที่มีคนอยู่ และผู้ที่ควบคุมการระเบิดก็อยู่บนตึกที่สูงที่สุดใกล้ ๆ จุดที่ระเบิดนี้เอง
หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มที่ยกเท้าขึ้นวางบนขอบตึกเพื่อก้มมองสถานการณ์ด้านล่างด้วยท่าทางวางกล้ามใหญ่โตพร้อม ๆ กับที่แกว่งหอกในมือมาพาดที่บ่าอย่างเป็นเอกลักษณ์ แต่ที่มากกว่านั้นก็คงจะเป็นหน้ากากลิงเผือกที่เหมือนกับหัวโขนที่หลุดมาจากวรรณคดีชื่อดังที่เขาสวมมากกว่า
“ให้ตายสิ… แบบนี้มันจะเอิกเกริกเกินไปหน่อยไหมวะเนี่ย” ชายหนุ่มว่าแบบนั้นแล้วก็ยิ้มร่าใต้หน้ากาก ทว่าน้ำเสียงของเขาดูกังวลบางอย่างจนเด็กสาวตัวเล็กที่อยู่ด้วยกันสังเกตเห็นได้
“แล้วไม่ดีรึไง? ต้องแบบนี้สิถึงจะดึงความสนใจได้ หรือว่าเกิดกลัวกันล่ะ?”
เด็กสาวพูดด้วยท่าทางแก่นแก้วและไร้ความหวาดกลัวเสียจนน่าประหลาดใจแม้จะอยู่ในสถานการณ์น่ากลัวอย่างนี้ ยิ่งถ้าได้เห็นส่วนสูงของเธอราวกับเป็นเด็กประถมด้วยแล้วยิ่งน่าประหลาดเข้าไปใหญ่เมื่อได้เห็นเธอในจังหวะเวลาแบบนี้
คิดตามปกติยังไงเธอก็คงไม่น่ามีส่วนร่วมกับเหตุในครั้งนี้ หากไม่ติดว่าเธอเองก็กำลังสวมหน้ากากปิดบังตัวตนที่วาดเป็นรูปแมวน้ำอยู่ล่ะก็
“ไม่ได้กลัวเฟ้ย! เธอนี่มันปากเสียชะมัดเลยยัยเปี๊ยก อย่ามาดูถูกกันนะเฮ้ย!”
“หา! นายนั่นแหล่ะ อย่ามาเรียกฉันว่ายัยเปี๊ยกนะยะ!”
“ “ฮึ่ย!” ”
และที่น่าทึ่งมากกว่านั้น คือการที่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ อย่างเธอกล้าเถียงชายหนุ่มที่ในมือถือหอกกลับไปด้วย ความเข้ากันได้ของทั้งสองคนราวกับน้ำมันกับน้ำยังไงอย่างงั้น เห็นได้จากการที่ทั้งคู่เถียงกันจบแล้วก็ยังไม่วายเขม่นใส่กันต่ออีก
“ทั้งสองคนอย่ามัวแต่เถียงกัน… ตัวอันตรายใกล้เข้ามาแล้ว!”
ถ้าไม่ได้เสียงเตือนจากเด็กสาวผู้สวมหน้ากากเด็กผู้หญิงใบหน้าง่วงนอน ซึ่งเป็นอีกคนที่อยู่ถัดไปทางด้านหลังและทำหน้าที่ดั่งโอเปอร์เรเตอร์ผู้คอยตรวจสอบสถานะและอันตรายรอบตัวให้ทั้งสองคนก็คงยังไม่เลิกทะเลาะกัน
ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้น ตัวอันตรายที่เธอแจ้งก็มาถึงเร็วเกินกว่าจะตั้งตัวได้
ผู้ที่ปรากฏขึ้นด้านหน้า ซึ่งก็หมายความว่ามันลอยอยู่นอกตึกเหนือท้องฟ้าเบื้องหน้าของพวกเขาทั้งสามคนมีเสียงเครื่องยนต์เป็นเอกลักษณ์ คือหุ่นยนต์ยักษ์ที่เป็นดั่งองค์รักษ์พิทักษ์เมืองที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ใช้ในกรณีที่อาจเกิดการจราจลที่ควบคุมด้วยมนุษย์ปกติไม่ได้
ทั่วทั้งร่างของมันเต็มไปด้วยอาวุธที่น่าหวาดหวั่นและรุนแรง ทั้งปืนกล มิสไซล์หรือแม้แต่ปืนเลเซอร์ ว่าไปแล้วก็สมเหตุสมผลที่ชายหนุ่มสวมหน้ากากลิงเผือกรู้สึกกังวลก่อนหน้านี้
ครั้นยังไม่ทันจะทำอะไร… เจ้าหุ่นยนต์ยักษ์มันก็เล็งปากกระบอกปืนกลในมือขวาใส่ชายหนุ่มหน้ากากลิงเผือกแล้ว พร้อมกับกระหน่ำยิงใส่ไม่ยั้ง หากเป็นคนปกติตัวคงพรุนเป็นรังผึ้งไปแล้ว แต่ชายหนุ่มหน้ากากลิงเผือกกลับควงหอกในมือหมุนรอบข้อมือประหนึ่งโล่ปัดป้องกระสุนพวกนั้นออกไปได้หมด
ในจังหวะที่กระสุนปืนกลหมดและกำลังเปลี่ยนซองใหม่ เขาก็คิดจะใช้จังหวะนี้โจมตีกลับ แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มันเล็งปืนเลเซอร์ที่ประทับบ่าลงมาอีก ซึ่งไม่ได้เล็งที่เขา แต่ว่าเล็งไปที่เด็กสาวสวมหน้ากากผู้หญิงง่วงนอนผู้เป็นโอเปอร์เรเตอร์ต่างหาก
“หมิงเซียน!”
ชายหนุ่มสวมหน้ากากลิงเผือกตะโกนลั่นด้วยความหวาดกลัวที่จะสูญเสียเธอคนนั้นไป เฉกเช่นเดียวกันกับเด็กสาวผู้สวมหน้ากากแมวน้ำที่เป็นเพื่อนกับเธอ และแน่นอนว่าคนที่ถูกเล็งเป้าอย่างเด็กสาวสวมหน้ากากผู้หญิงง่วงนอนเองก็หวาดกลัวต่อความตายเช่นกัน
ทว่า…
“ไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้นหรอกครับ!”
