บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 96 ห่วงใย
ถึงแม้จะหลั่งน้ำตาเพราะความห่วงใยของหญิงสาวตรงหน้า แต่คุณหนูหลิวไม่ใช่เด็ก ไม่มีทางพูดความเศร้าโศกออกมาอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะความเศร้าโศกนี้มาจากเรื่องงานแต่งของผู้เป็นหญิงสาว
“ขอบใจเจ้านะ” นางเค้นยิ้มออกมา ก่อนจะถามขึ้น “เจ้ามาซื้อยาหรือ ข้าเหมือนได้ยินพ่อข้าบอกว่าเจ้าจะเปิดร้านยา?”
เฉินตันจูพยักหน้า “ข้าชอบวิชาแพทย์ จึงคิดจะเปิดร้านยาเอง เสียดายที่คนในตระกูลข้าไม่มีคนศึกษาด้านนี้ ข้าจึงต้องศึกษาเอง” พูดจบก็มองคุณหนูหลิวด้วยสายตาอิจฉา “บรรพบุรุษของพี่สาวเป็นหมอหลวง อยากจะเรียนคงสะดวกมาก”
ถึงแม้จะไม่รู้สึกดีมากนัก…แต่ถูกหญิงสาวหน้าตางดงามเช่นนี้อิจฉา คุณหนูหลิวก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความดีใจเล็กน้อย จึงชื่นชมนางอย่างถ่อมตน “เจ้าเก่งกว่าข้ามาก ตระกูลข้าเปิดร้านยา ข้าก็ไม่ได้ศึกษาวิชาแพทย์”
เฉินตันจูยิ้มให้นาง ก่อนจะหันไปเรียกอาเถียน “เอาขนมน้ำตาลมาให้ข้า”
เมื่อสักครู่เฉินตันจูนั่งลงต่อแถว นางให้อาเถียนออกไปซื้อขนมน้ำตาลกลับมาสองชิ้น อาเถียนคิดว่าคุณหนูอยากกิน จึงเลือกขนมน้ำตาลที่แพงที่สุดและสวยงามที่สุด…
ไม่คิดว่าคุณหนูจะมอบให้คุณหนูหลิวท่านนี้
อาเถียนรีบยื่นเข้ามา เฉินตันจูมอบให้คุณหนูหลิวหนึ่งชิ้น “เชิญท่านกินขนม”
เด็กถึงจะชอบกินสิ่งนี้ ปีนี้คุณหนูหลิวอายุสิบแปดแล้ว จึงคิดจะปฏิเสธ แต่เฉินตันจูยังคงยัดให้นาง “กินของหวานในเวลาที่ไม่สบายใจจะรู้สึกดีขึ้น”
เช่นนี้หรือ คุณหนูหลิวจึงไม่ได้ปฏิเสธอีก นางถือขนมน้ำตาลที่สวยงามไว้ในมือ ก่อนจะกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ แต่ก็ยังเจือปนไปด้วยความขมขื่นเล็กน้อย “ขอให้เจ้าไม่ต้องเผชิญเรื่องเสียใจเหมือนดั่งข้า”
เฉินตันจูยิ้ม “พี่สาว บางคราเรื่องยากลำบากหรือเรื่องเศร้าโศกที่ท่านรู้สึกว่ายากเกินที่จะข้ามผ่าน อาจไม่หนักหนาเหมือนที่ท่านคิด ท่านปล่อยวางใจเถิด”
คำพูดนั้นพูดง่าย คุณหนูหลิวไม่ได้ใส่ใจ หลังจากที่ขอบคุณนางแล้ว ก็ตระหนักได้ว่ามารดายังรอคอยอยู่ในจวน อีกทั้งยังต้องไปจวนของท่านยาย นางจึงไม่มีใจจะสนทนาต่อ “หลังจากนี้ มีโอกาสข้าค่อยไปหาเจ้า จวนเจ้าอยู่ในเมืองใช่หรือไม่”
เฉินตันจูพยักหน้าไม่ตอบ เพียงแค่บอกว่า “ได้ ท่านรีบไปเถิด”
