บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 464 บริบูรณ์
เมื่อหิมะแรกของซีจิงมาเยือน ข่าวการพระราชทานงานอภิเษกก็ถูกส่งมาจากเมืองหลวง ในเวลาเดียวกันเฉินเลี่ยหู่ก็บุกรุกเข้าใกล้ราชวังของซีเหลียงแล้ว
ท่านอ๋องซีเหลียงยอมรับความผิด องค์รัชทายาทซีเหลียงตัดหัวของท่านอ๋องฉีองค์ก่อน ถึงแม้กระนั้น องค์รัชทายาทก็จำเป็นต้องเดินทางไปเมืองหลวงในฐานะตัวประกัน
เมื่อข่าวถูกส่งมา ราชสำนักเฉลิมฉลอง มอบรางวัลให้แก่องค์หญิงจินเหยาและเฉินเลี่ยหู่
หลังจากขุนนางของราชสำนักมาถึง พวกเขาและองค์หญิงจินเหยายืนต้อนรับการกลับมาของกองทัพของเฉินเลี่ยหู่อยู่ที่หน้าประตูเมืองซีจิง
คนตระกูลเฉินก็อยู่ท่ามกลาง
“ท่านพี่” เฉินตันจูพลางรอคอย พลางกระซิบกับเฉินตันเหยียน “ฉู่อวี๋หยงบอกว่าเริ่มแรกบรรดาขุนนางเสนอให้รอท่านพ่อได้รับชัยชนะก่อนค่อยออกพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษก เขาไม่ยอม คิดว่าการทำเช่นนี้เป็นการดูถูกท่านพ่อและดูถูกข้า”
เมื่อเห็นท่าทางได้ใจของนาง ในที่สุดเฉินตันเหยียนก็สัมผัสได้ถึงความเหิมเกริมของคุณหนูตันจูในเมืองหลวงได้เล็กน้อยแล้ว
บรรดาขุนนางเอ่ยเช่นนี้ถือว่าเกรงใจมากแล้ว ก่อนหน้านี้องค์ชายหกเป็นเพียงองค์ชายหกก็แล้วไป ทุกคนไม่สนใจว่าเขาจะอภิเษกกับผู้ใด หรือแม้กระทั่งได้ยินฮ่องเต้พระราชทานงานอภิเษกของเฉินตันจูกับองค์ชายหก ทุกคนยังดีใจอย่างมาก คิดว่ามันเป็นการควบคุมเฉินตันจู
แต่ผู้ใดจะคิดว่าเพียงชั่วพริบตา องค์รัชทายาทถูกปลด องค์ชายห้าสิ้นพระชนม์ องค์ชายสามมีใจกบฏ วิญญาณแม่ทัพหน้ากากเหล็กปรากฏตัวแต่งตั้งองค์ชายหกเป็นองค์รัชทายาท…แต่เรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเล่าในหมู่สามัญชน บรรดาขุนนางไม่มีทางเชื่อ
พวกเขาสามารถเข้าใจสาเหตุที่ฮ่องเต้ทรงไม่สนพระทัยเรื่องเล่านี้ โอรสสวรรค์ในอนาคต ย่อมต้องมีเรื่องเล่าที่พิสดาร
ที่กล่าวมาข้างต้นไม่ใช่การคาดเดาของเฉินตันเหยียน หยวนไต้ฟูมักจะบอกการเคลื่อนไหวในเมืองหลวงให้นางฟัง อีกทั้งยังเตือนนาง “อย่าบอกคุณหนูตันจู มิเช่นนั้นนางจะกังวล”
คุณหนูตันจูจะกังวลได้อย่างไร ฟังจากสิ่งที่นางพูดเถิด
“เจ้ารู้เจตนาของเขาก็พอ” เฉินตันเหยียนพูด พลันตำหนิ “อย่าเรียกชื่อเขา”
เวลานี้ฉู่อวี๋หยงเป็นองค์รัชทายาทแล้ว การเอ่ยนามเป็นการหยามเกียรติ
