บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 86 นินทา
แต่ในเวลาต่อมาก็ยังไม่ได้มีฝูงชนหลั่งไหลเข้ามา
บนถนนยังคงไร้ร่องรอยของผู้คน หากไม่ใช่เฉินตันจูสวมใส่เครื่องประดับใหม่ที่เป็นค่ารักษา ทุกคนคงคิดว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ถึงแม้ไม่มีคนมาให้รักษา แต่เยี่ยนเอ๋อและอิงกูต่างวางใจไม่น้อย พวกเขาทำความสะอาดและตากยาที่เฉินตันจูต้องการอย่างตั้งใจมากยิ่งขึ้น อาเถียนยิ่งไม่ได้พูดถึง นางมีความมั่นใจในตัวของคุณหนูเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่หญิงชราขายชาก็นั่งลงในโรงน้ำชา ไม่บ่นว่ามีแขกน้อย อีกทั้งยังปรึกษากับเฉินตันจูเรื่องการทำร้านยา
“ท่าทางของท่านทำให้คนอื่นกลัว” หญิงชราขายชาพูด “คุณหนูตันจูงดงามเพียงนี้ อย่าดุกับคนอื่นมาก”
เฉินตันจูไม่ยอม “ข้าดุที่ใดกัน ข้าเป็นมิตรเสมอมา” พูดจบก็หันไปยิ้มให้หญิงชราขายชา “ท่านดู ข้าดุหรือ”
ตอนที่ไม่ดุคือไม่ดุแม้แต่น้อย…จากคำร่ำลือเรื่องที่เฉินตันจูข่มขู่ท่านอ๋อง บังคับให้จางเหม่ยเหรินปลิดชีวิตของตนเอง หญิงชราขายชาไม่เคยเห็นกับตาจึงไม่รู้ แต่ก่อนหน้านี้เห็นนางถกเถียงกับคนในจวนของขุนนาง ท่าทางของเฉินตันจูดุดันเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านยาย ไม่ใช่ข้าดุ แต่คนเหล่านั้นต่างหากที่ดุ พวกเขาใจร้ายกับข้ามาก ข้าจะทำอย่างไรได้ ข้าย่อมต้องร้ายกลับ มิฉะนั้น…” เฉินตันจูวางพัดลงบนมือ “ข้าจะอยู่ตัวคนเดียวได้อย่างไร”
เหมือนจะเป็นเหตุเป็นผล หญิงชราขายชานึกย้อนไปถึงตอนที่ตนเองกลายเป็นแม่หม้ายทั้งที่อายุยังน้อย ไร้บุตรไร้หลาน หากไม่ได้อาศัยความดุ นางจะอยู่รอดถึงวันนี้ได้อย่างไร
“ท่านยายไม่ต้องกังวล” เฉินตันจูรู้ว่าหญิงชราขายชาหวังดี นางรู้ว่าชื่อเสียงของตนเองไม่ดี แต่นางไม่คิดจะสร้างชื่อเสียงที่ดีอยู่แล้ว เหมือนดั่งที่นางพูด เวลานี้นางมีแค่ตัวคนเดียว ไม่เพียงต้องมีชีวิตอยู่ นางยังต้องปกป้องคนในตระกูลที่ออกจากเมืองอู๋ไป นางไม่อาจเป็นคนดีเพียงเพราะต้องการชื่อเสียงดี…คนดีอยู่ยาก
“ข้ารักษาคนอาศัยฝีมือไม่ได้อาศัยชื่อเสียง” นางพูด “แค่เพียงข้าช่วยคนได้ ย่อมต้องมีคนมาขอความช่วยเหลือ เมื่อข้าสัมผัสกับผู้อื่นมากขึ้น พวกเขาก็คงไม่คิดว่าข้าดุแล้ว”
นางยิ้มให้หญิงชายที่ขายชา
“เหมือนดั่งท่านยายในเวลานี้ ท่านยังคิดว่าข้าดุอีกหรือ”
ย่อมไม่ หญิงชราขายชายิ้มขึ้นมา ไม่เพียงไม่ดุ นางยังเป็นหญิงสาวที่ทำให้คนรักใคร่…เพียงแต่ต้องดูว่านางอยากให้อีกฝ่ายรักใคร่หรือไม่
ทั้งสองคนสนทนากันโดยมีถนนขวางกั้น ทันใดนั้นมีเสียงเกือกม้าดังขึ้น มีคนกำลังเดินทางมา!