ในพริบตาถัดมาก็มีชายอีกคนปรากฏตัวขึ้นในรูปลักษณ์ของหน้ากากแวมไพร์ผีดูดเลือดพร้อมผ้าคลุม เขาปรากฏขึ้นจากทางด้านหลังของหุ่นยนต์ยักษ์แล้วใช้มือทำลายลำกล้องปืนเลเซอร์ของมันจนแหลกและเสียหลักตกลงไปข้างล่าง ก่อนจะแลนดิ้งลงพื้นเพดานตึกมาอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มผู้สวมหน้ากากลิงเผือกอย่างสวยงาม
และเขายังมาพร้อมกับหญิงสาวอีกคนที่สวมหน้ากากพิราบขาวด้วย
“พวกเธอไม่เป็นไรกันใช่ไหม” เธอเอ่ยถามแบบนั้นในทันทีที่มาถึง
“ก็เกือบไปแล้วแหล่ะ” ชายหนุ่มหน้ากากลิงเผือกเอ่ยตอบพลางยิ้มแห้ง ๆ
“แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ?” เด็กสาวสวมหน้ากากแมวน้ำเอ่ยถามอย่างสุภาพ น้ำเสียงผิดจากที่คุยกับชายหนุ่มหน้ากากลิงเผือกลิบลับ
“พอดีท่านชินเขาบอกว่าคนฝั่งเขาเยอะพอแล้วน่ะครับ ก็เลยมาช่วยเสริมทางนี้”
“ทำไมถึงไม่แปลกใจเลยนะ”
เด็กสาวโอเปอร์เรเตอร์ผู้สวมหน้ากากผู้หญิงง่วงนอนเอ่ยราวกับนึกอยู่แล้ว แถมยังแสดงสีหน้าโล่งอกมั่นใจอยู่ภายใต้หน้ากากเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ที่นี่
มั่นใจและเชื่อมั่น… ต่อชายผู้เป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งอุดมการณ์ของพวกเขา ที่กำลังอยู่ในจุดที่ห่างออกไปไม่ไกลซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริง
นั่นคือคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งถ้าจะให้ว่ากันตามตรง มันก็คือบ้านของผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้นั่นเอง
“เกิดบ้าอะไรขึ้นกันวะเนี่ย!”
ชายร่างท้วมในชุดนอนตะโกนขึ้นอย่างฉุนเฉียวเพราะถูกปลุกจากฝันกลางดึก และเมื่อได้รู้ว่าเกิดเหตุจลาจลขึ้น ท่าทีของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นร้อนรนแทน
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ!”
“แต่ยังไงก็เถอะ รีบไปซ่อนตัวก่อนเถอะครับ!”
เหล่าคนรับใช้ชายสองคนพยายามไม่สนเรื่องที่ถูกขึ้นเสียงอย่างไร้เหตุผลและพาเขาไปซ่อนในห้องนิรภัย จึงเปิดประตูห้องนอนอันโอ่อ่าของเขาออกและตั้งใจจะพาเข้าไปหลบซ่อนในที่ปลอดภัย
ทว่าในพริบตานั้นก็กลับมีกระสุนพุ่งเข้ามาจากนอกประตูหรือก็คือทางเดินที่เชื่อมเข้ามาในห้องนอนจนทำให้คนรับใช้สองคนที่ว่าล้มลงไปกับพื้น ไม่มีเลือดไหลออกมาจากปากแผลเพราะมันเป็นเพียงกระสุนยาสลบ
“ฮี้! เกิดอะไรขึ้นอีกวะเนี่ย!”
อย่างไรก็ดี มันก็ทำให้ชายร่างท้วมผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ตัวสั่นเทิมด้วยความกลัวอยู่ดีเพราะเขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เป็นเวลาเดียวกันกับที่ปริศนาไร้ที่มาของสถานการณ์ได้ถูกแถลงไข… ด้วยประตูห้องนอนที่ถูกเปิดออกให้กว้างขึ้น เผยร่างของสามคนที่อยู่ในเงามืด เป็นหญิงสาวสองคนที่ชี้ปากกระบอกปืนมาทางชายร่างท้วมเจ้าของคฤหาสน์ โดยทางซ้ายสวมหน้ากากสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ส่วนทางขวานั้นสวมหน้ากากกระต่ายสีขาวตาแดง
และสุดท้ายคือชายหนุ่มสวมหน้ากากตัวตลกกำลังกริ้วโกรธผู้ยืนอยู่กลางระหว่างหญิงสาวทั้งสอง เป็นผู้ที่ให้บรรยากาศแตกต่างที่สุดด้วยความสุขุม เยือกเย็นและทรงพลังกว่าใคร
“ร้องเป็นหมูเลยนะคะ อย่างน้อยก็ช่วยพูดให้เหมือนคนหน่อยเถอะค่ะ” หญิงสาวผู้สวมหน้ากากสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์เอ่ยอย่างดูถูกดูแคลนต่อชายร่างท้วม แต่ก็ด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ คงมีแค่คนสนิทเท่านั้นที่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างที่พูดจริง ๆ
“ถึงจะเป็นศัตรูก็เถอะ แต่อย่าไปดูถูกคนอื่นขนาดนั้นเลยเถอะนะ”
หญิงสาวผู้สวมหน้ากากกระต่ายสีขาวเอ่ยอย่างหน่าย ๆ เพราะถึงจะรู้สึกอย่างเดียวกัน แต่จริยธรรมอันสูงส่งในตัวเธอไม่อาจยอมให้คำพูดลดทอนคุณค่าอย่างนั้นผ่านหูตัวเองไป แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นศัตรูก็ตาม
“พะพะ พวกแก!!! คิดว่าฉันเป็นใคร ถึงได้กล้าบุกมาถึงที่นี่กันวะ หา!!!”