เฉินตันจูหัวเราะคิกคัก “ข้าแค่เรียกให้ท่านกับเขาฟัง” เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล็ก นางจับมือของเฉินตันเหยียน พูดต่อด้วยใบหน้าดีใจ “แต่ว่าท่านพ่อสร้างความดีความชอบในเวลานี้ ไม่ได้เป็นการใช้ความดีความชอบนี้ในการอาจเอื้อม หากแต่เป็นการส่งเสริมงานอภิเษกในคราวนี้ ดูผู้ใดจะบังอาจดูถูกท่านพ่ออีก”
เฉินตันเหยียนมองนาง พลางพูดเสียงเบา “ฉู่อวี๋หยงกังวลว่าเจ้าจะถูกคนเหยียดหยาม ท่านพ่อก็กังวลใจ ดังนั้นท่านย่อมต้องรีบทำความดีความชอบครั้งใหญ่ เพื่อสร้างเสริมเกียรติให้ตันจูของพวกเรา”
เฉินตันจูพิงอยู่บนหัวไหล่ของพี่สาว พลันถูไปถูมา “ความจริงแล้วการที่มีพวกท่านอยู่ก็เป็นการเติมเต็มเกียรติที่ใหญ่ที่สุดให้ข้า”
ความปรารถนาเดียวของนางก็คือคนทั้งครอบครัวมีชีวิตอยู่ ไม่คิดว่าไม่เพียงคนทั้งครอบครัวจะยังมีชีวิตอยู่ แต่นางยังได้แต่งงานด้วย
การอภิเษกกับฉู่อวี๋หยง หรือแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
เมื่ออดีตชาติ การพบปะเพียงหนึ่งเดียวของนางกับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก…ฉู่อวี๋หยงก็คือได้ยินชื่อของเขาก่อนตาย
นางไม่คิดว่า เมื่อเกิดใหม่ในชาตินี้จะได้อภิเษกกับคนผู้นี้
เฉินตันเหยียนมองน้องสาวถูไถไปมาอยู่บนหัวไหล่ ทั้งอ่อนนุ่มทั้งน่าเอ็นดู ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ท่านแม่ทัพเฉินมาแล้ว!”
ด้านหน้ามีคนตะโกนขึ้นมา เฉินตันเหยียนและเฉินตันจูสองพี่น้องรีบมองไปด้านหน้า ก่อนจะพบกับกองทัพใหญ่ที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาจากระยะไกล
“ตันจู ตันจู” องค์หญิงจินเหยาตะโกน พลันกวักมือให้นาง “รีบไปรับบิดาของเจ้า”
เฉินตันจูยิ้มให้เฉินตันเหยียน พลันปล่อยมือของพี่สาว พลิกตัวขึ้นม้าตัวน้อย มุ่งหน้าสู่กองทัพใหญ่
…
ตั้งแต่ฤดูร้อนถึงฤดูหนาว บนทางหลวงของซีจิงและเมืองหลวงวุ่นวายอย่างไม่ขาดสาย ความแตกต่างคือครึ่งแรกเป็นข่าวร้าย ครึ่งหลังล้วนเป็นข่าวดี
หลังจากขบวนการคุมตัวองค์รัชทายาทซีเหลียงกลับเมืองหลวงขององค์หญิงจินเหยาแล้ว ขบวนที่ยิ่งใหญ่กว่าของต้าเซี่ยก็เดินทางมาถึง องค์รัชทายาทอภิเษก
แต่ว่าเมื่อเทียบกับความดีใจก่อนหน้านี้ คราวนี้ไม่ว่าจะเป็นสามัญชนธรรมดาหรือว่าตระกูลใหญ่ล้วนมีอารมณ์ที่ซับซ้อน…โดยเฉพาะตระกูลใหญ่
เฉินตันจูกลายเป็นพระชายาองค์รัชทายาท อีกทั้งยังจะกลายเป็นฮองเฮาในทันที…ฮ่องเต้ทรงอาละวาดจะสละราชตำแหน่งหลายครั้งแล้ว บรรดาขุนนางทำได้เพียงทูลขอเป็นเวลานั้นจึงยอมตกลงที่จะรอหลังจากองค์รัชทายาทอภิเษก
คนอย่างเฉินตันจูเป็นฮองเฮา ชีวิตของทุกคนต่อจากนี้เพียงแค่คิดก็รู้แล้ว…เฉินตันจูอยากโบยผู้ใดยิ่งโบยได้ตามใจมากขึ้น