คุณหนูหลิวขึ้นรถ ก่อนจะเปิดม่านยิ้มให้นางอีกครั้ง เฉินตันจูโบกมือด้วยรอยยิ้ม รถเคลื่อนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
คุณหนูหลิวนั่งลง บนใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้ม นางมองขนมน้ำตาลในมืออย่างเหม่อลอย นึกถึงตอนเด็กที่บิดาของตนเองมักจะซื้อขนมน้ำตาลให้นางกิน อยากได้แบบไหนซื้อแบบไหน เหตุใดเติบโตขึ้นจึงไม่รักนางแล้ว
นางส่งขนมน้ำตาลเข้าปาก ความหวานแผ่ซานไปทั่วทั้งปาก อารมณ์ราวกับดีขึ้นมาเล็กน้อยจริงๆ กลัวอันใด ท่านพ่อไม่รักนาง นางยังมีท่านยาย
ท่านพ่อคิดจะให้นางแต่งงานกับบุตรชายตระกูลจาง ท่านยายไม่ยินยอมอย่างแน่นอน เพียงแค่ท่านยายไม่ยอม ไม่มีผู้ใดบังคับนางได้
คุณหนูหลิวมองขนมน้ำตาลในมืออีกครั้ง ขนมน้ำตาลเป็นรูปหญิงงามเกล้าผมสูงในชุดพริ้วไหว…นางก็เป็นหญิงงาม หญิงงามย่อมต้องแต่งงานกับชายหนุ่มที่เหมาะสม
ชายหนุ่มที่เหมาะสมของนางย่อมต้องเป็นตระกูลชั้นสูงที่ท่านยายเคยพูด ไม่ใช่ชายหนุ่มที่ยากจน แม้แต่ขุนนางชั้นผู้น้อยยังไม่ได้เป็น
เฉินตันจูมองรถม้าที่จากไปไกลของคุณหนูหลิว ก่อนจะมองกลับเข้าไปยังหุยชุนถัง หลิวจั่งกุ้ยยังคงไม่ออกมา คาดว่ายังคงเศร้าโศกอยู่ในโถงด้านหลัง
จากท่าทางของคุณหนูหลิว หลังจากที่หลิวจั่งกุ้ยได้ข่าวของจางเหยาแล้วคงจะไม่ยอมละทิ้งสัญญา ด้านหนึ่งคือความซื่อสัตย์และจงรักภักดี อีกด้านคือบุตรสาวแท้ๆ ของตนเอง ผู้เป็นบิดาคงเจ็บปวดไม่น้อย
อาเถียนเห็นนางมองเข้าไปภายในโถง นางครุ่นคิด ก่อนจะยื่นขนมน้ำตาลอีกชิ้นในมือเข้ามา “ชิ้นนี้ให้หลิวจั่งกุ้ยหรือเจ้าคะ”
พ่อลูกทะเลาะกัน คนละชิ้น?
เฉินตันจูหัวเราะ ก่อนจะหยิบขนมน้ำตาลจากมือนางมากัดหนึ่งคำ “ชิ้นนี้สำหรับปลอบใจข้า”
อันที่จริงไม่ต้องปลอบพ่อลูกตระกูลหลิว เมื่อจางเหยามาถึง พวกเขาก็จะรู้ว่าความเสียใจ ความกังวล ความขัดแย้งของพวกเขาล้วนเป็นส่วนเกิน จางเหยามาเพื่อถอนหมั้น ไม่ได้มาเพื่อเกาะพวกเขา
แน่นอนนางก็ไม่รู้สึกว่าคุณหนูหลิวมีความผิดอันใด เหมือนดั่งที่นางเคยบอกจางเหยาเมื่อชาติก่อน หลิวจั่งกุ้ยกับบิดาของจางเหยาไม่ควรหมั้นหมายให้บุตรของตนเอง เรื่องระหว่างผู้ใหญ่ เหตุใดจึงต้องให้เด็กที่ไม่รู้เรื่องอย่างคุณหนูหลิวมารับผิดชอบ ทุกคนล้วนมีสิทธิแสวงหาและเลือกความสุขของตนเอง
เวลานี้จางเหยามีจดหมายมาแล้ว แต่เหตุใดผ่านไปสองสามปีจึงเดินทางเข้าเมือง เขาไปหาอาจารย์ของบิดาตนเองก่อน? หรือว่าเวลานี้ยังไม่มีความคิดเข้าศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยน?