ไม่ว่าจะถูกปฏิบัติอย่างไร แต่ก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่าเคหสถานถูกบุกรุกกลางดึกโดยใครก็ไม่รู้ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะแสดงออกอย่างก้าวร้าวด้วยการตะโกนด่าทอลั่นเช่นนั้น
“คำพูดวางท่าใหญ่โตจริงนะ”
อย่างไรก็ดี… ชายหนุ่มผู้สวมหน้ากากตัวตลกกริ้วโกรธไม่ได้รู้สึกผิด และไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดของชายร่างท้วมผู้นี้เลยสักนิด
“แต่รู้อะไรไหม บางคนก็ไม่สมควรจะได้รับความเคารพหรอกนะ… โดยเฉพาะผู้นำที่ไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง”
สิ่งเดียวที่เขาคิดมีเพียงอย่างเดียวและเป็นสิ่งเดียวกันกับที่พูดใส่ผู้ปกครองดินแดนที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร้ความเกรงกลัว น้ำเสียงอันเย็นชาทว่าเต็มไปด้วยความแน่วแน่นั่นทำให้ร่างของชายอ้วนท้วมกระตุกสั่นกลัวด้วยความยำเกรง
…นั่นยังไม่มากเท่ากับตอนที่เขาถอดถุงมือที่สวมอยู่ที่มือขวาออก จนเผยให้เห็นรอยสักรูปมงกุฎสีแดงสดที่อยู่หลังมือ
“โกหกน่า… ตรานั่น!”
รอยสักบนหลังฝ่ามือนั่นน่าจะไม่ต่างจากรอยสักทั่วไป ทว่าในพริบตาที่ชายร่างท้วมผู้ครองดินแดนแห่งนี้ได้เห็นรอยสัก ดวงตาเขากลับเบิกโพลงด้วยความกลัว
ไม่ใช่เพราะว่าสัญลักษณ์นั่นสื่อถึงกลุ่มที่น่ากลัว หรือมีความหมายพิเศษอื่นใด
…หากแต่เป็นเพราะตัวรอยสักเองนั่น มีพลังอันน่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่ต่างหาก
วูม!!!
เรื่องนั้นยืนยันในพริบตาถัดมา… ที่รอยสักรูปมงกุฎสีแดงบนหลังมือของชายสวมหน้ากากตัวตลกกริ้วโกรธได้เปล่งแสงสีแดงสดของเลือดออกมาจนฉาบย้อมห้องนอนไปจนถึงโถงทางเดินราวกับจะย้อมทุกสิ่งให้เป็นโลหิต อันเป็นเวลาเดียวกับที่พื้นเพดานรวมถึงกระจกทั้งหมดแตกร้าวเสียจนละเอียดราวกับทานทนพลังมหาศาลนี้ไม่ไหวโดยมีจุดที่หน้ากากตัวตลกกริ้วโกรธเป็นศูนย์กลาง
เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น… ทุกคนล้วนแล้วแต่มีเรื่องที่ยอมรับไม่ได้กับเรื่องไร้เหตุผลที่โลกใบนี้ก่อขึ้นมาก่อนทั้งนั้น
บางคนอาจเริ่มต้นด้วยอุดมการณ์อันสูงส่งแต่ถูกทรยศด้วยความเป็นจริงอันซับซ้อน
บางคนอาจแค่อยากปกป้องบ้านเกิดของตัวเองเพื่อให้คนสำคัญมีความสุข
หรือบางคนก็ทำไปเพียงเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรทำ
บางคนอาจเริ่มด้วยการทวงความยุติธรรมที่ตนพึงมี
และแม้แต่บางคน ที่อาจเริ่มต้นด้วยการล่าล้างแค้นคนที่ช่วงชิงทุกสิ่งไปจากตน
…แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ขมวดปมเป็นปัญหาที่แก้ได้ทางเดียว
“ได้เวลาปฏิวัติแล้ว”
ชายหนุ่มผู้สวมหน้ากากตัวตลกกริ้วโกรธเอ่ยราวกับเพื่อยืนยันถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองมายังที่แห่งนี้
ไม่สิ… เขาเป็นตัวแทนพูดถึงสิ่งที่ตัวเขาและพรรคพวกทำและกำลังจะทำต่อจากนี้ไปต่างหาก
พวกเขาทุกคนล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายต่างกันในแรกเริ่ม บางคนอาจเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาตั้งแต่แรก หรือบางคนอาจเคยเป็นศัตรูที่ถึงขั้นเคยสู้แลกชีวิตกันมาก่อน แต่ปลายทางสุดท้ายของพวกเขาก็บรรจบลงในเส้นทางเดียวกันอยู่ดี
และมีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่พวกเขามีร่วมกัน
หนึ่งคืออุดมการณ์และภาพวาดของโลกที่ควรจะเป็น
อีกสิ่งหนึ่งคือพวกเขาทั้งหมด… ล้วนแล้วแต่เป็นนักเรียน ม.ปลาย
❖❖❖❖❖
ยามเช้ากลางกรุงนั้นเป็นเหมือนกันทุกที่ ผู้คนเร่งรีบไปทำงานและเข้าเรียนให้ทันเข้าแถวตอนเช้า รถไฟฟ้าแออัดไปด้วยผู้คนจำนวนมากจนแทบหายใจไม่ออก
“ สถานีต่อไป โรงเรียนมัธยมปลายเซนต์ลอเรนซ์… ”
เสียงประกาศนั้นราวกับเสียงสวรรค์ พร้อมกันนั้นรถไฟฟ้าก็เทียบชานชาลาพอดี
พริบตาที่ประตูอิเล็กทรอนิกส์เปิดออก หลายคนก็ถูกดันออกมา ในกลุ่มนั้นมีเด็กหนุ่มคนนึงถูกดันออกมาด้วย เขาถอนหายใจออกมาอย่างแรง ทั้งด้วยความโล่งอกและเพราะต้องการจะสูดอากาศบริสุทธิ์
ท่าทางของเขาไม่ได้หงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งเพราะชินแล้วรวมถึงที่สถานีนี้เป็นจุดหมายปลายทางของเขาเองก็ด้วย
คนเยอะทุกวันเลยแฮะ ขนาดคิดว่าออกมาเร็วแล้วนะเนี่ย