บรรยากาศในเมืองหลวงนับวันยิ่งตึงเครียดขึ้น คนที่เดินทางไปมาบนถนนล้วนอกสั่นขวัญแขวน บรรดาสตรีชั้นสูงในเมืองหลวงยิ่งไม่กล้าออกจากจวน
“งานอภิเษกนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุในเวลานั้น” ขุนนางบางคนส่ายหน้า “ในเมื่อองค์ชายหกจะทรงเป็นองค์รัชทายาทแล้ว งานอภิเษกก็สมควรเจรจาใหม่”
มีขุนนางบางส่วนเสนอวิธีที่เหมาะสมยิ่งกว่า “แต่ว่าในเมื่อมีฝ่าบาทพระราชทานงานอภิเษก เฉินตันจูก็ยังคงสามารถอภิเษกกับองค์รัชทายาทเป็นพระสนมรองได้ แต่ฮองเฮายังคงต้องคัดเลือกอย่างระมัดระวัง คัดเลือกสตรีชั้นสูงที่มีคุณธรรม เหมาะสมที่จะเป็นมารดาของแผ่นดิน”
เสียงของเขายังไม่ทันสิ้นสุดก็ได้ยินคนหัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา “ภาระหน้าที่สำคัญอย่างมารดาของแผ่นดิน ไม่ใช่เพียงแค่มีคุณธรรมก็เพียงพอ”
บรรดาขุนนางที่นั่งดื่มชาในห้องหันหน้าไปมองตามเสียง เห็นขุนนางหนุ่มหน้ายาวเดินเข้ามา รูปลักษณ์ของเขาไม่ได้งดงาม เมื่อยิ้มก็ทำให้คนรู้สึกสีหน้าไม่เป็นมิตร…ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสีหน้าที่ไม่เป็นมิตรจริงๆ ของเขาในเวลานี้
แต่ไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกขุนนางผู้นี้ พันหยงผู้นี้มีชาติกำเนิดจากสามัญชน ได้รับราชการจากการแต่งตั้งของฝ่าบาท เขาแทนตัวเองว่าเป็นศิษย์ของโอรสสวรรค์ รับหน้าที่เป็นขุนนางผู้ควบคุมดูแลในราชสำนัก ไม่ว่าผู้ใดเขาก็กล้าตำหนิต่อว่า ขุนนางจำนวนไม่น้อยไม่ชื่นชอบเขา แต่คนผู้นี้มีความรู้มาก หากโต้เถียงกันด้วยเหตุผล แม้จะมียี่สิบคนก็ไม่อาจถกเถียงสู้เขาคนเดียวได้
พันหยงอาศัยปากของเขาเจริญก้าวหน้า อีกทั้งยังได้รับชื่อเสียงที่ดีในหมู่สามัญชน ช่างทำให้คนไร้ซึ่งหนทาง
แต่ว่าเรื่องที่เขาพูดในวันนี้ช่างเข้าหู
อืม พันหยงผู้นี้ก็ราวกับมีความบาดหมางกับเฉินตันจู…ว่ากันว่าตอนนั้นเขาเสนอตัว แต่ถูกเฉินตันจูขับไล่ออกมาเพราะรังเกียจความอัปลักษณ์
เมื่อเฉินตันจูเป็นฮองเฮา ต่อจากนี้เขาจะยังมีชีวิตที่ดีได้หรือ
“ใต้เท้าพัน!” ทุกคนต่างทักทาย คราวนี้พวกเขาแสดงความกระตือรือร้นด้วยความจริงใจ “ท่านว่าคนอย่างไรจึงจะแบกรับภาระหน้าที่อันหนักอึ้งอย่างมารดาแห่งแผ่นดินได้”
พันหยงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่เพียงต้องมีคุณธรรม สิ่งสำคัญคือต้องมีความฉลาดเฉลียว ไม่หลงใหลในความร่ำรวย ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจ มีความกล้าหาญ มีกลอุบาย ตัดสินเรื่องต่างๆ ได้อย่างดี แต่ย่อมต้องมีความเห็นใจต่อสรรพสิ่ง”