อันที่จริงเข้าศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยนไม่ต้องยุ่งยากเพียงนั้น กั๋วจื่อเจี้ยน อืม เวลานี้ในเมืองอู๋เรียกไท่เสวียน [1]ไม่ใช่กั๋วจื่อเจี้ยน…เฉินตันจูนั่งอยู่บนรถม้าเปิดม่านมองออกไปด้านนอก “จู๋หลิน ผ่านไปทางไท่เสวียนฝู่”
สักพักร้านยาสักพักหุยชุนถัง สักพักขนมน้ำตาล สักพักปลอบหญิงสาว สักพักจะไปไท่เสวียน จู๋หลินครุ่นคิด ความคิดของคุณหนูตันจูคาดเดายากเสียเหลือเกิน เขาสะบัดแส้ม้าเบาๆ เพื่อเปลี่ยนทิศทางไปยังถนนอีกเส้น ในช่วงปีใหม่ภายในเมืองเต็มไปด้วยผู้คน ถึงแม้จะตะโกนเตือนแล้ว แต่ก็ยังมีคนเกือบชนเข้ามา
คนนี้สวมชุดผ้าไหม ใบหน้าสง่างาม มองดูคนเคลื่อนรถอายุน้อย รถม้าที่ธรรมดาไม่หรูหรา โดยเฉพาะคนเคลื่อนรถมุทะลุที่ทำหน้าตาเรียบเฉย ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกผิด คิ้วของเขาเลิกขึ้นทันที “อันใดกัน บนถนนมีคนมากเพียงนี้ เหตุใดจึงเคลื่อนรถม้าเร็วเพียงนี้ หากชนคนเข้าจะทำอย่างใด เหลวไหลสิ้นดี เจ้าลงมา…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ด้านข้างมีคนจับเขาเอาไว้ “เหยินซินแส เหตุใดท่านเดินมาถึงตรงนี้ ข้ากำลังตามหาท่านพอดี รีบตามข้ามา…”
เหยินซินแสถูกดึงออกไปด้านข้างด้วยความโซซัดโซเซ คนที่ยืนอยู่บนท้องถนนต่างหลีกทางให้รถม้าเคลื่อนผ่านไป ทันใดนั้นกีดกันระหว่างเขากับรถม้าคันนี้ให้ออกจากกัน
เมื่อเหยินซินแสยืนนิ่งมองไป รถม้าคันนั้นก็ผ่านไปแล้ว
“เฮ้อ เจ้าดูสิ ไร้กฎระเบียบเสียจริง” เขาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด หันกลับไปมองคนที่ดึงตนเองเอาไว้ อีกฝ่ายเป็นคุณชายอายุน้อย หน้าตาสะอาดสะอ้าน บนตัวสวมชุดผ้าไหม ท่าทางเป็นบุตรหลานชนชั้นสูงของเมืองอู๋ “คุณชายเหวิน เหตุใดท่านจึงรั้งข้าเอาไว้ ตอนนี้เมืองอู๋ไม่ใช่เมืองอู๋แล้ว แต่เป็นเมืองหลวง ไม่มีกฎระเบียบเช่นนี้ไม่ได้ คนเช่นนี้ต้องได้รับการสั่งสอน”
คุณชายเหวินไม่ได้ติดตามบิดาไปเมืองโจว คนในตระกูลเหวินไปแค่ครึ่งหนึ่ง เขาในฐานะคุณชายเชื้อสายตรงอยู่ต่อ ต้องขอบคุณเฉินเลี่ยหู่ที่ออกตัว ถึงแม้คนในตระกูลของขุนนางอู๋อยู่ต่อ คนของท่านอ๋องอู๋ก็ไม่กล้าพูดอันใด หากขุนนางบอกว่าตนเองก็ไม่ยอมรับท่านอ๋องอู๋แล้ว อีกทั้งราษฎรอู๋ถึงแม้จะพูด ก็เพียงแค่พูดว่าเป็นเพราะเฉินเลี่ยหู่
เวลานี้ได้ยินว่าเหยินซินแสอยากจะสั่งสอนคนผู้นั้น ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาดขึ้นมา