เด็กหนุ่มบ่นอุบอยู่ในใจก่อนจะจัดเสื้อนักเรียนสีขาวที่หลุดลุ่ยเสียใหม่แล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง เนื่องจากประเทศนี้เป็นเมืองร้อน(แบบสุดๆ) เสื้อใส่ซ้อนจึงแทบไม่จำเป็น
ภาพที่สะท้อนกับกระจกรถไฟฟ้าที่กำลังจะออกจากชานชะลาของเด็กหนุ่ม คือเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าค่อนข้างคม ดวงตาสีดำ ไว้ผมสั้นดูเรียบร้อย ส่วนสูง 178 ซม. รูปร่างถือว่าสมส่วนและมีกล้ามเนื้อพอสมควร เรียกได้ว่าเป็นคนหน้าตาปานกลางค่อนไปทางดี หากรวมกับท่าทางและการวางตัวคงเพิ่มระดับไปเป็นหนุ่มหล่อได้สบาย
เขาเดินลงบันไดไปเรื่อยจนกระทั่งถึงถนน แล้วมุ่งตรงสู่จุดหมายปลายทางในอีกไม่กี่ร้อยเมตร… โรงเรียนมัธยมปลายเซนต์ลอเลนซ์ที่เขากำลังเข้าศึกษา ตลอดทางเดินไปจนถึงรั้วโรงเรียนเนืองแน่นไปด้วยเด็กหนุ่มเด็กสาวแต่งชุดนักเรียนแบบเดียวกัน ไม่แม้แต่อีกฟากหนึ่งของถนน
เด็กหนุ่มสังเกตเช่นนั้นไปตามปกติ จนกระทั่งมีคนส่งเสียงเรียกจากทางด้านหลัง
“ ยะโฮ! ว่าไงชิน! ”
เสียงของเด็กหนุ่มที่คุ้นเคยวิ่งเข้ามาจากทางด้านหลังและตบไหล่ของเด็กหนุ่ม… ตบไหล่ของชินอย่างสนิทสนม พร้อมกับเดินเข้ามาข้างๆ
“ เจ็บนะเฟ้ยเจ้าบ้าเคนเนธ ”
ชินตอบกลับเด็กหนุ่มด้วยท่าทีที่เปลี่ยนจากเงียบขรึมยามเดินคนเดียวเป็นท่าทีที่ดูร่าเริงขึ้นมาหน่อยราวกับเป็นคนละคน แต่สำหรับคนทั่วไปนั้นคงยากจะสังเกต
เคนเนธที่ได้ยินเช่นนั้นหัวเราะแฮะๆ ขอโทษแบบขอไปทีเหมือนทุกที เขาคนนี้เป็นเด็กหนุ่มที่สูงราว 180 ซม. ซึ่งมากกว่าชิน ผมที่จัดทรงแหวกแนวแต่ดูดีมีสไตล์ของเขาทำให้ดูดีไม่น้อย สำหรับคนทั่วไปเขาคือเด็กหนุ่มที่ดูดีสุดๆ แต่สำหรับชิน เขาเป็นเพียงเพื่อนสนิทชายจอมกวนประสาทเท่านั้น
“ จะว่าไปทำการบ้านภาษาไทยเมื่อวานอะยัง? ” เคนเนธทำตาปริบๆ ในขณะที่เดินไปโรงเรียนพร้อมชิน และคำพูดนั้นของเคนเนธก็ทำเอาชินต้องถอนหายใจไปอีก
“ ให้ตายสิ… ทำเองบ้างไม่เป็นรึไงฟะนายหน่ะ ” แต่ถึงพูดแบบนั้นชินก็ยังเปลี่ยนกระเป๋าสะพายมาห้อยด้านหน้าและหยิบสมุดแบบฝึกหัดออกมาให้เคนเนธอยู่ดี
“ ฮิฮี่ ต้องแบบนี้สิเพื่อนยาก ขอบคุณมากคร้าบ! ” เคนเนธรับสมุดไปด้วยความขอบคุณก่อนจะยิ้มร่าออกมา ชินที่เห็นภาพแบบนั้นยังคงยิ้มแห้งๆตอบกลับเหมือนที่ผ่านมา
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินผ่านเข้าไปในโรงเรียนเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา
หน้าประตูรั้วโรงเรียนมาอาจารย์สาวยืนทักทายนักเรียน ถัดเข้าไปคือตึกเรียนที่สร้างจากไม้สูง 3 ชั้น ตลอดทางประดับด้วยไม้ยืนต้นและพุ่มดอกไม้ เป็นแบบนั้นจนกระทั่งทั้งสองคนเดินขึ้นตึกเรียนของตัวเองซึ่งเป็นตึกแรกที่เห็นเมื่อเข้ามาในโรงเรียน แล้วพอขึ้นบันไดจนถึงชั้น 2 ซึ่งเป็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พวกเขาก็เดินเลี้ยวเข้าไปที่ห้องเรียนห้องที่สองจากในสุด บนประตูเขียนกำกับไว้ว่า “ห้อง 5-B”
ทันทีที่สองหนุ่มเดินเข้ามาในห้อง สมาชิกในชั้นเรียนที่นั่งคุยเล่นกันอยู่ก็หันมามองในทันที แล้วพอเห็นเคนเนธ ทุกคนโดยเฉพาะสาวๆก็ส่งเสียงทักทายเขาในทันที
“ สวัสดีทุกคน! ” เคนเนธส่งเสียงแล้ววิ่งเข้าไปหากลุ่มที่นั่งคุยเล่นอยู่หน้าห้อง ซึ่งจะว่าไปนักเรียนในห้องมีเพียง 25 คนเท่านั้น เรียกได้ว่าทุกคนก็แทบจะอยู่หน้าห้อง ยกเว้นคนที่นั่งปั่นงานอยู่เท่านั้นเอง
ยังเสียงดังไม่เปลี่ยนเลยนะ… น่าอิจฉาหน่อยๆแฮะ
ชินคิดในขณะที่มองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มอ่อน ก่อนจะแยกไปนั่งที่นั่งตัวเองตรงข้างริมหน้าต่างหลังสุด ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มโปรดขึ้นมาอ่าน และเริ่มเข้าสู่ห้วงสมาธิ
ความจริงมันควรจะเป็นแบบนั้น หากไม่มีใครเดินเข้ามาทักทายด้วยการเคาะโต๊ะของชิน
“ อรุณสวัสดิ์ ” เสียงใสราวกระดิ่งดังขึ้นจากข้างๆโต๊ะของชิน แม้ไม่ต้องเงยหน้ามองก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร
“ อืม อรุณสวัสดิ์เกวน ” ชินตอบกลับก่อนที่จะเงยหน้ามองเด็กสาวที่ยืนยิ้มให้เขาข้างโต๊ะ
เธอคือเด็กสาวไว้ผมยาวสีดำขลับ พร้อมกับหนีบกิ๊บติดผมรูปดอกไม้ส่วนสูงราว 165 ซม. รูปร่างน่าตาค่อนข้างดี รูปร่างเองก็จัดว่าใช้ได้ เพราะมีส่วนโค้งเว้าที่ผู้หญิงควรจะมี
“ โถ่… อ่านหนังสืออีกแล้วเหรอ? ทำไมไม่ลองเข้าไปคุยกับเพื่อนคนอื่นบ้างหล่ะ ” เด็กสาว… เกวนพูดขึ้นด้วยท่าทางราวกับจะสั่งสอน
ยังกับเป็นคุณครูเลยนะเธอเนี่ย