ทุกคนต่างปรบมือ “ถูกต้อง”
“นี่ถึงจะเป็นสตรีอันดับหนึ่ง”
“เช่นนี้ย่อมสามารถรับหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ต่อแผ่นดิน”
“ใต้เท้าพัน” คนผู้หนึ่งสนับสนุนด้วยความคาดหวัง “ท่านทูลต่อฮ่องเต้ให้พระองค์ทรงหาสตรีเช่นนี้ให้องค์รัชทายาท”
หากพันหยงเป็นแกนนำ ย่อมทำให้ฮ่องเต้และองค์รัชทายาททรงไตร่ตรองใหม่ได้…
“เหตุใดข้าต้องไปตามหา” พันหยงมองเขา “องค์รัชทายาททรงตามหาเองจนเจอแล้ว”
หาเจอแล้ว? ทุกคนต่างผงะ องค์รัชทายาทมีคนที่ถูกพระทัยแล้ว?
ใบหน้ายาวของพันหยงยิ้มบาง “คุณหนูตันจู”
ทุกคนต่างกะพริบตา คิดว่าตนเองหูฝาด
“แต่ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้พูดเช่นนี้ ทั้งที่ท่านพูดเงื่อนไขมากมาย…”
พันหยงมองพวกเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “สิ่งที่ข้าพูดก็คือคุณสมบัติทั้งหมดของคุณหนูตันจู ดังนั้นบนแผ่นดินนี้ มีเพียงนางที่จะแบกรับตำแหน่งมารดาของแผ่นดินได้”
สีหน้าของทุกคนผงะ ฟังดูเถิด สิ่งที่พันหยงพูดถูกต้องหรือ มีความฉลาดเฉลียว ไม่หลงใหลในความร่ำรวย ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจ มีความกล้าหาญ มีกลอุบาย ตัดสินเรื่องต่างๆ ได้อย่างดี แต่ย่อมต้องมีความเห็นใจต่อสรรพสิ่ง…มีคำใดที่เกี่ยวข้องกับเฉินตันจูบ้าง
เขาตาบอดใช่หรือไม่
“ฝ่าบาททรงเลือกพระชายาเช่นนี้ให้องค์รัชทายาทเป็นเรื่องที่น่ายินดีของต้าเซี่ย” พันหยงยกมือคารวะ ก่อนจะทำสีหน้าเย็นชาต่อทุกคน “พวกเจ้าอย่าได้ดูหมิ่นพระชายาองค์รัชทายาทลับหลังเป็นดีที่สุด เพราะมันเป็นการดูหมิ่นฮ่องเต้”
พูดพลางสะบัดแขนเดินออกไป
ทุกคนต่างตกตะลึง…พันหยงเสียสติไปแล้วหรือ! เขายกยอเฉินตันจูถึงเพียงนี้!
มีคนคาดเดาความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา บางทีเขาอาจไม่ได้เสียสติ
คนผู้นั้นมองทุกคน พลันกดเสียงต่ำ “แต่ยังมีเยื่อใยต่อเฉินตันจู”
หลังจากที่ทุกคนผงะไปก็ยิ่งตกตะลึง…เขายิ่งเสียสติไปกันใหญ่ เขากำลังหาที่ตาย องค์รัชทายาทไม่ประหารเขาหรือ…อืม สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างประหลาด
เมื่อคิดเช่นนี้ก็ราวกับไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
พวกเขาไม่จำเป็นต้องอาละวาดในเวลานี้ ทำให้พันหยงใส่ร้ายว่าพวกเขาดูหมิ่นฮ่องเต้ พวกเขาเพียงแค่รอเฉินตันจูอภิเษกกับองค์รัชทายาท จากนั้นพันหยงกับเฉินตันจูเช่นนี้เช่นนั้น สุดท้ายพันหยงถูกองค์รัชทายาทกำจัด!