หญิงชราขายชาเห็นเฉินตันจูลุกขึ้นยืน นางจึงรีบพุ่งตัวออกมา
“คุณหนูตันจู…ข้าเอง!” นางพูด ก่อนจะทักทายคนที่ขี่ม้าเดินทางมา “ชาต้มจากน้ำในหุบเขา…ดับร้อนคลายกระหาย…ท่านพักดื่มสักชามก่อนหรือไม่…ด้านหน้าเดินไปอีกยี่สิบลี้ก็ถึงเมืองแล้ว…”
คนที่เดินทางมามีทั้งหมดสามคน เหล่าชายหนุ่มบนหลังม้าเปรอะเปื้อน ถึงแม้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่อากาศยังคงร้อนอบอ้าว เดินทางยากลำบาก เมื่อได้ยินว่าน้ำจากหุบเขา คนทั้งสามก็รู้สึกกระหายขึ้นมา อีกทั้งเมื่อได้ยินว่าห่างจากตัวเมืองไม่ไกลนัก แต่ก็ยังต้องเดินทางอีกสักพัก…สู้นั่งพักดื่มน้ำ จากนั้นเข้าเมืองอย่างกระปรี้กระเปร่าเสียดีกว่า
ทั้งสามคนผ่อนความเร็วลง
“เอาชาหนึ่งกา” ชายหนุ่มที่นำหน้าพูด ก่อนจะกระโดดลงมา “ม้าก็ต้องการน้ำ”
หญิงชราขายชาตอบรับอย่างดีใจ พลันชี้ไปยังตอไม้ด้านข้าง “ผูกม้าไว้ที่หินตรงนั้นได้ น้ำข้าเพิ่งไปตักมาจากในหุบเขาเมื่อเช้า”
ทั้งสามคนผูกม้าเอาไว้ สายตาจับจ้องไปยังฝั่งตรงข้าม…เพิงเล็กที่มีม่านบางตกทอดลงมาอย่างสวยงาม ด้านในมีหญิงงามคนหนึ่งนั่งอยู่ ด้านข้างมีสาวรับใช้สองคนกำลังพูดเล่นเสียงเบา
เที่ยวเล่นกลางเขายังพกเพิงมาด้วย? เดินเหนื่อยสามารถพักผ่อนได้ทุกเวลา?
เมื่อเห็นพวกเขามองมา สาวงามนั้นโบกมือให้พวกเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีสมุนไพรคลายร้อนถอนพิษ มอบให้พวกท่าน”
สมุนไพร? มอบให้?
ทั้งสามคนผงะ เพราะเหตุใด
“ร้านยาเปิดใหม่แห่งอารามดอกท้อ พวกข้ามอบยาให้” อาเถียนเดินยิ้มออกมา “คุณหนูของพวกข้ารักษาได้ หากพวกท่านไม่สบายในส่วนใด คุณหนูของพวกเราดูให้ได้”
ร้านยา? รักษา? คุณหนูรักษารึ? ทั้งสามคนผงะอีกครั้ง ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะนึกขึ้นมาได้
“ท่านพี่ คนที่พวกเราเจอระหว่างทาง เกลี้ยมกล่อมให้เราเปลี่ยนทางเมื่อได้ยินว่าพวกเราจะเดินทางนี้ บอกว่าใต้เชิงเขาภูเขาดอกท้อมีโจร บังคับให้คนรับยา อย่าได้เดินผ่านทางนี้…” เขาพูดเสียงเบา “ไม่ได้หมายถึงนางใช่หรือไม่”
ดูอย่างไรก็ไม่ใช่โจร
“ทุกท่าน เข้ามาดื่มชาก่อนเถิด” หญิงชราขายชารีบเรียกขาน ก่อนจะโบกมือต่ออาเถียน “ให้แขกได้ดื่มน้ำชาพักผ่อนก่อน มีอย่างที่ไหนเจอหน้ากันก็หาว่าคนอื่นไม่สบาย” ครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้น “เจ้านำยามาให้แขกได้ดู” ก่อนจะบริการแขก “ชาเสร็จแล้ว พวกท่านนั่งพักก่อน…”
คำทักทายของหญิงชราทำให้แขกทั้งสามไม่มีเวลาคิดมาก พวกเขาเดินเข้าไปนั่งดื่มน้ำชา อาเถียนหยิบยาข้ามมาสามห่อ