ชินคิดแล้วก็ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะค่อยๆปิดหนังสือ เป็นเวลาเดียวกับที่เกวนนั่งลงที่โต๊ะขอตัวเองซึ่งเป็นตัวด้านขวาติดกับของชินนี้เอง
อนึ่ง โต๊ะเรียนนั้นมีการจัดเรียงแบบติดกัน และมีช่องไฟสองฝั่ง โดยโต๊ะฝั่งริมหน้าต่างจะนั่งติดกันสองโต๊ะ คอลัมน์กลางจะมีสามโต๊ะ ส่วนด้านขวาสุดริมผนังจะติดกันสองโต๊ะ
ชินรอให้เกวนจัดท่านั่งตัวเองเสร็จเขาจึงค่อยเปิดปาก
“ ก็ไม่มีเรื่องให้คุยนี่นา… แล้วอีกอย่าง ฉันก็ใช่ว่าจะไม่สานสัมพันธ์กับใครเลยซักหน่อย ทุกคนก็เป็นเพื่อนฉันหมดนะ ”
“ แหม มันก็ใช่อยู่หรอก ”
เกวนตอบกลับด้วยใบหน้าเสียดายและเป็นห่วง แต่ก็เข้าใจอยู่ว่าที่ชินพูดมันเป็นจริงตามนั้น
ชินไม่ได้เป็นพวกไม่เข้าสังคม กลับกันเขาเป็นพวกชอบช่วยเหลือคนอื่นและคอยแนะนำอะไรหลายอย่างให้กับทุกคนในชั้น มีหลายครั้งที่ปัญหาของห้องเคลียร์ได้ด้วยความเห็นของชิน นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกคนชื่นชอบชินกันไม่น้อยไปกว่าเคนเนธที่เป็นหนุ่มหล่อประจำห้อง ไม่สิ… เขาเป็นหนุ่มหล่อประจำโรงเรียนเลยต่างหาก
“ เพราะแบบนี้ไง นายถึงได้มีเพื่อนสนิทแค่ฉันกับเคนเนธ ”
“ แค่นั้นก็พอแล้ว ”
เกวนถอนหายใจอย่างแรงให้ชิน แต่พอชินตอบกลับมาแบบนั้นด้วยรอยยิ้มทำเอาเกวนไปไม่เป็นจนต้องร้อง “โท่!” ออกมาเลยทีเดียว
แต่นั่นก็เป็นเพราะเธอเขินอาย… เกวนรีบเอาหน้าฟุบลงไปกับโต๊ะราวกับไม่อยากให้ชินเห็นใบหน้านั้น
“ เพราะงั้นไม่ต้องกังวลเรื่องของฉันหรอก เธอไปคุยกับเพื่อนๆของเธอเถอะ ” ได้ยินคำพูดของชิน เกวนก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้น แต่ใบหน้าก็กลับเหงาหงอยไปแทน
เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? ชินเอ่ยถาม
“ เพื่อนฉันหยุดเรียนกันหมดเลย… ”
“ อ่อ ”
เสียงเศร้าๆของเกวนโอดครวญออกมาด้วยความเสียดาย แต่ชินก็เข้าใจเหตุผลได้ในทันที
คืนเมื่อวานซืน เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่ตึกนิวเอจซิตี้ ซึ่งเป็นตึกห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางเมือง นับเป็นเรื่องอุกอาจทีเดียว เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนใน “เขตย่อย” นี้
ด้วยเหตุนั้น ผู้ปกครองหลายคนจึงลาโรงเรียนให้ลูก เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันระหว่างทางกลับบ้าน และสาเหตุสำคัญอีกอย่างก็คือ คนร้ายยังคงลอยนวลอยู่
แถมคนร้ายก็ยังไม่ใช่ “มนุษย์ธรรมดา” ซะด้วยสิ
ความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของชินชั่วขณะ
“ เอ้าๆ นั่งที่กันก่อนนะทุกคน! แล้วนี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่านั่งโต๊ะครู! ”
แต่ทันทีที่อาจารย์ประจำชั้นสาวเดินเข้ามาในห้องและเริ่มไล่นักเรียนหน้าห้องกลับไปนั่งที่ ความคิดนั้นของชินก็ปลิวหายไปทันที เช่นเดียวกับเคนเนธที่วิ่งเข้ามานั่งโต๊ะตัวด้านหน้าของชิน รวมถึงเกวนที่ทำท่าทีเหยาะแหยะอย่างเมื่อครู่ก็ทำหลังตรงเป็นนักเรียนผู้เรียบร้อยในทันที
“ อาจารย์คร้าบ! วันนี้มีข่าวดีมาบอกพวกผมเหมือนเมื่อวานไหมคร้าบ! ” มีนักเรียนชายคนนึงตะโกนขึ้นถาม แม้อาจารย์จะยังเดินไปไม่ถึงโต๊ะตัวใหญ่ตรงกลางซึ่งเป็นโต๊ะสำหรับอาจารย์
อาจารย์ได้ยินแบบนั้นถอนหายใจออกมาทันที ก่อนจะนั่งลงเก้าอี้แล้วใช้มือขวาเท้าคางกับโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์
อาจารย์คนนี้ก็ยังทำท่าทางนักเลงอยู่วันยันค่ำเลยแฮะ
ทั้งที่เป็นผู้หญิงหน้าตาดีพอสมควรแท้ๆ เพราะแบบนี้รึเปล่านะถึงหาแฟนไม่ได้
ชินคิดแบบนั้นอยู่ในใจ โดยไม่ได้คำนึงเลยว่าเรื่องที่ตัวเองคิดก็เสียมารยาทเหมือนกัน
แต่เรื่องนี้เป็นที่รู้กันในหมู่นักเรียนอยู่แล้ว ยังไง
“ เดาเก่งดีนี่… วันนี้คาบบ่ายเองก็งดสอน เพราะงั้นทุกคนรีบกลับบ้านกันด้วยหล่ะ ” อาจารย์สาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงพอใจ ดูเหมือนเธอจะดีใจที่ไม่มีสอนคาบบ่ายแบบเดียวกับที่นักเรียนไม่มีเรียน
เมื่อกี้ที่โมโหนี่แค่เพราะถูกเดาได้ก่อนหรอกเหรอ
ชินคิดแล้วได้แต่ยิ้มแห้งๆกับความเป็นเด็กของอาจารย์คนนี้
หลังจากนั้นอาจารย์ประจำชั้นสาวแสนสวยเสียของก็ออกจากห้องเรียนไป เพราะเป็นเวลาเริ่มคาบแรกพอดี แต่กลับกลายเป็นว่าคาบแรกอาจารย์เองก็ไม่เข้าเหมือนกัน