ดีเลิศ!
บรรดาขุนนางในห้องคิดอย่างไร ฮ่องเต้ไม่ทรงสนพระทัย นับแต่องค์รัชทายาทกลับมา ฮ่องเต้ก็ทรงหายไป ว่ากันว่าพระองค์ประชวรอย่างหนัก ต้องทรงพักรักษาเป็นเวลานาน ส่วนองค์รัชทายาทฉู่อวี๋หยง เวลานี้เขาสนใจเพียงเรื่องเดียว…เฉินตันจูจะเดินทางถึงเมื่อใด
“คำนวณจากเวลาก็สมควรถึงแล้ว” ฉู่อวี๋หยงจ้องมองแผนที่ในตำหนัก
บนแผนที่มีเส้นทางเพียงหนึ่งเดียวคือจากซีจิงถึงเมืองหลวง
หวังเจียนพูดเสียดสีอยู่ด้านข้าง “เรื่องของคุณหนูตันจูไม่อาจคาดการณ์ได้ ไม่แน่ว่าเดินมาถึงครึ่งทางก็กลับใจอีกแล้ว”
ฉู่อวี๋หยงไม่สนใจเขา แต่เฟิงหลินวิ่งเข้ามาจากด้านนอกอย่างรีบร้อน
“องค์รัชทายาท คุณหนูตันจูนาง...” สีหน้าของเขากังวลเล็กน้อย
หวังเจียนหัวเราะออกมา เขาพูดถูกอีกแล้วหรือ
ฉู่อวี๋หยงมองเฟิงหลินพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คุณหนูตันจูเข้าเมืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฟิงหลินหอบหายใจพลางพูด
หวังเจียนเบ้ปากพลันนั่งกลับไป
“แต่คุณหนูตันจูเดินทางไปถึงวัดถิงอวิ๋น นางสั่งให้หยุดแล้วเข้าวัดไปแล้ว” เฟิงหลินพูดต่อ
เวลานั้นจู๋หลินเกลี้ยกล่อมคุณหนูตันจูแล้ว อยากเข้าวัดไปวันอื่นก็ได้ องค์รัชทายาททรงรอท่านอยู่ เหตุใดต้องไปเวลานี้
แน่นอน คุณหนูตันจูย่อมไม่ฟังคำพูดของจู๋หลิน
หวังเจียนหัวเราะร่า “สุดยอด คุณหนูตันจูไม่ได้ต้องการออกเรือน หากแต่ต้องการออกบวชแล้ว”
ฉู่อวี๋หยงหัวเราะกับคำพูดของเขา “นางจะไปออกบวชในวัดถิงอวิ๋นได้อย่างไรกัน!”