“เหล่านี้คือสมุนไพรที่พวกข้าเก็บมาจากบนเขา” นางอธิบายให้ทั้งสามคนฟังอย่างตั้งใจ “คุณหนูใช้วิธีการลับในการแช่ คนที่ร่างกายอ่อนแอหรือไม่อยากกินข้าว ใช้น้ำร้อนต้มดื่มสองครั้งก็สามารถบรรเทาอาการได้ โดยเฉพาะใช้กับเด็กที่สำลักอาหาร”
ทั้งสามคนมองห่อยาด้านหน้า
“พวกท่านลองเอาไปใช้ดู” อาเถียนพูด “ไม่ต้องให้เงิน ร้านยาของอารามดอกท้อเปิดใหม่ พวกข้าแค่ต้องการสร้างชื่อเสียง”
นางชี้ไปยังกระดาษสีแดงบนห่อยาที่เขียนว่าอารามดอกท้อ
ทั้งสามคนลังเลเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า “ขอบคุณมาก”
ในที่สุดก็มอบยาออกไปได้ อาเถียนดีใจเป็นอย่างยิ่ง “พวกท่านต้องให้คุณหนูจับชีพจรหรือไม่ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
คุณหนูท่านนั้นหรือ ทั้งสามคนมองไปทางนั้น อายุน้อยเพียงนี้ ถึงแม้จะเรียนตั้งแต่เกิด แต่ตำราแพทย์สิบกว่าเล่มที่พบเห็นได้ทั่วไปก็ยังคงอ่านไม่หมด แปลกประหลาด…
พวกเขาส่ายหัว “พวกเรายังต้องเดินทาง…”
หญิงชราขายชาเดินเข้ามาไล่อาเถียน “เอาล่ะ คนอื่นหากไม่สบายย่อมต้องไปหาไต้ฟู หากไม่หาก็คือไม่เป็นอะไร”
ต้องหยุดในช่วงเวลาที่พอดี อย่าได้ทำให้คนตกใจกลัว
“ทุกท่านมาจากต่างเมือง?” นางพูดกับแขกทั้งสาม เบี่ยงเบนประเด็น “มาค้าขายหรือว่ามาเที่ยวเล่น”
เมื่อเทียบกับการรักษากินยา ทั้งสามคนยินดีที่จะตอบคำถามนี้เสียมากกว่า
“พวกข้ามาฟังธรรม” คนหนึ่งพูด “ไปวัดถิงอวิ๋น ท่านยายรู้จักวัดถิงอวิ๋นหรือไม่”
หญิงชราขายชาตอบ “ย่อมต้องรู้ วัดนี้มีอายุพันปีแล้ว…ฟังธรรมอะไร”
นางถามด้วยความสงสัย วัดถิงอวิ๋นเป็นวัดที่มีชื่อเสียง อีกทั้งอยู่มานานกว่าพันปี คนที่ไปส่วนใหญ่ก็ไปเพื่อไหว้พระ
“อาจารย์จื้อฮุ้ยจะถ่ายทอดธรรมเป็นเวลาสามวัน” อีกคนพูด “เป็นเนื้อหาตำราทางธรรมที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ในวัดถิงอวิ๋น ไม่เคยปรากฏต่อโลกมาก่อน ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากมาฟัง ได้ยินว่าฮ่องเต้ก็เดินทางไป”
หญิงชราขายชาไม่รู้เรื่องสิ่งนี้ แต่เหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ที่คึกคัก เช่นนั้นคนที่ผ่านไปมาคงมีมากขึ้น
อาเถียนเดินกลับไปหาเฉินตันจูด้วยความดีใจ “เรื่องใหญ่อันแสนคึกคักเพียงนี้ คนที่ผ่านไปมาคงมีมาก”
โอกาสการรักษาของพวกนางจึงมีมากขึ้น
เฉินตันจูไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ นางกำลังคิดว่าในที่สุดอาจารย์จื้อฮุ้ยแห่งวัดถิงอวิ๋นก็ลงมือเสียที เรื่องการอพยพเมืองหลวงจะประกาศออกมาแล้ว
ต่อจากนี้อีกหลายวัน คนบนท้องถนนจึงมีมากขึ้น ถึงแม้ยังคงไม่มีผู้ใดกล้าให้เฉินตันจูรักษา แต่พวกเขาก็รับยาที่อาเถียนส่งมาให้เอาไว้
พวกเขาสนทนากันภายในโรงน้ำชาของหญิงชราขายชา