ยุ่งๆกันไปหมดเลยนะเนี่ย แล้วดูเหมือนตอนเช้าช่วงนี้เองก็ไม่มีเข้าแถวหน้าเสาธงด้วย…
ทั้งหมดเป็นผลกระทบจากการระเบิดตึกหล่ะสินะ
จะดีใจดีไหมเนี่ย…
ชินคิดล้อเล่นแบบนั้นแล้วก็ยิ้มขมออกมาโดยไม่รู้ตัว
คาบแรกเป็นวิชาประวัติศาสตร์ สำหรับเพื่อนคนอื่นนั้นเลือกที่จะเล่นเกมจาก “โฮโลวอช” ซึ่งเป็นนาฬิกาข้อมือที่สามารถฉายภาพโฮโลแกรมขึ้นมาใช้สำหรับฆ่าเวลา
อนึ่ง ความจริงนอกจากใช้เล่นเกมแล้ว มันเป็นดั่งปัจจัยที่ 5 ที่ต้องมีติดตัวกันคนละอันเพราะมันเอาไว้ใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้ ส่งสัญญาณเสียงไปยังหูฟังไร้สายเพื่อฟังเพลง เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต รวมถึงใช้ฆ่าเวลาแบบที่เด็กส่วนใหญ่มักใช้กัน
ทว่าชินนั้นเลือกที่จะทวนหนังสือมากกว่า เขาเคาะโต๊ะเรียนด้วยนิ้วขวาทั้งสี่ยกเว้นนิ้วโป้ง พริบตานั้นหน้าโต๊ะก็เปลี่ยนเป็นจอคอมแบบสัมผัสได้ ชินเลื่อนหา E-book หนังสือแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์โลกและเริ่มอ่านมันอีกเป็นรอบที่ 3
ว่ากันว่าหากอ่านหนังสือเล่มเดิมอีกครั้งหลังจากผ่านไปหนึ่งปี สิ่งที่ได้จากหนังสือจะไม่เหมือนเดิม
เพราะเมื่อเราเติบโตขึ้นและได้รับแง่คิดใหม่ๆ เราจะตีความหนังสือเล่มเดิมไม่เหมือนเดิม
เพราะงั้นฉันถึงชอบที่จะอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำ โดยเฉพาะหนังสือที่ต้องตีความ
แต่สำหรับตอนนี้… คงแค่เบื่อเจ้าหนังสือ “สารพันเรือรบ” ที่พกติดมาด้วยก็เท่านั้นเอง
ชินคิดราวกับปลอบใจตัวเองที่เบื่อหนังสือแนวสงครามง่ายไปหน่อย ก่อนจะเริ่มอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ตรงหน้า
…เมื่อนานมาแล้ว โลกใบนี้ถูกปกครองด้วยเผ่าพันธุ์ที่มีลักษณะทางกายภาพแตกต่างกันมากมายหลายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์สัตว์ที่มีส่วนใดส่วนนึงของร่างกายเป็นสัตว์ เอลฟ์ที่มีลักษณะใบหูยาวกว่าปกติ เผ่านางฟ้าที่มีปีกงอกที่หลัง และสุดท้ายคือมนุษย์
ทั้ง 4 นี้คือเผ่าพันธุ์ที่มีจำนวนมากที่สุดบนโลก หากไม่นับเผ่าพันธุ์ที่อาศัยในทะเลหรือดรายแอดที่อาศัยในผืนป่าซึ่งมีจำนวนและอาณาเขตน้อยกว่า
และด้วยความแตกต่าง ทั้งทางวัฒนธรรม การปกครอง แนวคิด ค่านิยมรวมถึงความเชื่อและศาสนาของแต่ละเผ่าพันธุ์ ได้ถึงจุดแตกหักเมื่อราว 1000 ปีก่อน จนได้นำไปสู่สงครามโลก เผ่าพันธุ์ทั้งหมดเริ่มสงครามล่าอาณานิคมกัน เข่นฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยมราวกับเมินสิ่งดีงามในพระคัมภีร์ที่ถูกสอนมาในศาสนาตน
ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายช่างน่าแปลกใจ เพราะไม่ใช่ 4 เผ่าพันธุ์หลักที่คว้าชัย หากแต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอยู่น้อยนิดอย่างแวมไพร์ที่เอาชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “ไนท์ (Night)”
มันคือพลังเฉพาะของเผ่าแวมไพร์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงปรากฏการณ์ต่างๆให้เป็นไปตามที่ต้องการ อันต่างจาก “เซนส์ (Sense)” ซึ่งเป็นการเพิ่มความสามารถพื้นฐานของสัตว์แต่ละชนิดของเผ่ามนุษย์สัตว์ หรือ “เวทย์มน (Magic)” ของเอลฟ์ที่ใช้ควบคุม/ปรับเปลี่ยนปราฏการณ์ธรรมชาติ หรือ “ปาฏิหารย์ (Miracle)” ของเผ่านางฟ้าที่เป็นการอ้อนวอนขอยืมพลังจากสิ่งเหนือธรรมชาติ ทว่า “ไนท์ (Night)” ของแวมไพร์สามารถใช้ได้ตามแต่ความปรารถนาของตน ไร้ซึ่งข้อจำกัดซ้ำยังแหกกฎฟิสิกส์ มันจึงสะดวกสบายกว่ามาก
ข้อจำกัดนั้นมีเพียงสองอย่าง… อย่างแรกคือ คอนเซปต์ของมัน ไนท์เป็นพลังเฉพาะของแต่ละคนที่สามารถทำให้เกิดพลังตามคอนเซปต์แต่ละอย่าง อาทิเช่น สามารถควบคุมเลือดตัวเองได้ สามารถลบกลิ่นอายได้อย่างสมบูรณ์ มองเห็นการเคลื่อนไหวในอนาคต หรือแม้แต่สร้างระเบิด ทว่าการมีพลังได้เพียงอย่างเดียวนี้เองคือข้อเสีย แต่หากสู้กันเป็นกลุ่มคงมิต้องนึกภาพอันร้ายกาจของพลังนี้
ส่วนข้อจำกัดของพลังอย่างที่สอง… ความแข็งแกร่งของพลังนี้ขึ้นอยู่กับสองตัวแปร คือความเข้มข้นของสายเลือดแวมไพร์และอีกอย่างคือแสงสว่าง หากยิ่งมืดมิดมากเพียงใด ไนท์จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ในทางกลับกันหากแสงสว่างมากเพียงใด อานุภาพของพลังก็จะยิ่งอ่อนแอลง นั่นคือเวลาเที่ยงคืนคือพลังไนท์จะแข็งแกร่งที่สุด แต่เวลาเที่ยงวันจะแทบใช้พลังไม่ได้ แต่นั่นก็แก้ไขได้ด้วยการลอบโจมตีเฉพาะตอนกลางคืนแบบปิดเกมเร็ว