หวังเจียนลูบเครา “ผู้ใดจะรู้ อยากออกบวชที่ใดก็บวชได้”
ฉู่อวี๋หยงไม่สนใจเขา ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าเฉินตันจูไม่มีทางกลับใจอีก แต่ก็ยังอดก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอกไม่ได้ “ข้าจะไปรับนางที่วัดถิงอวิ๋น”
…
วัดถิงอวิ๋นในฤดูหนาวกว้างใหญ่และน่าเกรงขาม อุโบสถด้านหน้าตลบอบอวลไปด้วยควันธูป ภายในห้องโถงฉานซือที่อุโบสถด้านหลังนั้นกลับเคร่งขรึม
ด้านหน้าห้องโถงฉานซือวางกระดานหมากอยู่กระดานหนึ่ง อาจารย์ฮุ้ยจื้อกำลังลงหมากแข่งกับฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้สวมชุดหนาในฤดูหนาวหรือว่าอ้วนขึ้น แต่หลังจากที่ลงหมากหนึ่งไปแล้ว เขาก็ชะเง้อตัวด้วยความว่องไว จับหมากเอาไว้ “ข้าวางผิด เอาใหม่”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อจับข้อมือของเขา “ฝ่าบาท ลงหมากแล้วไม่อาจกลับใจได้”
ฮ่องเต้ถลึงตาใส่เขาพลันตะโกน “ข้าเป็นฮ่องเต้!”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อระอาเล็กน้อย “ฮ่องเต้ก็ไม่ได้…”
“บังอาจ เจ้ากำลังต่อต้านข้า!” ฮ่องเต้ทรงโกรธขึ้นมาทันที สีหน้าของเขาดำทะมึน
อาจารย์ฮุ้ยจื้อไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย “เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงโกรธง่ายขึ้น ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่ามีขุนนางบางคนกลัวจนแสร้งป่วยไม่กล้าเข้าประชุมในท้องพระโรงแล้ว”
ฮ่องเต้ตะโกนด้วยความโกรธ “ขุนนางโง่เขลาเหล่านั้น หากกล้าเข้าประชุมในท้องพระโรง ข้าจะตัดหัวพวกเขา”
คำพูดนี้ฟังดูยิ่งน่ากลัว แต่อาจารย์ฮุ้ยจื้อกลับหัวเราะขึ้นมา เฮ้อ หากจะประหารจริง ไม่กล้าเข้าประชุมในท้องพระโรงก็สามารถลากพวกเขาออกมาจากจวนได้ หางตาของเขาเหลือบเห็นฮ่องเต้พลางตรัสด้วยเสียงโกรธเคือง แต่มือกลับขยับหมากบนกระดานอย่างคล่องแคล่ว!
“ฝ่าบาท!” อาจารย์ฮุ้ยจื้อก็ตะโกนด้วยความโกรธ เขาจับมือของฮ่องเต้เอาไว้
“อาจารย์…” เสียงตะโกนดังยิ่งกว่าปรากฏขึ้นในลาน “แย่แล้ว แย่แล้ว!”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อไม่ชอบคนที่ตื่นตระหนกเมื่อประสบกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ในฐานะพระสงฆ์ของวัดหลวงจะทำตัวน่าอายเช่นนี้ได้อย่างไร!
เขามองลูกศิษย์ที่วิ่งเขามา พลันตำหนิทันที “ไร้มารยาท! วัดหลวงมีสิ่งใดแย่กัน!”
ลูกศิษย์รีบยืนนิ่ง ชี้ไปด้านนอกอย่างตะกุกตะกัก “เฉิน เฉินตันจูมาแล้ว”
ทันทีที่สิ้นเสียง ก็เห็นฮ่องเต้ที่เดิมทีจะชะเง้อตัวไปหยิบหมากเอนลงบนเก้าอี้ พลันโอดครวญ “นางมาได้อย่างไร ข้าปวดหัว!”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อยืนขึ้น