สั่งสอน? เอาเถิด เมื่อกี้เขามองเห็นคนที่อยู่ในรถคันนั้นเปิดม่านขึ้น เผยให้เห็นใบหน้างดงาม แต่เขาไม่มีความคิดอื่นใดแม้แต่น้อยเมื่อเห็นหญิงงามเพียงนี้…อีกฝ่ายคือเฉินตันจู
หยางจิ้งที่เคยคิดจะสั่งสอนนางยังถูกขังอยู่ในคุกเวลานี้ คุณชายที่สง่างามทนทุกข์ทรมานจนหมดสภาพ อีกทั้งยังมีจางเจี้ยนจวิน บุตรสาวถูกนางขัดขวางทางที่จะเกาะฮ่องเต้ ทำได้เพียงติดตามท่านอ๋องอู๋ เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดี คนทั้งตระกูลต่างติดตามไปไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ได้ยินว่าเวลานี้ยังปรับตัวไม่ได้อยู่ในเมืองโจว แต่ละวันภายในจวนมีแต่ความวุ่นวาย
แต่ว่า เขาย่อมคิดจะสั่งสอนเฉินตันจูเช่นเดียวกัน แต่เวลานี้ เขาเหลือบมองเหยินซินแส เหยินซินแสตรงหน้านี้ยังไม่มีสิทธิ
เวลานี้ยังไม่รีบ บัดนี้เมืองอู๋กลายเป็นเมืองหลวงแล้ว เชื้อสายราชวงศ์และขุนนางชั้นสูงต่างหลั่งไหลเข้ามา เฉินตันจูเป็นเพียงหญิงชั้นสูงของเมืองอู๋เก่า อีกทั้งยังมีบิดาที่ชื่อเสียงป่นปี้…ต่อจากนี้ยังมีโอกาสที่จะสั่งสอนนาง
“เหยินซินแส อย่าได้สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เลย” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “มาๆ จวนที่ท่านอยากได้ หาเจอแล้วหรือ”
เมื่อพูดถึงเรื่องใหญ่อย่างที่พักอาศัย เหยินซินแสก็รู้สึกหนักใจ เขาถอนหายใจออกมา “หาเจอแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ยอมขาย”
คุณชายเหวินกรอกตาไปมา “จวนของผู้ใดกัน ข้าเติบโตในเมืองอู๋ อาจช่วยท่านได้”
เหยินซินแสย่อมรู้ว่าคุณชายเหวินเป็นใคร เมื่อได้ยินจึงหวั่นไหว เขาพูดเสียงเบา “อันที่จริงจวนนี้ข้าไม่ได้ต้องการเอง แต่นายท่านเกิ่งให้ข้ามาดู ท่านรู้จักตระกูลเกิ่งในแคว้นวั่งใช่หรือไม่ คนในตระกูลเคยเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้องค์ก่อน ถึงแม้เวลานี้จะไม่ได้รับใช้ในราชสำนักแล้ว แต่ก็ยังเป็นชนชั้นสูงอันดับหนึ่ง ตอนที่นายท่านเกิ่งวันเกิด ฮ่องเต้ยังพระราชทานของขวัญอวยพรให้ คนในตระกูลของท่านกำลังจะมาถึงแล้ว…อากาศหนาวเย็นเช่นนี้คงไม่อาจให้ไปพักที่เมืองใหม่”
ตระกูลเกิ่งหรือ คุณชายเหวินย่อมรู้จัก ดวงตาของเขาร้อนผ่าว ดังนั้นท่านพ่อพูดถูก อยู่ที่นี่ ตระกูลเหวินของพวกเขาก็จะมีโอกาสสร้างสัมพันธ์กับชนชั้นสูงของราชสำนัก จากนั้นอนาคตเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า
“เหยินซินแส” เขาพูด “ไปโรงน้ำชา พวกเรานั่งลงพูด”
[1]ไท่เสวียน หมายถึง สถานศึกษาที่สูงที่สุดในจีนโบราณ