ด้วยเหตุผลข้างต้นที่ทำให้แวมไพร์เป็นฝ่ายชนะ… หลังจากนั้นโลกจึงเปลี่ยนรูปแบบการปกครองใหม่จากอาณาเขตแบบชนเผ่า เป็นการปกครองแยกเป็นอาณาเขต ถูกกำกับด้วยหมายเลข และจนถึง ณ บัดนี้ก็ยังใช้หมายเลขในการเรียกชื่อประเทศอยู่ นั่นเป็นหนึ่งในข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนานว่าทำไมจนบัดนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนจากการเรียกด้วยหมายเลขเสียที
อย่างเช่นเขต 66 อันเป็นประเทศที่ชินอยู่เองก็ด้วย แต่เขตย่อยกลับมีชื่อเรียก อย่างเมืองหลวงที่ชินอยู่นี้คือ กรุงสุรารักษ์ ไปเสียอย่างงั้น
ความรุ่งโรจน์ของเผ่าพันธุ์ที่สุดแสนจะเป็นปฏิปักษ์ต่อโลกนั้นอยู่มานานกว่า 800 ปี ทว่ามันนานเกินไปสำหรับคนบางพวก
หลังจากเวลาผ่านไปนานเช่นนั้น ได้เกิลูกผสมหลากเผ่าพันธุ์มากมาย นั่นรวมถึงมีสายเลือดของแวมไพร์ผสมอยู่ด้วย และนั่นทำให้มีพลัง “ไนท์” ปรากฏขึ้นเป็นกำลังให้เผ่าอื่นกรายๆ นั่นคือประกายไฟแรกแห่งการปฏิวัติ
จนกระทั่งเมื่อ 12 ปีก่อน ได้เกิดการโค่นล้มการปกครองของแวมไพร์อย่างเงียบเชียบ… ทั่วทั้งปราสาทของเมืองหลวงเขต 40 ซึ่งเป็นสวรรค์ของเหล่าแวมไพร์ได้ถูกกองกำลังลึกลับเข้าสังหารหมู่ ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตเลยซักคนไม่แม้แต่ราชา ราชินี คนใช้ ทหารองครักษ์หรือรัชทายาทสืบสกุล และเมื่อประเทศสูญเสียผู้นำไป ประเทศก็รำส่ำระส่ายจนเสียขบวนกันไปหมด
สถานะที่แวมไพร์เหนือกว่าเริ่มกลับตาลปัตรราวกับถูกวางแผนมาเป็นอย่างดี… นับแต่วันนั้นที่ราชาของเหล่าแวมไพร์ถูกสังหาร แวมไพร์ได้ตกเป็นเป้าการล่า เพราะถูกมองเป็นภัยมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะแม้พลัง “ไนท์” ของคนที่มีสายเลือดแวมไพร์แม้เพียงเล็กน้อยจะรุนแรง แต่สำหรับสายเลือดแท้นั้นมันรุนแรงกว่านั้นโข
เรียกได้ว่าแค่คนๆเดียวก็เพียงพอจะเปลี่ยนแปลงประเทศได้แล้ว แต่วันนั้นก็ไม่เกิดขึ้น เพราะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มันเร็วเกินกว่าจะตั้งตัว…
ผลลัพธ์นั้นทำให้แวมไพร์สายเลือดแท้ ถูกประกาศให้สูญพันธุ์อย่างเป็นทางการจากนานาประเทศเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แล้วจากนั้น การปกครองของเขตอื่นก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดี เพราะเช่นไรแต่ละเผ่าพันธุ์ก็คานอำนาจซึ่งกันและกันมาตลอดอยู่แล้ว กลับกัน ก้างขวางคออย่างแวมไพร์สูญพันธุ์ไปแล้วกลับทำให้ประเทศส่วนใหญ่ได้ประโยชน์เสียด้วยซ้ำ จึงเรียกได้ว่าหลังจากที่แวมไพร์สูญพันธ์ทั่วทั้งนั้นค่อนข้างสบายใจและสงบสุขขึ้นโข
ณ โลกปัจจุบันอันแสนสงบสุข ประวัติศาสตร์เหม็นกลิ่นคาวเลือดนั่นมันเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าไปแล้ว
โลกอันสงบสุข… งั้นเหรอ…
ชินที่อ่านทวนคำนั้นในหนังสือซ้ำไปซ้ำมา รู้สึกสะอิดสะเอียนกับมันไม่น้อย…
ภาพความทรงจำแสนเลวร้ายเริ่มแทรกเข้ามาในหัวแทน… เปลวเพลิง… ดาบ… และ เลือด
“ นี่ชิน! ได้ยินป่าว!? ”
“ !? ”
เสียงของเคนเนธช่วงดึงสติของชินกลับมา ดูเหมือนเขาจะถูกเรียกมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
“ นายเนี่ยสมาธิสุดยอดไปเลยนะ ” เกวนออกเสียงชื่นชมเล็กน้อย
“ เอาเถอะๆ! แต่ว่านะเฮ้ย เมื่อกี้มีประกาศบอกว่าให้กลับบ้านได้เลยเพราะอาจารย์ที่สอนคาบสองกับคาบสามก็ลาเหมือนกันหน่ะ ” เคนเนธพูดด้วยรอยยิ้มราวกับเด็กๆ พอชินยืนยันด้วยการเปิดหน้าจอของคอมโฮโลแกรมที่โต๊ะ ตรงมุมขวาล่างของจอ ก็ปรากฏว่ามีประกาศแบบนั้นจริงๆ
เริ่มอีกแล้วสิเรา…
ชินคิดเหนื่อยใจกับตัวเอง แต่พอเห็นทั้งสองคนทำท่าทางดีใจ กระดี้กระด้าแบบนั้น ทำให้ชินยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาปิดจอโฮโลแกรมลงตามคำแนะนำของเคนเนธและเกวน พลางเหลือบไปมองท้องฟ้ายามสายนอกหน้าต่าง
ถ้านับเอาแค่ตอนเช้า… มันก็ยังเหมือนเดิมกับทุกๆวันหล่ะนะ
ชินคิดแบบนั้นก่อนที่จะลุกขึ้นหยิบกระเป๋า ราวกับกำลังคาดหวังบางสิ่งอยู่
❖❖❖❖❖
Facebook Page : https://www.facebook.com/HatthAnant
Chapters
Comments
- ตอนที่ 47 มิถุนายน 19, 2022
- ตอนที่ 46: การประลองแบบตัวต่อตัว พฤษภาคม 7, 2022