“เฉินตันจู! เวลานี้นางมาทำอันใด ตอนนี้…” เขาพูดอย่างกังวล จากนั้นมองไปทางฮ่องเต้
ฮ่องเต้ถูกอาจารย์ฮุ้ยจื้อมองจนขนลุก แต่เขาไม่น่าเกรงขามเหมือนก่อนหน้านี้ หากแต่พูดด้วยท่าทางอ่อนแอ “เหตุใดจึงมองข้า เวลานี้ข้าบาดเจ็บหนัก ไม่พบผู้ใดทั้งนั้น…เฉินตันจูยิ่งไม่พบ หากพบนาง ข้าต้องโกรธจนตายทันที”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อหลุดหัวเราะ เขารีบกำชับลูกศิษย์และขันทีจิ้นจงที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เร็วเข้าๆๆ ไปห้องของข้า ข้ากับฝ่าบาทหลบ…ไม่ใช่ ไปปิดประตูลงกลอน ไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น”
ฮ่องเต้เห็นด้วยกับความคิดนี้ เขาไม่ทันแม้แต่จะนั่งเกี้ยว ลุกขึ้นเดินไปเองอย่างเร่งรีบ ขันทีจิ้นจงทำได้เพียงพยุงเขาเอาไว้
เพียงชั่วพริบตา ลานด้านหลังก็ไร้ซึ่งผู้คน
…
ฉู่อวี๋หยงยืนอยู่ในวัดถิงอวิ๋นด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ
ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเมื่อเขาลงสนามรบเป็นครั้งแรก
เขารู้ว่าตนเองอยู่ในวัดถิงอวิ๋น แต่วัดถิงอวิ๋นนี้ไม่ใช่วัดถิงอวิ๋นที่เขารู้จัก
ข้างกายเขามีเงานับไม่ถ้วนกำลังปะทะกัน
นรกหรือ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาก็มีผีหรือ
ฉู่อวี๋หยงอยากพูด แต่เขาไม่อาจส่งเสียงได้ เขามองอุโบสถใหญ่ด้านหน้า สัญชาตญาณบอกให้เขาเดินไปทางนั้น
มีเงาของสองคนกลิ้งผ่านหน้าเขาไป ฉู่อวี๋หยงได้กลิ่นคาวเลือด เขาหลับตาสูดลมหายใจเข้า ตอนนั้นเขาลงสนามรบครั้งแรกเขายังไม่เคยกลัว บนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดทำให้เขากลัวได้
ฉู่อวี๋หยงลืมตาขึ้น ยกขาก้าวเท้าออกไป เขาก้าวผ่านท่ามกลางเงาที่กำลังปะทะกัน พลางฟังเสียงโอดครวญที่ดังอยู่ข้างหู เขาเดินมาถึงหน้าอุโบสถใหญ่ ขาของเขาก็หยุดลงอีกครั้ง ภายในอุโบสถใหญ่ก็มีเงาของสองคน…
แต่ไม่ได้กำลังปะทะกัน หากแต่นอนอยู่บนพื้นเพราะตายไปแล้ว
หญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง
พวกเขาต่างนอนคว่ำ ผมยาวปิดบังใบหน้า
แต่ฉู่อวี๋หยงรู้สึกว่าเขารู้จักสองคนนี้
เขายื่นมือไปพลิกร่างของชายผู้นั้น ใบหน้าของชายหนุ่มแปลกตาเล็กน้อย แต่กรอบหน้าก็คุ้นเคยอย่างมาก ไม่นานนักเขาก็นึกขึ้นมาได้ หลี่เหลียง!
หรืออาจเป็นหลี่เหลียงที่ไม่อ่อนเยาว์อีกต่อไป
หญิงสาวผู้นี้…
หน้าอกของฉู่อวี๋หยงขึ้นลงตามการหอบหายใจ จากนั้นเขาปัดเส้นผมของหญิงสาวออก ลมหายใจของเขาหยุดชะงักลงไปชั่วขณะ
ก่อนหน้านี้เขาพูดผิดไปแล้ว บนโลกนี้มีเรื่องที่เขากลัว
ตันจู…
“ฉู่อวี๋หยง!”