“ได้ยินหรือไม่ คนผู้นี้ที่ขวางทางคนอื่นเพื่อรักษาโรค”
“ตอนที่เดินผ่านอย่าได้ป่วยเด็ดขาด หากนางเห็นว่าป่วย ไม่รักษาโรคก็อย่าหวังได้จากไป”
“ฟังดูแล้วเป็นเรื่องดี มีโรคย่อมต้องรักษา”
“เจ้าพูดง่าย ยังไม่ต้องคำนึงว่านางจะรักษาได้หรือไม่ หากรักษาได้ เจ้าต้องจ่ายค่ารักษาเป็นครึ่งหนึ่งของสมบัติที่เจ้ามี! มิฉะนั้นตกดึกคงมีคนเยี่ยมเยือนถึงหน้าประตู
“ช่างเป็นการขวางทางเพื่อรักษาโรคจริงๆ…ไม่มีผู้ใดสนใจหรือ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร นางคือเฉินตันจูที่ข่มขู่ท่านอ๋อง ต้อนรับฮ่องเต้ บีบบังคับจางเหม่ยเหริน ขับไล่ขุนนางเมืองอู๋! ผู้ใดจะกล้าสนใจ”
หากไม่มีโรคก็ไม่ต้องกังวลใช่หรือไม่”
“ใช่ ดังนั้นต้องระวังตัวเมื่อเดินผ่าน อย่าได้เป็นอะไรเด็ดขาด”
คำพูดเหลวไหลแปลกประหลาดในโรงน้ำชามีมากขึ้น หญิงชราขายชาฟังด้วยอารมณ์ทั้งโกรธทั้งขำ เอาเถิด นางไม่คาดหวังที่จะได้ยินคำพูดที่พูดถึงเฉินตันจูในทางที่ดี
เฉินตันจูยิ่งไม่สนใจ ไม่ว่าจะแปลกประหลาดเพียงใด ทุกคนรู้แค่เพียงนางเปิดการรักษาบริเวณนี้ก็พอ ย่อมต้องมีคนร้อนใจขอความช่วยเหลือ…
หลายวันนี้นางให้จู๋หลินพาอาเถียนไปฟังธรรมของอาจารย์จื้อฮุ้ย แน่นอนว่าอาเถียนฟังไม่เข้าใจ แต่นางก็ได้ยินเรื่องที่น่าสนใจ อาทิอาจารย์จื้อฮุ้ยค้นพบตำราธรรมเล่มนี้ได้อย่างไร
มีค่ำคืนวันหนึ่งอาจารย์จื้อฮุ้ยนอนหลับ เขาฝันถึงพระพุทธเจ้าประกายแสงสีทอง พระพุทธเจ้าบอกว่าตนเองหลับใหลไปกว่าพันปี เวลานี้นอนไม่ได้เนื่องจากมีผู้ศักดิ์สิทธิ์เดินทางมา แม้แต่พื้นดินยังสั่นสะเทือน
อาจารย์จื้อฮุ้ยตื่นมาด้วยความฉงน จากนั้นมีเณรเล็กวิ่งมาบอกว่า เจดีย์หลังหนึ่งด้านหลังพังทลายลง ด้านในมีกล่องหนึ่งใบ
เจดีย์นี้มีอยู่ตั้งแต่ตอนสร้างวัด ไม่มีผู้ใดรู้ว่าด้านในซ่อนอะไรเอาไว้ อาจารย์จื้อฮุ้ยรีบเปิดออก ก่อนจะพบตำราธรรม เป็นตำราธรรมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากเล่มแปลแล้ว ยังมีเล่มจริงที่นำกลับมาจากเทียนจู๋…ไม่เปื่อยแม้ผ่านไปพันปี
อาจารย์จื้อฮุ้ยศึกษาอยู่สิบวันก่อนจะบรรลุ เวลานี้ต้องการถ่ายทอดให้ทุกคนฟัง จากนั้นฮ่องเต้ก็มาฟัง ฟังจบก็บรรลุในทันที จากนั้นบอกว่าจะอพยพเมืองหลวงมา
ทั้งเมืองอู๋ตกอยู่ในความฮึกเหิม
“แต่ละที่ล้วนเต็มไปด้วยผู้คน ขาเข้าออกเมืองยังต้องเบียด เกือบเข้าไปไม่ได้ออกมาก็ไม่ได้”
เฉินตันจูยิ้ม “ไม่เป็นไร มีจู๋หลินอยู่ ย่อมต้องเข้าออกปลอดภัย”
ก็จริง อาเถียนยิ้มให้จู๋หลิน จู๋หลินหลุบตาต่ำ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เดินจากไป ราวกับกำลังลังเล
“จู๋หลิน มีเรื่องอะไร” เฉินตันจูมองออกจึงถามขึ้น
จู๋หลินเงยหน้าขึ้น “ท่านแม่ทัพจะไปแล้ว”