- ตอนที่ 45: เพื่อนร่วมฝึกงาน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 44: วิธีสร้างข้อผูกมัด มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 43: ข้อเสนอที่น่าลำบากใจ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 42: สิ่งที่ควรทำมาตั้งนานแล้ว (เริ่มบทที่ 2) มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 41: ตัวจริงเบื้องหลังเรื่องราว (จบบทที่ 1) มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 40: ผลตัดสินศึกสุดอลหม่าน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 39: ศึกตัดสินอันอลหม่าน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 38: การต่อสู้ของลูกผู้หญิง มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 37: อดีตของจิน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 36: แองกริคราวน์ผู้ถูกไล่ล่า มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 35: สถานการณ์ที่เริ่มผิดปกติ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 34: เริ่มต้นทัศนศึกษา มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 33: การโหวตเลือก มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 32: ความเข้าใจผิด มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 31: เบาะแสแรก มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 30: ปณิธานของชงหยวน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 29: ไฟสุมขอนยังคงร้อนอยู่ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 28: คาบเรียนพิเศษ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 27: การต่อสู้ระหว่างราชา มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 26: กำลังเสริมของทั้งสองฟาก มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 25: ยุทธการสายฟ้าแลบ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 24: คณะกรรมการจัดงาน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 23: ความลังเล มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 22: คู่หมั้นอันตราย มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 21: นักเรียนใหม่ (เริ่มบทที่ 1) มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 20 : ก่อนรุ่งสางของคืนวันที่จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล (จบ Prologue) มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 19: Overlord มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 18: ผีดูดเลือดผู้คลุ้มคลั่งจากโลหิต มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 17: แองกริคราวน์หลั่งเลือด มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 16: วลาดจอมเสียบ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 15: ข่าวร้ายกลายเป็นจริง มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 14: ผู้(ถูก)พิพากษา มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 13: เป้าหมายแรก มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 12: ความเป็นจริงที่ค่อยๆที่ถูกแง้มให้เห็น ตอนจบ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 11: ความเป็นจริงที่ค่อยๆที่ถูกแง้มให้เห็น ตอนกลาง มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 10: ความเป็นจริงที่ค่อยๆที่ถูกแง้มให้เห็น ตอนแรก มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 9: เค้าลางก่อนพายุ มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 8: ตกกระไดพลอยโจน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 7: เขตที่ 84 มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 6: ฝันกลางวัน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 5: ยามเช้าดังเช่นทุกวัน มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 4: ระเบิดกัมปนาท มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 3: เส้นแบ่งของโลก มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 2: ชีวิตประจำวันที่ควรจะเป็น มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 1: ยามเช้าแสนธรรมดาดังเช่นทุกวัน มีนาคม 13, 2022
MANGA DISCUSSION