เสียงของหญิงสาวดังขึ้นจากด้านหลัง
ฉู่อวี๋หยงหันหน้าไปช้าๆ เขามองเห็นด้านนอกเงาเหล่านั้น มีหญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่ หญิงสาวกำลังยิ้มแย้มโบกมือให้เขา
เพียงชั่วพริบตาเงาตรงหน้าก็สลายหายไป
หญิงสาววิ่งมาทางเขา เข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาผิดปกติ หญิงสาวกังวลเล็กน้อย “เกิดเรื่องใดขึ้น”
ฉู่อวี๋หยงมองนาง ยื่นมือไปช้าๆ ลูบไล้ใบหน้าของนาง สัมผัสที่อ่อนนุ่ม…
“ฉู่อวี๋หยง มือของท่านเย็นมาก” เฉินตันจูพูดพลันจับมือของเขา ออกแรงถูไถ “ท่านกลัวความหนาวหรือ”
ฉู่อวี๋หยงมองนาง น้ำเสียงแข็งกระด้างเล็กน้อย “เจ้า…”
เฉินตันจูพูด “หม่อมฉันเดินทางผ่านวัดถิงอวิ๋น จึงอยากเข้ามาเยี่ยมอาจารย์ฮุ้ยจื้อ แต่หม่อมฉันตามหาเขาจนทั่วก็หาไม่เจอ” นางเบ้ปาก “หม่อมฉันรู้ว่าเขาซ่อนตัวเอาไว้อีกแล้ว ไม่รู้เขาเป็นอันใด มักจะหลบหม่อมฉันอยู่เสมอ”
บางทีอาจเป็นเพราะอาจารย์ฮุ้ยจื้อก็เห็นการปะทะของเงาเหล่านี้ รวมถึง…ฉู่อวี๋หยงมองที่พื้นอีกครั้ง หญิงสาวที่ถูกเปิดเผยใบหน้าครึ่งหนึ่งออกมายังนอนอยู่บนพื้น
ถึงแม้ใบหน้าของนางจะชราลง แต่เขาก็จำได้ว่าเป็นใบหน้าของเฉินตันจู
สีหน้าของนางซีดเผือด อีกทั้งยังมีปานแดงอย่างแปลกประหลาด บนใบหน้าและลำตัวล้วนเต็มไปด้วยบาดแผล
นางตายอย่างทรมานมากใช่หรือไม่
ฉู่อวี๋หยงฟังเสียงพูดเจื้อยแจ้วของหญิงสาวที่ดังอยู่ข้างหู เขายื่นมือไปกอดนางเอาไว้
เฉินตันจูไม่ทันตั้งตัว จมูกชนเข้ากับตัวเขา ก่อนจะถูกกอดเอาไว้จนแทบหายใจไม่ออก
“ฉู่อวี๋หยง ทำอันใดกัน” นางถามพลันกระแอมไอ ก่อนจะหัวเราะออกมา “ท่านกลัวว่าหม่อมฉันจะกลับใจหรือ”
ฉู่อวี๋หยงกอดนางเอาไว้ สัมผัสกับความอุ่นที่อ่อนนุ่ม ดมกลิ่นกายหอม กลิ่นคาวเลือดที่ติดอยู่ปลายจมูกถูกขับไล่ไป เขาส่งเสียงอู้อี้ในซอกคอของนาง
เฉินตันจูรับรู้ได้ถึงความกังวลของฉู่อวี๋หยง หรืออาจบอกได้ว่าเป็นความหวาดกลัว นางไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้…เพราะนางหยุดลงและเข้ามาในวัดถิงอวิ๋นระหว่างทางหรือ
เฮ้อ เฉินตันจูผลักเขาออกเล็กน้อย จากนั้นยื่นมือคล้องเข้าที่ลำคอของเขา เขย่งขาให้ใบหน้าของตนเองแนบชิดใบหน้าของเขา
“ฉู่อวี๋หยง หม่อมฉันคิดถึงท่านมาก นับแต่หม่อมฉันออกจากเมืองหลวงก็คิดถึงท่านอยู่เสมอ” นางพูดเสียงเบา “หม่อมฉันดีใจอย่างมากที่เวลานี้พวกเราจะแต่งงานกันแล้ว ต่อจากนี้หม่อมฉันจะไม่จากท่านไป”
ฉู่อวี๋หยงรู้สึกได้ว่าตัวและหัวใจของเขาปลดปล่อยออกมาจากความเจ็บปวด เขาหันหน้าจุมพิตเข้ากับริมฝีปากของหญิงสาว
ใช่ พวกเราไม่มีทางจากกัน
(จบบริบูรณ์)